“จะจีบฉัน หย่านมแม่หรือยังเถอะ”
“จะจีบฉัน หย่านมแม่หรือยังเถอะ”
“ก้าน”
ไร้เสียงตอบรับ
“ไอ้ก้าน!”
“จ๋าเฮีย หนูอยู่นี่”
กระดานรองนอนล้อเลื่อนกลางเก่ากลางใหม่ถูกไถลออกจากใต้ท้องรถยนต์พร้อมร่างบอบบางของ กุสุมาลย์ ที่อยู่ในยูนิฟอร์มของทางอู่ เสื้อช็อปสีกรมท่าที่ใส่ทับเสื้อยืดสีดำเข้าคู่กับกางเกงยีนสีซีด แต่งแต้มด้วยรอยเลอะสารพัดคราบอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าเมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกตานัก
ก็ช่างยนต์ หน้ายังเลอะ นับประสาอะไรกับอาภรณ์ที่ห่มกาย
ชายวัยกลางคนก้มมองไปยังสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งโผล่หน้ามาให้เห็น ลอบถอนหายใจอย่างระอา เรียกชื่อเฉยๆ ไม่ยักจะขาน ต้องให้ประดับยศนำหน้าก่อนตลอด
“เฮียมีไรอะ”
“มี” เขาว่าก่อนพักหน้าเพื่อสื่อให้สาวน้อยประจำอู่เลื่อนกระดานออกมาจากนอกรถอีกหน่อย กุสุมาลย์เข้าใจในทันที เธอจึงเลื่อนออกมาสุดตัวก่อนหยัดยืนขึ้นเต็มความสูง ร้อยห้าสิบสามก็ถือว่าสูงที่สุดในชีวิตเธอแล้ว “ไอ้มอสมันพาแฟนไปพักที่รีสอร์ท อืม ชื่ออะไรแล้วก็ลืม เดี๋ยวเอ็งโทร. ไปถามมันเองแล้วกัน”
สาวเจ้ามองเจ้าของอู่ทั้งยังเป็นหัวหน้าช่างตาปริบๆ เธอทราบเรื่องนี้ดี ศาตนันท์พาแฟนสาวไปเที่ยวช่วงสงกรานต์เหมือนอย่างคนทั่วไปที่ได้หยุดงาน ถ่ายรูปลงโซเชียลจนกดไลก์ให้แทบไม่ทัน เธอจึงได้รับรู้ความเป็นไปทุกอย่างของคู่รักเท่าที่ทั้งสองจะเผยมันออกมาสู่สาธารณะ
“รุ่งรัดชา หนูจำได้ พี่หยกเช็คอินจนหนูรู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของทริป” เธอว่าขำๆ ตามประสาคนพูดมาก “แต่หนูชอบเป็นชาวบ้านหนึ่งมากกว่า ไม่ได้คิดจะไปด้วยจริงๆ เพราะงั้นเฮียมาบอกหนูทำไม”
ชายเจ้าของผมสีดอกเลาที่แซมขึ้นบนศีรษะจนมีปริมาณมากกว่าผมดำทำหน้าหน่าย “รถมันเสียน่ะสิ เห็นว่าสตาร์ทไม่ติด เลยจะให้ไปดูให้หน่อย อู่ใกล้ๆ มีมันก็ไม่เรียก กลัวทำรถมันพัง”
มันพังอยู่แล้วด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นจะต้องซ่อมรึ...เธอแค่คิดในใจ พูดออกไปกลัวโดนมะเหงกลงกลางหัว
“คนอื่นได้ไหม หนูไม่ว่างอะ” ยังไม่ทันที่เจ้านายจะได้อ้าปากสั่ง ลูกน้องก็ค้านขึ้นเสียก่อน ซ้ำยังทำท่าจะลงไปนอนบนกระดานเพราะยังซ่อมรถคันนี้ได้ไม่ถึงไหน
“มีตาก็ดู วันนี้มีใครโผล่หัวมาบ้าง”
