“ฉันเอาเธอตายแน่พิ”
“ฉันเอาเธอตายแน่พิ”
บทนำ
.
.
.
ณ บ้านหลังงามของตระกูลพ่อค้าทองคำแห่งเมืองสมุนไพรอย่างโรจนวาณิชย์ บัดนี้เนืองแน่นไปด้วยแขกเหรื่อที่เดินทางมาเพื่อเป็นสักขีพยานรักของลูกสาวคนสุดท้องของบ้าน วลี โรจนวาณิชย์ เจ้าของร้านเครื่องประดับสุดหรูของปราจีนบุรีอย่าง Larimar Jewelry ที่ควงคู่ทายาทร้านอะไหล่จากมิตรภาพยานยนต์เช่น แทนคุณ วงศ์ชวาลา เข้าประตูวิวาห์หลังจากทั้งคู่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย
เป็นเวลาเก้าปีของบ่าวสาวที่ช่วยกันปลูกต้นรักจนสุกงอมได้ที่ พร้อมผลิดอกออกผลในวันที่ทั้งคู่โตพอจะสร้างครอบครัวด้วยกันอย่างวันนี้ โดยมีใครบางคนที่ปีติไม่ต่างจากบ่าวสาว ใครคนนั้นที่อยู่เคียงข้างคู่รักมาตั้งแต่ในรั้วโรงเรียน ด้วยฝ่ายชายอายุมากกว่าสองปี มีช่วงที่แทนคุณเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง รักทางไกลย่อมมีปัญหาบ้าง ก็ได้ใครคนนั้นช่วยเป็นตัวกลางคอยเชื่อมให้เสมอ
วันนี้ใครคนนั้นมาในฐานะเพื่อนเจ้าสาว...พินรี เพื่อนที่ดีที่สุดของน้องเล็กแห่งบ้านพ่อค้าทองคำ
เจ้าหล่อนมองดูเพื่อนสนิทในชุดเจ้าสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ด้วยตนเองมีความสุขไม่ต่างจากบ่าวสาวเลย เพราะนอกจากจะได้ส่งเพื่อนรักและรุ่นพี่เข้าประตูวิวาห์แล้วนั้น วันนี้ก็ยังเป็นวันที่เธอจะได้เจอกับรักแรกของตัวเองอีกด้วย
ที่ผ่านมาทุกครั้งที่เขากลับบ้านจะมีสายรายงานเธอตลอด แต่ก็มินำพา ด้วยเจ้าตัวหลบหน้าหลบตาไม่เคยให้ได้พบเจอ มาแป๊บๆ ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ จะได้เจอกันสักทีก็แสนยากเย็น ได้เห็นก็แค่ครู่สั้นๆ ชวนคุยก็ไม่เคยจะตอบ ไหนยังบล็อกเธอทุกช่องทางจนมิอาจจะติดตามความเคลื่อนไหวของพี่ชายเพื่อนได้ แต่เธอมีหน่วยข่าวกรองระดับวงในของวงใน
วลีมักจะรายงานความเป็นไปของพี่ชายคนรองให้เธอได้รับรู้เสมอ เดิมทีเธอเคยสมัครแอคอวตารแล้วแอดเฟรนด์ไป แต่เหมือนเขาจะรู้ทัน ชิงกดบล็อกไปเสียก่อน
ทว่าวันนี้เขาจำเป็นต้องอยู่นานเพราะเป็นงานแต่งของน้องสาว ถึงกระนั้นจนบ่ายคล้อยแล้วพินรีก็ยังหาจังหวะที่จะเข้าไปคุยกับชายผู้เป็นรักแรกและรักเดียวไม่ได้ เพราะเขาจับกลุ่มกับคนสนิทและเธอเองก็ติดภารกิจเพื่อนเจ้าสาว คอยช่วยงานอยู่ตลอด แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เธอก็ต้องหาโอกาสคุยกับเขาให้จงได้ เพราะทราบมาว่าเขาจะเดินทางกลับเมืองหลวงในช่วงหัวค่ำ ด้วยเจ้านายที่เป็นนักการเมืองของเขามีงานสำคัญในวันพรุ่งนี้
