กฎข้อที่หนึ่งของการเป็นเด็กคุณดิน ... ‘ห้ามรัก’
กฎข้อที่หนึ่งของการเป็นเด็กคุณดิน ... ‘ห้ามรัก’
ลมหายใจถูกพรูออกครั้งแล้วครั้งเล่ายามนึกถึงเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ล้อกันเล่นแน่ๆ...
เธอน่ะหรือจะตั้งครรภ์ ผลตรวจจากแล็บของโรงพยาบาลประจำจังหวัดจะต้องคลาดเคลื่อนอย่างแน่นอน บ้าจริง โรงพยาบาลตั้งใหญ่ ผิดพลาดขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
เสียงจอแจของผู้คนที่อยู่ภายในอาคาร เสียงประกาศจากเจ้าพนักงาน เสียงล้อเลื่อนจากวีลแชร์ และอีกสารพัดเสียงที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ กลับไม่ดังเข้าโสตประสาทของ ‘ว่าที่คุณแม่’ เมื่อประสาทการรับรู้ถูกปิดทุกทาง แม้แต่สายตายังพร่ามัวจนมองอะไรได้ไม่ชัดเจน
“คุณมลุลี วรสุวรรณ เชิญพบแพทย์ค่ะ”
ไร้การเคลื่อนไหวของเจ้าของชื่อ
เจ้าพนักงานย้ำ “คุณมลุลี วรสุสรรณ ถึงคิวแล้วค่ะ!”
ร่างระหงสะดุ้งโหยง รีบยันปลายเท้าลงบนพื้นแล้วหยัดยืนด้วยความเร่งรีบ ปากก็ส่งเสียงอ้อมแอ้ม “ค่ะๆ” แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องที่อีกฝ่ายผายมือให้
มลุลีมาโรงพยาบาลตั้งแต่ช่วงเช้า เนื่องจากอดรนทนรับมือกับความผิดปกติของร่างกายตัวเองไม่ไหว ประจำเดือนเลื่อนจากเดิม จนตอนนี้ก็ยังไม่มา ผนวกกับปวดท้องโดยไร้สาเหตุ ทานยาแล้วก็ยังไม่ทุเลา เมื่อมาถึงก็ได้รับการตรวจจากคุณหมอ ผลของมันทำให้จิตใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องก้าวเข้าสู่กระบวนการฝากครรภ์อย่างช่วยไม่ได้
แม่และเด็ก...บนสมุดสีชมพูทำหัวใจดวงน้อยสะดุดกึก
มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ
แต่มันเป็นไปแล้ว ผลตรวจบอกว่าเธอตั้งครรภ์ได้ราวๆ สามสัปดาห์ สมุดที่ถืออยู่ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าตนกำลังจะได้เป็นแม่คน ที่ถ้าหากถามถึงความพร้อม...ไม่มีเลย ไม่มีด้านไหนที่มลุลีจะพร้อมมีลูก
ด้านฐานะอาจจะไม่ใช่ยาจก แต่ลำพังตัวเธอก็ไม่ได้มีเงินเก็บมากพอที่จะเลี้ยงเด็กหนึ่งคน เธอเพิ่งทำงานจริงๆ จังๆ ได้ไม่นาน ยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าตั้งตัวได้ ฉะนั้นแล้วอย่างไรก็ไม่นับว่าพร้อม
ด้านร่างกายเธอคือคนอายุยี่สิบห้า สำหรับคนอื่นวัยนี้พร้อมมีลูกแล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่มีความพร้อมใดๆ อย่างมลุลี นี่มันค่อนข้างเร็วเกินไป ส่วนด้านสภาพจิตใจนับว่าสาหัส เธอไม่อยากท้อง ไม่อยากมีพันธะมาคล้องคอ
เพราะ ‘เขา’ ก็ไม่อยากมีเหมือนกัน...