จริงอย่างเขาว่า วันนี้เป็นวันที่สิบสี่ เดือนเมษายน วันที่สองของวันสงกรานต์ ช่างขอลาหยุดกับให้พรึบ เธอได้หยุดเมื่อวานเพราะมารดายื่นคำขาดว่าต้องไปทำบุญกันให้ครบองค์ประชุม วันนี้จึงมาทำงานเพื่อให้คนอื่นได้หยุดบ้าง ใครจะไปคิด อู่ทั้งอู่จะเหลือแค่เธอคนเดียว ทั้งๆ ที่ช่างมีกันทั้งหมดถึงแปดคน รวมเจ้าของอู่อย่างสมหมายที่สถาปนาตัวเองเป็นหัวหน้าช่าง ซึ่งชั่วโมงบินเขาก็สูงจริงๆ ตำแหน่งนี้จึงไม่ถูกใครเลื่อยขาเก้าอี้สักที
“ไอ้วีกับไอ้แชมป์มันไม่ได้ลาวันนี้ด้วยซ้ำ แต่มาไม่ได้ เอ็งก็รู้เหตุผลดี”
กุสุมาลย์ยิ้มแหย นอกจากรู้แล้ว เธอยังเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ วันหยุดไม่มีใครไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ เพียงแค่หยุดอยู่บ้าน กิน ดื่ม เปิดเพลงดังๆ สังสรรค์กันกับเพื่อนฝูงอย่างที่ชอบทำ เมื่อคืนเห็นว่าเป็นเทศกาลเลยดื่มหนักไปหน่อย เมากลิ้งจนกลับบ้านไม่ถูก ช่างตัวน้อยก็ไม่ต่าง เหล้าเข้าปากเป็นอันสวมวิญญาณนักร้องนักเต้น จำได้ว่าภาพตัดไปช่วงที่นอนกองอยู่แถวๆ หน้าบ้านของช่างพี่ใหญ่ในอู่อย่างภาคภูมิ แต่ตอนตื่นดันตื่นมาบนเตียงนุ่มๆ แทนที่จะเป็นพื้นปูนแข็งๆ
หญิงสาวมีนาฬิกาปลุกชั้นดี เจ็ดโมงปุ๊บก็ได้ยินเสียงมาแต่ไกล ไม่ตื่นเห็นทีจะโดนกระทืบ วันนี้ถึงได้เสนอหน้ามาอยู่ในอู่อยู่คนเดียวโดดๆ
“นานๆ ทีน่าเฮีย”
คู่สนทนาคิ้วมุ่น “นานอะไร มีวันไหนไม่กินกันบ้าง จะกินเหล้าต่างน้ำอยู่แล้ว”
“นานๆ ทีจะเป็นเทศกาล”
เขาส่งเสียงขึ้นจมูก “แล้วใครไปเก็บศพเอ็งล่ะ”
“หมวดใบ” เอ่ยถึงน้องชายที่คลานตามๆ กันมาด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานที่เมื่อคืนอุตส่าห์ทำหน้าที่มารับตัวพี่สาวกลับบ้าน ไม่ให้พี่คนนี้ต้องนอนเป็นอาหารให้ยุงอยู่หน้าบ้านคนอื่นเขา “คอพับเฉย งง ถ้าไม่ได้ม้าคอยปลุก วันนี้อู่ไม่มีช่างแน่นอน”
“ก็นั่น แต่ละตัวๆ กินไม่บันยะบันยัง ไอ้สองตัวนั้นมันก็คงนอนยังไม่ตื่น ข้าถึงได้ต้องวานเอ็งนี่ไง”
หัวข้อการสนทนาวกกลับมาที่ประเด็นเดิม กุสุมาลย์ก็ปัดหน้าที่ทิ้งอย่างไม่ไยดีในวินาทีที่สมหมายพูดจบ “เฮียไปเองเถอะ หนูจะทำงานต่อแล้ว”
เจ้าของอู่มองดูลูกน้องที่ใช้สมองประมวลสถานการณ์และคำพูดเมื่อครู่ อย่างไรก็เหมือนเขาจะเป็นลูกน้องมันมากกว่า
คนอื่นที่กุสุมาลย์ว่า คือหัวหน้าช่างนั่นแล เธอเห็นอยู่แล้วว่าไม่มีใครมาทำงาน เหตุนั้นแล้วหากเธอไม่ยอมไป คนอื่นที่ว่าก็เหลือแค่หัวหน้าช่างคนเดียว
“กำแหงซะจริงนะไอ้ก้าน”
“อยากเป็นใหญ่ใจต้องนิ่ง มัวหงออยู่เมื่อไรหนูจะได้เลื่อนขั้น” สาวเจ้าพูดอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำกล่าวหาของคนอายุมากกว่า “เฮียเกษียณตัวเองตอนไหนหนูเสียบตอนนั้นเลย ทุกวันนี้หนูจนกว่าในบรรดาพี่น้องทั้งหมด อายคนเขา”