พิธีแต่งงานของวลีและแทนคุณถูกจัดในหนึ่งวัน ช่วงเช้าเป็นพิธีสงฆ์ ช่วงบ่ายกินเลี้ยงโต๊ะจีน พินรีรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ ในขณะที่พี่ชายคนรองของโรจนวาณิชย์นั่งอยู่อีกมุมซึ่งไกลกันมาก
พินรีได้เห็นเขาใกล้ที่สุดก็ตอนพิธีรดน้ำสังข์ ซึ่งเธอทำหน้าที่เตรียมน้ำให้แก่แขก
เธอส่งยิ้มให้เขาเหมือนครั้งเยาว์วัย ดวงตาสีอัลมอนด์ทอประกายระยิบระยับคล้ายหมู่ดาวเต้นรำในยามราตรี ยิ้มที่ใครๆ ก็บอกว่าสดใสเหมือนดอกทานตะวันได้รับแสงแรกจากพระอาทิตย์
แม้ว่าคุณพระอาทิตย์ของเธอจะเมินกันไปเหมือนมองไม่เห็นก็ตาม
นั่นมิอาจสั่นคลอนความรักที่เธอมีให้เขาได้ ต่อให้เขาไม่ยิ้มก็ไม่เป็นไร เธอได้ยิ้มให้เขาเท่านั้นมันก็พอแล้ว
เพื่อนเจ้าสาวคนสวยนั่งเหลียวไปยังโต๊ะที่อยู่อีกฟากจนไม่เป็นอันสนใจอาหารตรงหน้า ปล่อยให้กลุ่มเพื่อนจัดการจานบนโต๊ะคลอเคล้าบทสนทนาเพราะไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่
คนที่ไม่ได้เจอกันนานย่อมคิดถึงกันเป็นธรรมดา เหมือนที่เธอคิดถึงพี่ชายเพื่อนมากอย่างตอนนี้
“กินก่อนก็ได้พิ เธอจะเหลียวอะไรขนาดนั้น”
เพื่อนอีกคนแทรกขึ้น “จะอะไรล่ะ ก็มองสุดที่รักของมันน่ะสิ”
คนที่ตกเป็นหัวข้อการสนทนายอมผินหน้ากลับมา อมยิ้มอย่างเขินอายที่ถูกเพื่อนแซว “เขาหล่อขึ้นเนอะ”
“มีแฟนไปแล้วมั้ง หล่อๆ พรรค์นั้น”
พินรีตอบเสียงแข็ง “ยัง!” ก่อนลดระดับเสียงลง “รี่บอกว่าโสดสนิท อีกอย่างนะ ฉันไม่ยอมให้เขาคบกับคนอื่นเด็ดขาด ฉันก็ชอบของฉันมาตั้งนาน”
“พิ”
เรือนคิ้วสวยได้รูปเลิกขึ้น “ว่า?”
“ไม่ยอมแล้วเธอทำอะไรได้เหรอ”
ประหนึ่งมีลูกตะกั่วแหวกอากาศมาฝังอยู่ในอกข้างซ้าย ตัดขั้วหัวใจดวงน้อยๆ จนหยุดการเคลื่อนไหว พินรีแสร้งปั้นหน้างอคล้ายจะร้องไห้ ส่งค้อนวงใหญ่ให้เจ้าของประโยคแทงใจดำ “แรง”
“ก็พูดความจริง แม้แต่ให้เขาปลดบล็อกเธอยังทำไม่ได้เลยพิ หาผู้ชายคนใหม่เถอะ เฮียสี่เขาไม่มีวันชอบเธอหรอก ถ้าเขาจะชอบคงชอบไปนานแล้ว”
หนึ่งในสมาชิกของโต๊ะแทรกขึ้น “เห็นด้วย”
“ใช่ไหม ก็มันเล่นแอบชอบแบบไม่แอบ ทุกคนรู้ เฮียสี่ก็รู้ ถ้าเขาจะชอบพิจริงๆ จะปล่อยให้เวลามันผ่านมาขนาดนี้เหรอ วัยอย่างเรามันยังสาวยังแส้ ยังได้เจอคนดีๆ อีกเยอะ ช่างหัวคนที่ไม่เห็นหัวเราดีกว่า”
“เห็นด้วยว่าแรงอะ โอ๋ ยายพิได้น้ำตาท่วมปราจีนแน่” ว่าพลางดึงตัวเพื่อนเจ้าสาวมาทำท่าปลอบประโลม
พินรีก็เล่นตามน้ำ ทำเสียงกระซิกๆ แล้วซบไปกับอกของเพื่อน
“ฉันพูดเพราะหวังดีย่ะ โน่น หมอขลุ่ยเขาปลื้มเธอมากนะ ถึงได้เช้าถึงเย็นถึง เทียวไปซื้อปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้บ้านเธอทุกเช้าน่ะ” นวมล พยาบาลสาวแห่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรพาดพิงไปถึงหมอหนุ่มที่ดันไปตกหลุมรักลูกแม่ค้าปาท่องโก๋เข้าอย่างจัง แต่พินรีสนใครที่ไหนนอกจากหนึ่งในผู้ติดตามของสส. สัตรา