สมุดฝากครรภ์ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย ก่อนร่างระหงจะค่อยๆ ก้าวเดินออกจากตัวอาคารเพื่อเดินทางกลับที่พัก
จิตใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนเผลอชนเข้ากับเด็กตัวเล็กคนหนึ่งที่วิ่งโผล่พรวดมา เป็นเหตุให้ของเล่นในมือเด็กน้อยตกลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้น
“ขอโทษนะคะ” เธอรีบขอโทษขอโพย แล้วจึงยอบกายลงไปที่พื้น
เด็กคนนั้นก็ไม่รอช้า รีบทรุดตัวลงข้างๆ เพื่อช่วยเก็บของของตน เด็กเล็กยิ้มแป้น “ขอโทษครับพี่สาว โก๋วิ่งไวเอง”
ในขณะนั้น หางตาก็เห็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการยืนหอบหายใจอยู่ข้างๆ ในมือมีตุ๊กตาและของเล่นสำหรับเด็กเหมือนชิ้นที่ตกพื้น
“โก๋วิ่งชนพี่คนสวยเหรอ”
พี่คนสวยระบายยิ้มให้เด็กแฝด ลุกขึ้นยืนพลางส่งของเล่นคืนเจ้าของ “แค่อุบัติเหตุค่ะ ไม่เป็นไร ยังไงเด็กๆ ก็เดินกันดีๆ นะคะ”
สองเสียงสอดประสานเพื่อรับคำอย่างหนักแน่น มลุลีจึงเดินออกจากบริเวณนี้เพื่อเดินทางกลับ ทว่าก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็เกิดอาการขาตายขึ้นมาดื้อๆ เมื่อสายตาสบเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่มุ่งหน้ามาทางที่ตนยืนอยู่
อาจไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว พวกเขาเพียงแค่เดินมาที่เด็กแฝดทั้งสอง
มลุลีทราบดีว่านั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตน แต่สมองก็ไม่สามารถสั่งการให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้ เพราะคล้ายจะโดนสะกดด้วยสายตาคู่คมของ ‘ใครบางคน’ ที่อยู่ในกลุ่มนั้น
สองสายตาสบเข้าหากันอย่างมิอาจหลบเลี่ยงไปได้ เข็มนาฬิกาถูกหยุด โลกทั้งใบของมลุลีพลันนิ่งสนิท หัวใจบีบรัดจนก่อเกิดอาการเจ็บแปลบในทรวง
กลีบปากล่างถูกขบเม้มจนเป็นเส้นตรง ทันทีที่เรียกสติกลับมาได้เรียวขาสวยก็ก้าวออกไปจากบริเวณนี้ทันที โดยมีสายตาแห่งความสงสัยใคร่รู้เหลียวมองตาม จนกระทั่งแผ่นหลังบอบบางพ้นไปจากครรลองสายตา
เสียงหวานดังขึ้น “ปาเก๋า ปาโก๋ แม่บอกว่าอย่าวิ่งไงคะ” แม้จะเอ็ดลูก แต่คุณแม่ก็ยังไม่แสดงท่าทีโมโหร้าย ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น “เดี๋ยวล้มก็เจ็บตัวอีก”
ว่าที่คุณพ่อลูกสองมองดูหลานรักด้วยความเอ็นดู เขากระชับอ้อมกอดลูกสาววัยสิบเดือนแล้วพูดแหย่น้องสาว “ก็ซนเหมือนแม่มัน ไม่กล้าให้น้องอีฟเล่นด้วยหรอกแบบนี้”
ขณะก้าวเดินไปยังลิฟต์ วรัสยาอดจะเบ้ปากใส่ญาติผู้พี่ไม่ได้ “ยุอัสให้ทำหมันเถอะมั้ง ไม่ต้องมีถึงสี่หรอก”
คนโดนพาดพิงระบายยิ้มให้เพื่อนที่พ่วงตำแหน่งน้องสาวสามี เธอไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่รู้สึกว่าความปรารถนาของปราชญาธิปที่อยากมีลูกสี่คนนั้นมันจะเกิดขึ้นจริง อย่างตอนนี้ที่ลูกคนแรกเพิ่งอายุได้สิบเดือน พ่อเจ้าประคุณเขาก็ส่งคนที่สองมาอยู่ในท้องเธอเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อสามเดือนที่แล้ว
ทำให้นอกจากรติรสที่อายุครรภ์สี่เดือน ก็มีเธอที่ต้องใส่ชุดคลุมท้อง ซึ่งหากพัณณ์พิศอยู่ด้วยในตอนนี้ก็จะมีคนท้องถึงสาม
ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับน้องสาวเพราะเขารู้ดีว่าอย่างไรตนเองก็ได้มีลูกสี่คนสมใจหวังอย่างแน่นอน ก็ขยันออกปานนี้
ระหว่างอยู่ในลิฟต์ คุณแม่ลูกสามก็เอ่ยขึ้นอีก “แต่ลูกยายก้านน่าห่วงอยู่นะ ผู้หญิงด้วย เลือดแม่คงแรงน่าดู”
ประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้อย่างดี
ที่ทุกคนต้องพากันมาโรงพยาบาลก็เพราะเหตุนี้ กุสุมาลย์คลอดลูกสาวคนแรก คนสนิทจึงพากันมาเยี่ยมกันให้ควั่ก รวมถึงทางกลุ่มแก๊งสะใภ้และครอบครัว ที่พอรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นกลุ่มคนขนาดย่อมเลยทีเดียว ดีที่ธนบดีติดงานของพรรค ผนวกกับพัณณ์พิศมีอาการแพ้ท้องอ่อนๆ จึงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะเข้าลิฟต์ทีเดียวครบทุกคนได้หรือไม่ก็มิอาจล่วงรู้
ครอบครัวของวรัสยาก็ห้าคนเข้าไปแล้ว ด้านพ่อคนที่สองของหนุ่มๆ อีกสี่ชีวิต ที่ลูกคนหนึ่งผู้เป็นพ่ออุ้มไม่ยอมปล่อย ใครจะมาวอแวยายหนูอีฟที่เป็นดั่งเจ้าหญิงของเขาไม่ได้เลย อีกชีวิตอยู่ในท้องของอัสมา ไหนยังครอบครัวของอรัณย์อีกสาม แต่สามที่ว่านั่น หนึ่งในนั้นก็อยู่ในท้องของภรรยาคนสวยของเจ้าตัว
คนที่มีแค่ตัวคนเดียวเห็นจะมีแต่เขา...ดิฐากร
อัสมายิ้มกว้างกว่าเก่า “คุณเฉื่อยเจองานหินเลยนะ เหมือนมีน้องก้านเพิ่มมาอีกคน จะรับมือยังไงไหว”
ขณะที่ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการ เสียงทุ้มนุ่มหูก็ดังขึ้น “แต่ถ้ามีแบบอัสอีกคน คุณโปรดรับมือไหวนะ”
แก้มนวลซับสี รีบเดินลิ่วๆ ออกจากลิฟต์ โดยมีคุณสามีนักหยอดเดินอุ้มลูกตามไปติดๆ
จีรกิตติ์และวรัสยาก็พาลูกๆ เดินไปยังห้องพักฟื้นของลูกสาวผอ. โรงพยาบาล หัวเราะคิกคักอะไรกันไปเรื่อยตามประสาครอบครัวอารมณ์ดี
อรัณย์ก็ไม่น้อยหน้า เดินกุมมือรติรสพลางกระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่างด้วยท่าทีรักใคร่
เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องพัก ก็พบกับพี่ใหญ่เช่นชยางกูรที่นั่งอยู่ข้างเตียง โดยที่บนเตียงนั้นเป็นคุณแม่ป้ายแดงและลูกสาวคนแรกของพวกเขา
ภายในห้องพักฟื้นไม่ได้มีเพียงคนมาใหม่เท่านั้น แต่ผอ. โรงพยาบาลซึ่งได้เป็นคุณตาของหลานคนที่สอง ต่อจากหลานคนแรกที่เกิดจากกินรีก็อยู่ที่นี่ รวมไปถึงคุณนายขวัญเรือนและลูกชายคนเล็กที่รีบมารับขวัญหลานสาว
เด็กแฝดและน้องสาวของพวกเขารีบนำของเล่นที่ตั้งใจซื้อมาฝากน้องไปให้ในทันทีที่มาถึง ผู้คนต่างพูดคุยและแสดงความยินดีกับการมีอยู่ของ ‘ยายหนูกี้’ ลูกสาวคนแรกของช่างก้านกับพ่อเฉื่อย
วรัสยาเป็นคนขี้เล่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นคุณพ่อมือใหม่เหมือนจะมีน้ำตาคลอหน่วยจึงอดแหย่ไม่ได้ “พี่เฉื่อยเหมือนจะร้องเลย ไม่รู้ว่าดีใจที่ได้ลูกสาวหรือกำลังร้องเพราะกลัวรับมือกับยายก้านจูเนียร์ไม่ได้กันแน่”
แม้แต่นายแพทย์เรวัชกับคุณนายขวัญเรือนยังกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ได้ เพราะพวกท่านเห็นพ้องต้องกันกับวรัสยาว่าหลานสาวคนนี้จะต้องมีเชื้อแม่แกแรงแน่ๆ คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะไปด้วย