“จนกว่าจริง แต่เอ็งอายจริงเรอะ หน้าออกจะด้าน”
กุสุมาลย์เหลือบตามองเจ้านายโดยปราศจากวาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมา แต่มันด่าเขาทางสายตาจนเสียหมาหมดแล้ว เหตุใดช่างชั่วโมงบินสูงจะดูไม่ออก ทว่าก็เกรงลูกชายจะรอนานเลยไม่ยี่หระต่อสายตาคนตรงหน้า ก่อนวกเข้าประเด็นสำคัญ
“ข้าไปไม่ได้ ติดซ่อมรถให้ลูกค้า นัดไว้วันนี้ด้วย”
“นี่” ปากพูด นิ้วจิ้มไปที่รถเก๋งสีดำคันที่ตนเพิ่งออกมาจากใต้ท้องรถ “นัดพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้กับวันนี้อะไรมันถึงก่อนกัน”
จ้างมันแท้ๆ แต่เถียงคำไม่ตกฟาก หากไม่ติดว่าเป็นคนมีความสามารถจะไล่ตะเพิดออกไปให้พ้นหน้า ติดที่ว่านอกจากมันจะเก่งแล้ว ทั้งอู่ก็มีแต่ลูกน้องเช่นนี้ ไล่ออกก็ต้องไล่ยกชุด เขาจะลำบากเอาหนา
คนอายุน้อยผ่อนลมหายใจอย่างไม่ปิดบัง “ไกลอะเฮีย ขี้เกียจ”
“ไม่ได้ให้ไปฟรีๆ มีค่าเสียเวลานอกสถานที่ให้”
คนตัวเล็กแค่นหัวเราะ ทว่าก็น้อมรับข้อเสนอ ฟังถึงอาการของรถพอสังเขปเพื่อที่จะได้คาดเดาถึงสาเหตุ แล้วเตรียมตัวขนเครื่องไม้เครื่องมือขึ้นท้ายรถกระบะสี่ประตูที่เพิ่งได้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อเดือนที่แล้วไปยังที่หมายเช่นรุ่งรัดชา ที่ลูกชายคนโตของอีกฝ่ายพารถไปจอดเสียอยู่
เธอทราบว่าชื่ออะไร แต่ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน ถึงกระนั้นก็เลือกที่จะเปิดกูเกิ้ลแมพไปก่อน ไว้ถึงรีสอร์ทแล้วค่อยโทร. ไปหาศาตนันท์เพื่อสอบถามว่าเธอจะไปเจอเขาได้ที่จุดไหนของรีสอร์ท
ชยางกูรไม่อาจทิ้งขว้างความรับผิดชอบไปได้ แม้ลูกค้าจะไม่รับความช่วยเหลือจากเขาก็ตาม
วันนี้เป็นวันสงกรานต์ ผู้คนต่างหลั่งไหลมาเที่ยวพักผ่อนที่รุ่งรัดชา หวังมาเล่นน้ำคลายร้อนโดยที่ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนเช่นบนถนนดังๆ แต่เป็นการท่องเที่ยวกับครอบครัว เขาซึ่งเป็นผู้จัดการจึงไม่ได้นั่งอยู่ในห้องทำงานอย่างทุกวัน แต่ออกมาตรวจตราเพื่อดูแลความเรียบร้อยภายในสถานที่ที่ตนดูแล
แม้ผู้คนจะหนาตากว่าวันปกติ ทว่าก็ไม่มีเหตุร้ายหรือปัญหาอะไร พนักงานยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็ง บริการลูกค้าได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง จนกระทั่งมีพนักงานคนหนึ่งแจ้งเขาว่ารถลูกค้าสตาร์ทไม่ติด จึงได้พาตัวเองไปหาเพื่อสอบถามและหวังจะให้การช่วยเหลือ