เห็นเพื่อนทำหูทวนลมหล่อนก็เสริมสำทับไปอีกเพื่อประกอบการตัดสินใจ เพราะเล็งเห็นว่าหมอเมดอย่างสิงขรน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าไปมัวแต่จมปลักกับพี่ชายเพื่อน
“อย่างหมอขลุ่ยใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นะยายพิ รูปหล่อ พ่อรวย นิสัยก็ดี รักเด็ก เลี้ยงหมา อบอุ่นยิ่งกว่าไมโครเวฟ ไหนยังเรียนโคตรเก่ง สาวน้อยสาวใหญ่ในโรงบาลเอาขนมจีบมาเร่ขายเขาทุกวันแต่เขาไม่ยักจะซื้อ ที่สำคัญไม่แก่แบบเฮียสี่ด้วย หมอเพิ่งยี่สิบเก้าเอง เฮียสี่อีกห้าหกปีก็สี่สิบละ เอามาเป็นพ่อหรือไงวัยแบบนั้น”
พวกเธออายุเท่ากับเจ้าสาวซึ่งเป็นน้องเล็กของบ้าน คือยี่สิบห้า แต่พี่ชายเพื่อนที่พินรีปันใจให้นั้นอายุมากกว่าเกือบหนึ่งรอบ
คนตัวเล็กยันตัวกลับมานั่งท่าเดิม ไหวไหล่เล็กน้อยด้วยท่าทีไม่ค่อยจะยี่หระ “ต่อให้เฮียสี่แก่กว่านี้ก็ชอบแค่เฮียสี่”
“งั้นตามใจเหอะ อกหักมาที่บ้านหล่อนมีแต่น้ำเต้าหู้นะ หาใบบัวบกไปคั้นกินเองแล้วกัน”
“ขอบคุณที่ซ้ำเติม จุดเดิมที่เคยเจ็บ” นวมลทิ้งสายตาเรียบสนิทมาทางแม่ดอกทานตะวันของกลุ่ม “ร้องเพลงจ้ะ”
ก่อนบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจะกลับสู่สภาวะปกติ คือมีเสียงพูดคุยหยอกล้อระหว่างกลุ่มเพื่อน และพูดคุยกันถึงงานแต่งงานของหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม
พินรีไม่เก็บคำพูดแทงใจดำของพยาบาลสาวมาคิด เธอชอบอยู่ในโลกของตัวเอง โลกที่หลับตาแล้วฝันถึงวสุ แต่ก่อนเขาเป็นแค่พี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น เธอนับถือเขาเพราะเป็นพี่ของเพื่อน ด้วยความสนิทสนมจึงมีโอกาสได้ไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง บ้านเธอไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนอย่างเจ้าของห้างทองเทวาลัยที่มีถึงเจ็ดสาขาทั่วจังหวัด แบ่งเป็นสาขาละหนึ่งอำเภอ ทั้งยังมีเหมืองทองที่กบินทร์บุรีอีกด้วย
โรจนวาณิชย์น่ะเศรษฐี ส่วนเชาว์เจริญเป็นแม่ค้าพ่อขาย เช้ามาบ้านเธอขายปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้ ตกเย็นขายซาลาเปาขนมจีบ โดยมีพ่อและแม่ช่วยกันทำ ส่วนเธอก็ช่วยบ้างแต่หลักๆ แล้วขายน้ำหอมในช่องทางออนไลน์ เป็นแม่ค้าเหมือนกันแค่ยังไม่รวยเหมือนแม่ค้าออนไลน์คนอื่นๆ