ตำรวจหนุ่มเสริม “ถ้าเฮียเป็นคนเลี้ยงก็คงเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักๆ คนหนึ่งแหละครับพี่กาด แต่ถ้าเจ๊เลี้ยง”
คุณแม่ป้ายแดงปั้นหน้างอใส่น้องชาย “หา! เจ๊เลี้ยงแล้วมันจะทำไมล่ะผู้หมวด”
เป็นคุณนายขวัญเรือนที่โพล่งขึ้น “ยังจะถาม เอาเป็นว่าให้เฉื่อยเป็นคนเลี้ยงลูกน่ะดีแล้ว จะได้เป็นผู้เป็นคน ถ้าลูกเลี้ยงเองม้ากลัวหลานม้าเป็นลิงเป็นค่างมาก”
“ป๊า ม้าว่าหนู”
บิดายิ้มกริ่ม กล่าวอย่างเป็นกลาง “ที่ม้าพูดมาก็มีเหตุผล”
ชยางกูรที่เห็นภรรยาเริ่มหน้างอก็ยกมือไปลูบศีรษะอย่างนึกเอ็นดู “ไม่เป็นไร ลูกเหมือนก้านก็ไม่เป็นไร”
เจ้าหล่อนถึงได้ยิ้มออก
“แต่อย่าเหมือนมากก็พอ”
เสียงหัวเราะเข้ามาครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่
บรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่นหัวใจ มองไปทางไหนก็เจอแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยิ่งในสายตาของผู้จัดการร่ำเมรัยด้วยแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่ ที่ได้มองดูพวกมาดเยอะที่ครั้งหนึ่งต่างก็ส่ายหน้าให้กับคำว่า ‘เมีย’ ทว่าบัดนี้ทุกคนดันมีสาวสวยอยู่ข้างกายพร้อมกับลูกน้อยที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตคู่
แม้แต่ไอ้เพื่อนตัวดีที่เอาแต่พล่ามว่ารติรสเป็นน้องสาวเพื่อน ตอนนี้ก็ติดอยู่ในโลกสีชมพูจนบางทีอดจะนึกหมั่นไส้ไม่ได้
เพราะคนเยอะเกิน ไหนยังมีแต่คนมีคู่ ดิฐากรที่รับขวัญหลานเสร็จเรียบร้อยจึงเลือกที่จะปลีกตัวออกมาด้านนอก
ขายาวก้าวไปนั่งพักยังบริเวณสวนหย่อมที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ สายลมพัดปะทะผิวกายพอให้รู้สึกดี แต่ก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะพัดเพื่อพาปมที่หัวคิ้วให้คลายออก
ฝ่ามือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขายาวเพื่อหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แล้วจึงแตะไปที่แอปพลิเคชันสีเขียวเพื่อทำการสอบถามอะไรบางอย่าง ด้วยปฏิกิริยาของเธอยามเจอหน้าเขานั้นมันผิดปกตินัก
คุณดิน: เป็นอะไรรึ ทำไมต้องมาโรงพยาบาล
รออยู่เกือบสิบนาทีกว่าข้อความของเขาจะถูกอ่าน
มิ้ม: เปล่าค่ะ สบายดี
คุณดิน: คนสบายดีที่ไหนจะมาโรงพยาบาล
มิ้ม: ปวดหัสค่ะ
ไม่ว่าจะตอนไหน มลุลีก็นิ้วเบียดไม่เปลี่ยน
คุณดิน: มากไหม
เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ คิ้วเข้มก็มุ่นหนักกว่าเก่า แค่พิมพ์ไม่กี่คำให้เขาคลายกังวลมันยากนักหรือ
คุณดิน: ไม่เห็นบอกเลยว่าไม่ค่อยสบาย ถ้าบอกจะได้พามา
คุณดิน: แล้วกลับยังไง ขี่รถไหวเหรอ ฉันเสร็จธุระแล้วล่ะถ้าเธอจะกลับพร้อมกันก็ได้
มิ้ม: ไม่เป็นไรค่ะ
คุณดิน: อย่ารั้น เกิดเป็นลมเป็นแล้งไปจะทำยังไง
มิ้ม: เปล่ารั้นค่ะ
เธอมันโคตรหัวรั้นเลยต่างหากยายมิ้ม!
คุณดิน: เพราะนิสัยแบบนี้ไง ฉันถึงไม่ชอบเธอ
มิ้ม: ไม่ต้องย้ำค่ะ รู้แล้วว่าไม่รัก
คุณดิน: รู้ก็ดี
มิ้ม: แต่มิ้มก็ไม่ได้รักผู้จัดการเหมือนกัน
ทีอย่างนี้แล้วพิมพ์ไม่ผิดสักคำ
ว่าแต่ว่าอวดดีเสียจริงนะ แล้วหมาตัวไหนมันเพิ่ง ‘บอกรัก’ เขากัน ใช่หมาที่ชื่อ มลุลี หรือเปล่า?
ปากดี
เห่าเก่ง
ใครจะชอบ...
⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆
นิยายชุด ‘เธอ...’ ที่เกี่ยวข้องกัน
➊ เธอ...ที่ไม่น่าไปหลงรัก (จัด X ผักกาด)
↬Status :: จบแล้ว
➋ เธอ...ที่ไม่โปรดปราน (โปรด X อัสมา)
↬Status :: จบแล้ว
➌ เธอ...ที่ไม่เข้าตา (เฉื่อย X ก้าน)
↬Status :: จบแล้ว
➍ เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก (อาร์ม X ตี้)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➎ เธอ...ที่ใจมิใฝ่หา (ดิน X มิ้ม)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➏ เธอ...ที่ต้องสงสัยว่าจะไม่ถูกรัก (ใบ X เอื้อ)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
“เคลวิน อาร์มันโด” มหาเศรษฐีผู้ไม่เคยเชื่อในพรหมลิขิต ไม่คิดเลยว่าการมาเยี่ยมเยียนมารดาและน้องสาวที่เมืองไทยในครั้งนี้จะได้มาเจอกับกวางน้อยแสนสวยที่เคยทำเขาหัวใจแทบหยุดเต้นมาแล้วครั้งหนึ่ง! เขาวางแผนการบางอย่างเพื่อต้อนกวางน้อยเข้าสู่กรงทองแล้วครอบครองได้อย่างที่จะไม่ทำให้ต้องเสียหน้า แต่กลายเป็นว่านักล่าอย่างเขาพลาดท่าตกลงไปในกับดักนั้นเสียเอง เพราะหนีผู้ปกครองเที่ยวแท้เชียว เธอถึงต้องมาเจอเขาอีกครั้ง ผู้ชายวาจาร้ายกาจกับสถานการณ์น่าอับอาย “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ผมยินดีและเต็มใจ” “มีค่ะ” ตอบกลับเสียงแข็ง “เสร็จธุระแล้วก็ช่วยออกไปจากห้องด้วย เชิญค่ะ” ว่าพลางชี้ไปทางประตูห้องด้วยหางตา “เรื่องแค่นี้เองหรือที่ต้องการให้ช่วย” เคลวินหันมาถามหลังจากเดินมาถึงหน้าประตู คิ้วทรงดาบเลิกขึ้นสูง “ผมนึกว่าคุณอยากให้ช่วยแบบว่า... ช่วยติดขอเสื้อในนี่ให้ฉันทีสิคะฉันติดไม่ถึง อะไรแบบนี้เสียอีก” ว่าพลางส่งยิ้มยียวน ดวงตาพราวระยับจ้องนิ่งตรงทรวงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเร็วแรง สาบานได้ว่านี่คือคำพูดของคนเพิ่งเจอกัน เขาเข้ามาในห้องเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังจ้องเธออย่างเสียมารยาทในขณะที่เธออยู่ในสภาพ... ล่อแหลม! “ลัลน์นารา” หวังอย่างยิ่งว่านั่นจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายในชีวิตกับความอับอายและผู้ชายแสนยียวน แต่โชคชะตาช่างเล่นตลกกับเธอ ให้กงล้อหมุนเวียนพาเธอกับเขามาเจอกันอีกครั้งและกลายเป็นผูกพันกันไปตลอดกาล... “พี่เค นี่มันบนเรือนะคะ” "บนเรือแล้วแปลกตรงไหน หาอะไรแปลกใหม่บ้าง ชีวิตจะได้มีสีสัน” “เรือจะล่มไหมคะ” คนถามออกอาการหวาดหวั่น เคลวินหัวเราะในลำคอกึ่งขบขันกึ่งสงสาร “พี่จะพยายามเบามือที่สุดค่ะ หยาดเองก็อย่ารุนแรงนักนะคะ”
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
เมื่อน้องสาวฝาแฝดแสนอ่อนแอต้องแต่งเข้ามาเป็นฮองเฮาเพื่อมาสืบเรื่องราวการตายของวงศ์ตระกูลที่แท้จริง และได้มาเจอกับฮ่องเต้ที่มีปมฝังใจจนกลายเป็นคนขี้ระแวง แฝดผู้พี่จึงต้องปลอมตัวเป็นน้องสาวเพื่อมาจัดการกับสนมที่ข่มเหงน้องสาวฝาแฝดของนางและต่อกรกับฮ่องเต้ที่ไม่สนใจใยดีฮองเฮาของตนเอง แถมยังต้องตามสืบหาความจริง แต่นางจะสามารถทำได้สำเร็จดั่งที่ตั้งใจไว้จริงหรือ?
© 2018-now MeghaBook
บนสุด