หลังสอบถามจึงได้รู้ว่าลูกค้าโทร. เรียกช่างมาแล้ว ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ละไปไหน ยังคงยืนอยู่เป็นเพื่อนคู่รักและรอการมาของช่าง ที่ผ่านมายี่สิบนาทีเห็นจะได้ ก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่รอเลย
เขามีมารยาทพอที่จะไม่เอ่ยถามว่าคุณลูกค้าเรียกช่างจากจังหวัดไหนมาหรือ แต่แค่รออยู่เงียบๆ เท่านั้น
“ที่เขื่อนคนจะเยอะไหมนะ กลัวรถติดเหมือนกันแฮะ”
เสียงของฝ่ายหญิงดังเข้าโสตประสาทผู้จัดการหนุ่ม เขาจึงตอบตัวเองได้เสร็จสรรพว่าสองคนนี้ต้องการที่จะไปยังเขื่อนขุนด่านปราการชลที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรีสอร์ท จึงถือโอกาสโพล่งขึ้น “ขออนุญาตนะครับ ถ้าคุณลูกค้าจะไปที่เขื่อน ไปกับรถของทางรีสอร์ทก็ได้ครับ ผมจะให้คนพาไป”
สาวเจ้าตาโต “ได้เหรอคะ”
ยังไม่ทันที่ชยางกูรจะได้เอ่ยตอบคำถาม ฝ่ายชายก็ทะลุขึ้นกลางปล้องเสียก่อน “เห็นทีคงจะไม่ต้องรบกวนทางรีสอร์ทแล้วล่ะครับ ช่างของผมมาถึงแล้ว”
ศาตนันท์กดรับสายทันทีที่ชื่อของ ก้าน โชว์หราอยู่บนหน้าจอ
พ่อก็ช่างส่งมาถูกคนเสียจริง กุสุมาลย์แม้อายุจะน้อยที่สุดในบรรดาช่างทั้งหมดของที่อู่ ประสบการณ์ทำงานน้อยที่สุด ทว่าผลงานกลับเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา งานยากงานหินอย่างไรไม่เคยหวั่น ไอ้ก้านของอู่เฮียหมายซ่อมได้หมด ช่างเป็นอัจฉริยะด้านเครื่องยนต์เสียนี่กระไร ราวกับเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ก็ไม่ปาน
(ฮัลโหล พี่มอสอยู่ตรงไหนอะ ตอนนี้หนูอยู่หน้ารีสอร์ทแล้ว)
“ก้านขับเข้ามาเลย พี่อยู่ตรงส่วนห้องพัก เลยโซนซุ้มนั่งแถวที่เล่นน้ำมาหน่อยก็ถึงแล้ว” เขากรอกเสียงลงไป ตาก็สอดส่องรอบๆ บริเวณ “ถ้าเลยซุ้มมาแล้วมันจะมีทางแยก ให้เลี้ยวซ้าย พี่พักอยู่ฝั่งนี้”
หลังรับคำเสร็จสรรพช่างยนต์ตัวน้อยก็กดวางสาย ช่างสักจึงเก็บมือถือใส่ในกระเป๋ากางเกง หันไปหาแฟนสาวแล้วพูดให้คลายกังวล “พ่อให้ก้านมา”
เหมนาราพยักหน้ารับ เธอรู้จักกับช่างผู้หญิงหนึ่งเดียวในอู่เป็นอย่างดี กุสุมาลย์เป็นพวกอัธยาศัยดีจึงพูดคุยกันได้ถูกคอ และสามารถเรียกได้ว่าสนิทกันเลยด้วยซ้ำ
“เราได้ยินเธอเรียกชื่อน้องแล้วแหละ แต่ยังมาไหวเนอะ เด็กนั่นอะ เมื่อวานเห็นพี่ขุนไลฟ์ตอนร้องเพลงกินเหล้ากันกับพวกเดอะแก๊งเขา ก้านมันยกเอายกเอา ก็ยังสร่างได้เนอะ”
“ต้องสร่างให้ได้สิ เล่นกินกันทุกวัน มันต้องชิน”