ครั้งยังเป็นเด็ก ทุกครั้งที่บ้านโรจนวาณิชย์พากันไปเที่ยววลีมักหิ้วปีกเพื่อนสนิทไปด้วย วันหนึ่งมีโอกาสได้ไปน้ำตกภายในจังหวัด เด็กสาววัยแปดขวบเล่นน้ำอยู่ดีๆ ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อร่างกายดิ่งลงสู่ความเวิ้งว้างไร้ที่ยึดเหนี่ยวของสายน้ำเย็นเยียบ เธอตะเกียกตะกายเอาตัวรอดแต่ก็ไม่เป็นผล ร่างทั้งร่างหนักอึ้ง ทว่าก่อนจะจมไปลึกกว่านั้นกลับมีมือของใครบางคนมาคว้าเอาไว้แล้วฉุดกระชากลากเด็กน้อยขึ้นมาบนบก
เป็นพี่มัธยมปลายปีสุดท้ายอย่างวสุ
วันนั้นทุกคนเดินทางกลับบ้านด้วยบรรยากาศอึมครึม ต่างพากันใจสั่นไหวที่เกือบสูญเสียเธอไป หลังพาเด็กน้อยไปส่งคืนพ่อแม่ประมุขของโรจนวาณิชย์ขอโทษขอโพยยกใหญ่ จำได้ว่าหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ไปเที่ยวกับบ้านของวลีอีกเลย แต่ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันได้เหมือนเดิม
ที่ไม่เหมือนเดิมเห็นจะเป็นความนับถือน้ำใจที่พินรีมีให้พี่ชายเพื่อน มันทวีขึ้นหลายร้อยหลายพันเท่า เธอมองเขาเป็นฮีโร่ก็ไม่ปาน ไม่ว่าวสุจะทำอะไรก็ดูเก่งและยอดเยี่ยมในสายตาของเด็กน้อยเสมอ เธอชื่นชมเขาทุกอย่าง นับเป็นผู้มีพระคุณของชีวิตเลยด้วยซ้ำ พินรีตั้งใจไว้ว่าหากวสุมีเรื่องที่อยากขอให้เธอช่วย เธอจะช่วยด้วยความยินดี
แต่แล้วเธอก็เติบโตขึ้น จากเด็กน้อยในวันนั้นกลายเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม พี่ชายสุดหล่อก็หล่อขึ้นทุกวัน และแล้วความชื่นชมก็กลายเป็นความชอบ
เธอชอบถึงขนาดที่วันเกิดวัยสามสิบของเขาได้ลั่นวาจาออกไปว่า... ‘พิอยากเป็นเจ้าสาวของเฮีย’
นับจากนั้นวสุก็ตัดเธอทิ้งออกจากวงโคจรด้วยคำที่บอกว่า ‘เธอคบกับฉันไม่ได้หรอกพิ ฉันไม่ชอบเด็ก’
เขาบล็อกกันทุกช่องทาง เจอหน้าก็ไม่ยิ้มให้เหมือนแต่ก่อน กลับบ้านไม่บ่อยเหมือนเดิมโดยอ้างว่างานเยอะ เธอจึงแทบไม่ได้พบหน้าเขา แต่พินรีกลับหาทางสลัดรักแรกออกจากใจไม่ได้
เมื่องานเลี้ยงจบลง แขกเหรื่อต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่ต่างจากคณะของนักการเมืองท่านหนึ่งที่จำเป็นต้องเดินทางกลับไปยังกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายเพราะเมียเจ้านายตั้งใจว่าจะอยู่เที่ยวชมธรรมชาติอันสมบูรณ์ของเมืองสมุนไพรสักหน่อย เจ้าบ้านอย่างสดายุก็ออกตัวว่าจะนำเที่ยว แต่เพราะพรุ่งนี้ท่านสส. มีนัดกับผู้นำจากฝั่งยุโรป จึงมิอาจอยู่ค้างคืนที่นี่ได้
ระหว่างที่คนนับสิบชีวิตเดินไปยังรถหรูหลังร่ำลาเจ้าของงานเสร็จเป็นที่เรียบร้อย พินรีก็ตัดสินใจสับเท้าตามหลังไปหวังให้ตนเองได้มีโอกาสพูดคุยกับวสุสักนิดก็ยังดี
ทันทีที่มายังโซนจอดรถที่ปลอดผู้คนเว้นกลุ่มของท่านสส. กับตัวเธอ เสียงหวานก็ดังแหวกอากาศพาให้เท้าทั้งสิบคู่ชะงักกึก “เฮียสี่!”