จบคำพูดนั้น ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ สีเทา ก็ขับมาจอดอยู่ใกล้ๆ รถของเขา ประตูฝั่งคนขับของรถกระบะคันเบ้อเริ่มถูกเปิดออกพร้อมร่างแน่งน้อยของหญิงสาวที่สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบได้ตวัดขาลงมา เธอเดินไปหยิบอุปกรณ์ซ่อมรถมาถือไว้แล้วตรงไปยังพี่ๆ ทั้งสองที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ กับตัวรถ
“อาการมันเป็นยังไงอะพี่” กุสุมาลย์ถามเข้าประเด็นอย่างไม่อิดออด ทว่าคำตอบของคู่สนทนากลับไม่เข้าหูเลยแม้แต่ประโยคเดียวเมื่อจุดกระทบของสายตาดันไปตกที่ใครบางคน คนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน และเป็นคนเดียวกันกับที่ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดไปจากเดิม
ผิดชนิดที่ว่ามันสามารถกระเด็นออกมาเต้นอยู่นอกอกได้เลย!
เธอไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้แม้แต่น้อย ยิ่งเห็นว่าเขาเองก็จ้องกันไม่วางตา เธอยิ่งเตลิด
เสียงของศาตนันท์ไม่เข้าหูแม้แต่ประโยคเดียว มีแต่เสียง ตึกตัก ตึกตัก ดังให้ได้ยินเท่านั้น
หล่อมาก ก้านชอบ
ชายเจ้าของส่วนสูงที่กะจากระยะสายตาแล้วมีสิทธิ์แตะหนึ่งร้อยแปดสิบ ไม่ก็เจ็ดสิบปลายๆ ไม่ต่ำกว่านั้น หากยืนใกล้กันเธอคงสูงไม่พ้นหัวไหล่ คุยกันแต่ละครั้งคงต้องเงยหน้ามอง แต่เธอย่อมอยากมอง ทรงผมอันเดอร์คัตรับกับใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาสีดำสนิท จมูกโด่งเข้ากับริมฝีปากหยัก ผิวสีแทนแสนน่ามอง กุสุมาลย์ราวถูกสะกดให้จดจ้องบุคคลผู้ไร้ที่ติตรงหน้าจนไม่คิดสนใจสิ่งใด
พระเจ้าไม่คงจะไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกแล้วกระมัง
“พี่จะพาหยกไปที่เขื่อนด้วย มันจะซ่อมนานไหมล่ะ”
“ก้าน” เห็นว่าเด็กสาวไม่ตอบ เธอจึงช่วยแฟนเอ่ยเรียกพร้อมยื่นมือไปสะกิดอย่างไม่ค่อยออมแรงนัก “ไอ้ก้าน”
“หือ”
กุสุมาลย์รับคำพลางหันมาเลิกคิ้วใส่พี่สาวคนสนิท ทั้งๆ ที่หน้าที่นั้นควรเป็นของเหมนารามากกว่าที่แฟนของเธอพูดออกไปเป็นล้านอย่าง แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าหูอีกฝ่ายเลย ซ้ำยังทำราวคนเมาที่ไร้สติสตัง
เหมนารายกมือมาเท้าเอว “ยังไม่สร่างหรือยังไง”
“ไม่ สร่างนานแล้ว ถ้าไม่มีอะไรหนูกลับละ”
คนฟังงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนเจ้าของรถจะโพล่งขึ้น “กลับอะไร ยังไม่ได้ซ่อมรถให้พี่เลย”
อ้อ เธอมาที่นี่เพื่อซ่อมรถให้ศาตนันท์นี่เอง ลืมไปเลย นึกว่าพาตัวเองมาดูเทวดาให้เห็นกับตาเนื้อเฉยๆ
“อ่า แล้ว” เธอพยายามดึงสติตัวเองกลับมาที่งานของตน “รถเป็นอะไรนะ”
ลูกชายเจ้าของอู่พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา “มันยังไม่สร่างจริงด้วยว่ะ” ถึงกระนั้นก็เอ่ยปากพูดซ้ำอีกหน
กุสุมาลย์ที่ฟังแล้วก็ยื่นมือไปรับกุญแจจากเจ้าของรถ ก่อนเดินไปลองสตาร์ทดู ปรากฏว่าหลังบิดกุญแจไปแล้วกลับไม่มีเสียงเครื่องยนต์อย่างที่ควร มีเพียงแสงสว่างจากหน้าปัดขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น ทั้งสามคนก็นึกสงสัยไม่ต่างว่ารถเป็นอะไร ถึงได้ไปยืนออกันอยู่ใกล้ๆ แถวประตูฝั่งคนขับ
เรื่องนี้แก้ไม่ยาก กุสุมาลย์มั่นใจว่าไม่คณามือตนเอง ทว่าสิ่งที่ทำได้คือการบิดกุญแจไปมาให้ได้ยินเสียงตื๊ดที่ขึ้นแจ้งเตือนว่าเครื่องยนต์อยู่ในช่วงพร้อมทำงาน แต่มันดันทำอะไรไม่ได้เนื่องจากมีเหตุขัดข้องบางประการ ซึ่งตัวช่างจะต้องเป็นคนหาคำตอบและแก้ไขมันให้ได้ ทว่าเธอกลับหามันไม่เจอทั้งๆ ที่ติดอยู่ที่ปลายจมูก
หากไม่ใช่เพราะนัยน์ตาคมเข้มที่จ้องมองมาผ่านกระจกด้านหน้า ป่านนี้เธอซ่อมเสร็จไปนานแล้ว
“แบตฯ หมดหรือเปล่า พี่ลองสตาร์ทอยู่นานมันก็มีแค่เสียงแบบนี้อะ ไฟก็ขึ้นดีอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรตรงไหนถึงไม่ติด”
“เมื่อกี้มอสเปิดกระโปรงหน้าเช็คดูแล้ว ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ” เหมนาราเสริม “หรือมันผิดปกติแต่เราไม่รู้ เราก็ไม่ได้เป็นช่างด้วยไง แล้วก้านรู้ยังว่าน่าจะเป็นเพราะอะไร คือถ้าต้องซ่อมนานหรือลากไปอู่พี่จะได้ไปกับรถของทางรีสอร์ทก่อน”
กุสุมาลย์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนอากาศเต็มไปทั่วทั้งปอดแล้วค่อยผ่อนออกมาช้าๆ สติเริ่มกลับเข้าร่องเข้ารอย มือซ้ายยื่นไปจับหัวเกียร์แล้วขยับไปมา เพียงเท่านั้นเธอก็รู้ถึงสาเหตุ “สายเกียร์หลุด แบตฯ ไม่ได้หมด”
เหตุผลนี้ทั้งกุสุมาลย์และสมหมายคาดเดากันไว้บ้างแล้วว่าอาจจะมีส่วนเป็นไปได้ หลังมั่นใจว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้จริงๆ จึงไม่รอช้าที่จะลงมือซ่อม ด้วยเป็นช่าง ของเช่นนี้ถือว่าชินมือ หยิบจับอะไรไม่กี่นาทีก็เสร็จเรียบร้อย เมื่อลองสตาร์ทดูอีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์จึงดังขึ้น
“ไว้กลับไปที่บ้านค่อยไปดูอีกรอบ แต่นี่ก็ขับได้สักระยะแหละ”
“เก่งสมคำร่ำลือ” ศาตนันท์เอ่ยชม เขางมมาสักพักใหญ่ๆ ว่ามันจะเป็นเพราะเหตุใดรถถึงไม่ติด แต่กุสุมาลย์จับๆ แตะๆ เพียงนิดก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร ใช้เวลาซ่อมเพียงไม่กี่นาทีก็กลับมาใช้ได้เป็นปกติ “เอานี่ ค่าเสียเวลา”