กลุ่มคนที่ว่าหันมามองยังต้นเสียงเป็นตาเดียว ว่าที่คุณแม่ในชุดคลุมท้องสีอ่อนเปรยขึ้นเบาๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พี่พินี่เอง” อัปสราเพิ่งยี่สิบสี่ อายุน้อยกว่าเจ้าสาวและเพื่อนเจ้าสาวอยู่หนึ่งปี จึงเรียกขานอีกฝ่ายว่าพี่ ทั้งพินรีและวลี ที่คนตรงหน้านั้นเพิ่งได้รู้จักก็วันนี้เพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเจ้าสาวเลยได้ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ แต่กับวลีเคยเห็นที่งานแต่งของตนเองเมื่อสองเดือนก่อนแล้ว อาจจะไม่ได้คุยอะไรกันนักเพราะวันนั้นเธอก็ง่วนอยู่กับการรับแขก
งานแต่งเป็นอะไรที่ใช้พลังงานเยอะจริงๆ
เจ้าของชื่อยกมือไหว้ปลกๆ ก่อนเอ่ย “สวัสดีค่ะ”
คนอ่อนวัยกว่ารีบยกมือขึ้น “สวัสดีค่ะ พี่พิมีอะไรหรือเปล่าคะ”
มือบางถูกยกขึ้นมาลูบท้ายทอยแก้เก้อ พอดีกับที่สดายุโค้งริมฝีปากให้ “เมื่อกี้น้องพิเรียกเฮียสี่ใช่ไหม งั้นตามสบายเลยนะ” แล้วจึงหันไปหาพี่ชายแท้ๆ ของตน “เฮียเดี๋ยวพวกผมไปก่อนแล้วกัน” ก่อนคนทั้งเก้าจะพากันเดินไปขึ้นรถโดยระหว่างนั้นก็โพล่งขึ้นสั้นๆ ให้พรรคพวกรับรู้ “คนนี้แหละ”
หนุ่มๆ ทั้งหกอย่างไตรทศ ไมยราพ ลิขิต คมชาญ อนันต์และเขมราฐ ทราบได้ทันทีเพราะสดายุเคยแง้มไว้ตั้งแต่คราวงานแต่งของเจ้านาย จะมีก็แต่ท่านสส. กับภรรยาที่ตกข่าว
สุ้มเสียงเข้มของนักการเมืองเอ่ยอย่างใคร่รู้ “อะไร”
อัปสราก็หันไปมองสดายุตาแป๋ว “นั่นสิคะ ถ้าหนูไม่รู้คืนนี้หนูนอนไม่หลับนะคุณยี่”
หนึ่งในสมาชิกโรจนวาณิชย์ยกยิ้มกริ่ม “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คนนี้นี่แหละครับพี่สะใภ้ผม”
คล้อยหลังการไปของทุกคน บริเวณนี้จึงหลงเหลือเพียงวสุ พินรี และความเงียบที่คืบคลานเข้ามาปกคลุมจนพาใจดวงน้อยสั่นไหว มันหนาวเหน็บจนสาวเจ้านึกอยากยกแขนมากอดตัวเอง
เป็นชายร่างสูงที่ทำลายมันลงด้วยเสียงผ่อนลมหายใจอย่างนึกระอา แล้วจึงกระชากเสียงถามด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย “มีอะไร”
พินรีโกยอากาศเข้าปอด ทำสมาธิเพียงครู่สั้นๆ ก็ขยับริมฝีปากเพื่อเปล่งวาจาที่อยากเอ่ยกับเขามาเนิ่นนาน
“ตอนนั้นพิอายุยี่สิบ ตอนนี้ยี่สิบห้าแล้วนะ”
เรือนคิ้วเข้มตัดกับผิวขาวขมวดเป็นปม “แล้ว?”
“เฮียบอกว่าไม่ชอบเด็ก”
“ใช่”
“แต่ตอนนี้พิไม่เด็กแล้วค่ะ” ว่าพลางส่งยิ้มแสนสดใสให้คุณรักแรก “พิโตพอจะเป็นเจ้าสาวของเฮียสี่ได้หรือยังคะ”
ทั้งวัยเยาว์และตอนนี้...เธอเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเสมอ เช่นเดียวกับเขา...ที่เป็นแค่คนอื่นในสายตาของเธอมาตลอดเช่นกัน
เรื่องของอารียาคุณครูสาวใหญ่วัย35กับหนุ่มน้อยลูกติดผัววัย19ที่ชื่อโจ โจเป็นเด็กช่างอาชีวะสายโหดและหื่นกาม เธอมักจะโดนลูกชายแอบลวนลามอยู่บ่อยๆ ทว่าเธอกลับเป็นสาวหัวโบราณที่ไม่กล้าแม้ปริปากบอกสามี ด้วยความกลัวว่าบ้านจะแตกสาแหรกขาดอารียาเลยปล่อยเลยตามเลย แค่คำพูดห้ามปรามทำให้คุณแม่พลาดท่าเสียทีให้ลูกเลี้ยงไปจนได้ เธอโดนโจจับกดจนเสร็จสมอารมณ์หมายไปหลายหนจนตัวเองก็ติดใจเสียดื้อๆ ในที่สุดอารียาก็ต้องจำใจมีผัวถึงสองคนอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน คนแรกคือผัวที่ถูกต้องตามกฏหมาย อีกคนคือลูกติดผัวที่หื่นเสียเหลือเกิน
หลิวฉูฉู่นางเอกดังย้อนเวลากลับเข้าไปอยู่ในซีรีส์ที่ตัวเองแสดง ทว่าเรื่องไม่ง่ายเลยสักนิด เมื่อเธอ ต้องเข้าไปอยู่ในร่างนางร้ายที่สุดท้ายต้องตายตอนจบเพราะถูกพระเอกฆ่าตาย! หลิวฉูฉู่จึงต้องทำทุกวิธีที่จะให้รอดพ้นจากความตายนี้ "ฝ่าบาท รักนะเพคะ" นิยายเรื่องนี้ เป็นแนวสุขนิยม สายคลั่งรักไม่ควรพลาด ไม่มีดราม่าค่ะ อ่านคลายเครียด นุบนิบหัวใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดวัน หมายเหตุ ซื้อในเวบถูกกว่าแอปเปิ้ลนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
จู่ๆ ก็มีแม่สาวน้อยฝีปากกล้าตกตุ๊บลงมาในอ้อมแขนโดยไม่ทันตั้งตัว ผู้ชายที่หัวใจ ถูกปิดตายมาเนิ่นนานอย่าง ฟินิกซ์ อีเมอร์สัน จึงจำต้องอ้าแขนรับแม่นกน้อยเอาไว้ในกรงทอง ด้วยตำแหน่ง ‘เมียขัดดอก’ จดหมายของคุณย่าผู้ล่วงลับ นำพาให้มิรินต้องเดินทางข้ามขุนเขามาเพื่อพบกับเขา ฟินิกซ์ อีเมอร์สัน พ่อเทพบุตรนกไฟ ผู้ชายเย่อหยิ่ง เขาขโมยหัวใจสาวไปตั้งแต่แรกสบตา และยิ่งได้รู้ว่าเขาคือผู้ชายที่กำลังจะได้ครอบครองพรหมจารีย์ที่แสนหวงแหนของตัวเอง หญิงสาวก็ยิ่งเต็มไปด้วยความพรั่นพรึงที่แสนวาบหวาม
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
© 2018-now MeghaBook
บนสุด