กุสุมาลย์ส่ายหน้า “เดี๋ยวเฮียหมายบวกไปในเงินเดือน”
“นั่นส่วนของพ่อ นี่ส่วนของพี่ รับไปเหอะ ยังไงก็ขับรถมาตั้งไกล”
เล่นตัวไปอย่างนั้น ขึ้นชื่อว่าเงินไอ้ก้านอยากได้หมด
หลังรถกลับมาใช้งานได้ คู่รักช่างสักจึงไม่รอช้าที่จะพากันไปเที่ยวที่เขื่อนขุนด่านปราการชล บริเวณนี้จึงเหลือเพียงเธอและเขา ที่บัดนี้หัวใจเจ้ากรรมยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่เลยด้วยซ้ำ สาวเจ้ามองไปยังชายหนุ่มตาละห้อยอย่างเก็บอาการไว้ไม่มิด รอยยิ้มแต่งแต้มไปบนกรอบหน้าหวานขัดกับชุดที่สวมใส่ ผิวที่โผล่พ้นอาภรณ์นั้นขาวราวหยวกกล้วยจนนึกไม่ถึงว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นนี้จะมีอาชีพเป็นช่างยนต์
“ที่นี่ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่ลมยังเย็นอยู่เลยนะคะ ได้ต้นไม้คอยบังแดดด้วย” เธอชวนคุย
เขายิ้มรับตามมารยาท ได้ทีโฆษณาไปในตัว “ครับ ฤดูร้อนที่นี่ก็ร่มเย็นเพราะต้นไม้เยอะ ฤดูฝนเหมาะกับการเล่นน้ำ พอถึงฤดูหนาวอากาศก็เย็นสบาย”
“แล้วฤดูไหนที่คุณชอบคะ”
แม้จะเข้ามาเป็นผู้จัดการที่นี่ได้ไม่นานแต่ระหว่างที่ติดตามปราชญาธิปก็ได้มาเยือนอยู่หลายหน สามารถตอบได้เลยว่าฤดูไหนที่ถูกใจเขาที่สุด “ฝนครับ”
“ก้านก็ชอบค่ะ”
“ที่นี่เวลาฝนตก-”
“หมายถึงชอบคุณน่ะค่ะ”
ชยางกูรชะงัก ประมวลคำพูดและท่าทีของอีกฝ่ายแค่เสี้ยววินาทีก็รู้ว่าตัวเองโดนเล่นงานเข้าให้แล้ว
“ขออนุญาตจีบนะคะ”
✯¸.•´*¨`*•✿ ✿•*`¨*`•.¸✯
นิยายชุด ‘เธอ...’ ที่เกี่ยวข้องกัน
➊ เธอ...ที่ไม่น่าไปหลงรัก (จัด X ผักกาด)
↬Status :: จบแล้ว
➋ เธอ...ที่ไม่โปรดปราน (โปรด X อัสมา)
↬Status :: จบแล้ว
➌ เธอ...ที่ไม่เข้าตา (เฉื่อย X ก้าน)
↬Status :: จบแล้ว
➍ เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก (อาร์ม X ตี้)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➎ เธอ...ที่ใจมิใฝ่หา (ดิน X มิ้ม)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➏ เธอ...ที่ต้องสงสัยว่าจะไม่ถูกรัก (ใบ X เอื้อ)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
ทั้งวัยเยาว์และตอนนี้...เธอเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเสมอ เช่นเดียวกับเขา...ที่เป็นแค่คนอื่นในสายตาของเธอมาตลอดเช่นกัน
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
“สวิงของต้นกับอ้อ” ถูกเขียนขึ้นในวันที่ 10 เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2555 โดยลงในเว็บไซต์ Sudswing ที่ปัจจุบันปิดตัวถาวรไปนานแล้ว แต่เชื่อว่ายังอยู่ในความทรงจำของใครหลาย ๆ คน ซึ่งหากนับเวลาแล้วก็ครบรอบ 13 ปี พอดี ณ วันที่กำลังเริ่มต้นลงฉบับพิเศษของนิยายเรื่องนี้ โดยมีการปรับปรุงเนื้อหาในแต่ละตอนให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงการรวมตอนพิเศษและตอนที่หายไปเอามาไว้ในเรื่องนี้ สำหรับไรต์แล้ว “สวิงของต้นกับอ้อ” คือลูกคนโตและลูกรักที่นำพาให้ไรต์ก้าวมาเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัวในนิยายสายอีโรติกแนวสวิงกิ้ง NTR, Cuckold, 3P, นิยายแนวเมียสาวเหงารัก รวมถึงแนวที่สามีอยากเห็นภรรยาของตัวเองไปมีอะไรกับชายอื่น ยังไงขอฝากนิยาย “สวิงของต้นกับอ้อ” ฉบับครบรอบ 13 ปีนี้ เอาไว้ให้นักอ่านได้ติดตามกันด้วย ขอบคุณสำหรับทุกการสนับสนุนที่ทำให้ไรต์ยังคงเดินต่อไปได้บนถนนสายตัวอักษรนี้ครับ
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
【สาวน้อยผู้มีความรักในใจกลายเป็นหญิงสาวที่มีสติปัญญา vs ซีอีโอผู้ตามรักอย่างบ้าคลั่ง】 ในปีที่ห้าของการแต่งงานแบบลับๆ ของเธอ เสิ่นจาวหนิงเห็นสามีของไปเปิดห้องที่โรงแรมกับรักแรกของเขากับตาตนเอง จากนั้นเธอเพิ่งรู้ว่าลี่เยี่ยนซิวแต่งงานกับเธอเพราะเธอดูคล้ายกับรักแรกของเขา เสิ่นจาวหนิงตายใจและหลอกให้ลี่เยี่ยนซิวเซ็นสัญญาหย่า หนึ่งเดือนต่อมา เธอประกาศต่อหน้าผู้คนว่า “ลี่เยี่ยนซิว ฉันไม่ต้องการคุณอีกแล้ว อให้คุณกับรักแรกของคุณจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ลี่เยี่ยนซิวกอดเธอพร้อมน้ำตาคลอเบ้า “เสิ่นจาวหนิง คุณเป็นคนที่เข้ามาหาผมก่อน แล้วตอนนี้คุณจะทิ้งผมง่ายๆ ได้ยังไง?” ****** หลังจากที่เสิ่นจาวหนิงหย่า งานของเธอไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บริษัทก็เตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในงานเลี้ยงฉลอง ลี่เยี่ยนซิวก็เข้าร่วมด้วย เขามองอดีตภรรยาที่จับมือผู้ชายอื่นด้วยความหึงหวงอย่างแรง ขณะที่เสิ่นจาวหนิงเตรียมเปลี่ยนชุด เขาก็ตรงเข้ามาหาเธอในห้องลองเสื้อ “ผู้ชายคนนั้นดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสิ่นจาวหนิงถึงสังเกตเห็นว่าลี่เยี่ยนซิวร้องไห้แล้ว น้ำตาของเขาตกลงบนกระดูกไหปลาร้าของเธอและมันรู้สึกร้อนๆ “เสิ่นจาวหนิง ผมเสียใจแล้ว เราคืนดีกันได้ไหม?”
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY