ใครๆก็บอกว่าคุณสส. น่ะใจร้าย
ใครๆก็บอกว่าคุณสส. น่ะใจร้าย
ใจคุณร้ายดังเขาว่า
บทนำ
ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์คับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาจากหลากหลายประเทศ ที่ล้วนหลั่งไหลเข้ามาเพื่อร่วมงาน ASEAN Ceramics Expo Bangkok 2024 ซึ่งเป็นงานด้านเซรามิกที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยงานนี้ได้รับความร่วมมือจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงฟากรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศษฐกิจและยกระดับสินค้าจากฝีมือชาวไทย
มีสินค้าเข้าร่วมโครงการมากกว่าหนึ่งพันแบรนด์ โดยคิดเป็นของคนไทยห้าสิบเปอร์เซ็นต์และต่างชาติอีกห้าสิบ ผู้ประกอบการต่างเข้ามาร่วมงานเพื่ออวดโฉมสินค้าจากฝีมือของตน ทั้งยังเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่สนใจจับจ่ายเลือกซื้อ
เสียงของพิธีกรหญิงดังเข้าโสตประสาทอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนมันจะกลายเป็นเสียงที่เรียกให้ร่างกำยำในชุดสูทสุภาพจำต้องลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ขอเรียนเชิญท่านสัตรา เจียรโณทัย ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญาให้เกียรติกล่าวเปิดพิธีด้วยค่ะ”
เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมเจ้าของชื่อที่ก้าวขาตรงไปยังเวทีด้านหน้า ทุกการก้าวเดินของนักการเมืองหนุ่มล้วนสะกดสายตาแขกเหรื่อให้มองราวถูกต้องมนตร์ ด้วยมาพร้อมใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาดำขลับรับกับจมูกโด่ง ผิวสีแทนอย่างคนชอบกิจกรรมกลางแจ้งเสริมให้มาดเข้มขรึมแสนสุขุมนั่นถูกกระตุ้นจนเตะตาใครหลายคน ผนวกกับความสูงร้อยแปดสิบกลางๆ ยิ่งส่งให้ดูสง่าทุกอิริยาบถ
หากไม่อยู่ในแวดวงการเมือง คนคนนี้ควรไปโลดแล่นบนหน้านิตยสาร
ไม่พอเท่านั้น เจ้าตัวยังพ่วงมาด้วยตำแหน่งหน้าที่ระดับประเทศในขณะที่มีอายุเพียงสามสิบหกปีเท่านั้น ทั้งเป็นสส. บัญชีรายชื่อลำดับที่เก้าของพรรคการเมืองที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งจนได้จัดตั้งรัฐบาล บทบาทในพรรคก็ยังได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการ แม้ว่าจะมีผู้อาวุโสอยู่มากก็ตาม แต่เขาก็สามารถคว้าตำแหน่งสูงๆ รวมถึงปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ มาได้ และยังได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย
ทั้งหมดนั่นนอกจากความสามารถแล้ว เขาก็ยอมรับว่ามีเส้นสายที่ดีอย่างบิดา ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของพรรคที่หลังส่งลูกชายคนโตลงสนามเลือกตั้งได้สำเร็จในสมัยแรก พอสมัยที่สองเขาก็หายห่วง ปัจจุบันจึงเกษียณตัวเองอยู่บ้านเฉยๆ ใช้เงินที่โหมหามาทั้งชีวิตกับการพาภรรยาคู่บุญท่องเที่ยวไปตามต้องการ
สัตรากล่าวตามสคริปต์ที่ได้รับก่อนหน้าด้วยท่าทีแสนสุภาพและสุขุมไปในที ใช้เวลาชั่วครู่ก็มาถึงการตัดริบบิ้นโดยมีผู้เกี่ยวข้องขึ้นมายืนขนาบข้างร่วมสิบคน เสร็จสรรพแล้วจึงพากันลงไปนั่งที่เดิมเพื่อชมการแสดงเปิดงานซึ่งเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญของเมืองไทยอย่างนาฏศิลป์
เสียงดนตรีไทยถูกบรรเลงพาคนฟังจรรโลงใจ ก่อนนางรำจะสืบเท้าเดินออกมาจากหลังม่าน ก้าวขึ้นบันไดฝั่งละหนึ่งคนจนพาตัวเองมายืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนเวที ก่อนมีนางรำมาอีกหนึ่งคู่ ประกบกันเป็นฝั่งละสองคน ทว่าพวกหล่อนก็ทำเพียงตั้งท่าแต่ไม่เริ่มทำการแสดงเสียที
และแล้วนางรำคนสุดท้ายก็ออกมาจากหลังม่านก่อนไปหยุดยืนประจำตำแหน่งของตน
ก็ถ้าสี่คนก่อนหน้าเปรียบดังนางฟ้า คนสุดท้ายคงเป็นถึงราชินีแห่งสรวงสวรรค์กระมัง
นักการเมืองหนุ่มรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจยามได้มองสาวงามร่ายรำขยับร่างกายด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อย ใบหน้าขาวผ่องตัดกับริมฝีปากสีแดงระเรื่อ ชฎาที่ถูกสวมส่งให้เจ้าหล่อนแลดูงดงามราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์มาโปรดมวลมนุษย์ก็ไม่ปาน ชุดสีทองอร่ามกับผิวขาวผ่องยิ่งขลับกันได้อย่างลงตัว
ภายใต้ใบหน้าเรียบสนิทนั้น สัตราค่อนข้างพึงพอใจที่ได้เชยชมการแสดงชุดนี้
ผู้คนต่างก็ยกมือถือขึ้นมาบันทึกภาพความสวยงามอันน่าประทับใจ แต่เขาเพียงแค่นั่งมองหล่อนด้วยตาเนื้อ เก็บกักความสวยงามไว้ด้วยดวงตาคู่คม
จังหวะหนึ่งของการร่ายรำ นัยน์ตาสวยสบเข้ากับสายตาคู่หนึ่งที่สะกดจนเธอเกือบจะรำพลาด ก่อนรีบดึงสายตาไปทางผู้ชมท่านอื่นโดยเร็ว ที่ก็เห็นเพียงกล้องหลังของโทรศัพท์มือถือที่บันทึกวิดีโออยู่เท่านั้น
เกือบห้านาทีให้หลังรำอัปสราก็มาถึงช่วงท้ายของการแสดง ห้าสาวสวยดุจดังนางฟ้าพากันเดินลงไปยังด้านล่างก่อนรับพานขนาดเล็กที่มีกลีบกุหลาบบรรจุอยู่มาถือไว้ แล้วค่อยๆ ย่างกรายต่อแถวเดินผ่านเหล่าคนใหญ่คนโต
นางรำต่างหยิบกลีบสีแดงสดของกุหลาบมาโปรยลงพื้นอย่างเชื่องช้าและอ่อนช้อย ราวเป็นการละเล่นของนางในวรรณคดีก็ไม่ปาน ทุกอิริยาบถยังคงสง่างามดุจนางฟ้านางสวรรค์ ทว่าสาวงามทั้งสี่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของใครคนนั้นเลย นัยน์ตาคมเข้มตวัดไปมองคนสุดท้ายอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งเจ้าหล่อนก็จำต้องเดินผ่าน
แม้จะพยายามหลบสายตาที่พาให้คันยุบยิบในใจแต่ก็ไม่เป็นผล
กลีบกุหลาบถูกโปรยลงตรงหน้าท่านประธานในพิธีวันนี้ และมันควรลงไปนอนอยู่บนพื้นอย่างที่เคยเป็นมาตลอด สี่คนที่โปรยต่อหน้าเขาก็มีหลักฐานทนโท่ว่ามันนอนแอ้งแม้งอยู่ที่ปลายเท้า แต่กับกลีบสีแดงสดที่ร่วงหล่นลงมาจากมือของนางรำคนสุดท้าย กลับไปอยู่บนฝ่ามือหนาที่เอื้อมมารับไว้
ลมหายใจของหล่อนสะดุดไปหนึ่งห้วง รีบดึงสายตาไปหามนุษย์คนอื่นแทนที่จะมองใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ของฝ่ายชาย
ร่างระหงในชุดสง่าก้าวเดินขึ้นเวทีมาหยุดอยู่ตรงกลาง ร่ายรำต่ออีกนิดก็เป็นการจบการแสดง
เสียงปรบมือดังกระฉ่อนไปทั่วบริเวณ รวมถึงคนที่เก็บกลีบกุหลาบเข้ากระเป๋าเสื้อก็มิวายปรบมือให้ด้วยความชื่นชม
“จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะสำหรับการแสดงรำอัปสราจากคณะร่ายดาหลา” พิธีกรกล่าวดำเนินงานตามหน้าที่ โดยห้าสาวงามต่างพากันมุ่งหน้าลงไปจากเวที “น้องนางรำเดี๋ยวขอถ่ายรูปรวมหน่อยนะคะ”
ทั้งหมดเป็นอันชะงักเท้า แล้วจึงเดินกลับมายืนที่เดิม
“ขอเชิญท่านผู้บริหารทุกท่านขึ้นมาเก็บภาพความประทับใจกับการแสดงของน้องๆ ทั้งห้าหน่อยค่ะ”
นั่นก็คงจะรวม ‘เขา’ ด้วยกระมัง
สัตราจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วก้าวไปยังเวทีพร้อมกับพลพรรค เลือกที่จะหยุดยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเจ้าของกลีบกุหลาบสีแดงสดในกระเป๋า ที่มันแดงพอๆ กับริมฝีปากบางที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติก
เจ้าหล่อนเม้มปากเป็นเส้นตรงพลางเหลียวหลังมามอง
ริมฝีปากหยักขยับพอให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา “มองกล้อง”
คนตัวเล็กไม่ตอบเป็นคำพูดแต่ปฏิบัติตามทันควัน เธอก็แค่สงสัยว่าเขาหยุดอยู่ข้างหลังเธอจริงหรือไม่ เพราะตอนเห็นชายผู้นี้เดินมา หางตายังไม่เห็นว่าเขาเดินผ่านตัวเองไป เพื่อความแน่ใจจึงชำเลืองมองซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“น้องนางรำรบกวนนั่งได้ไหมคะ”
เพราะบรรดาผู้บริหารมีความหลากหลายสูงมาก ทั้งสูงลิ่วและสูงเกินหลักกิโลเมตรมานิดหน่อย หากสาวๆ ยืนอยู่แถวหน้าก็มีโอกาสที่จะบดบังคนแถวหลังจนมิด ไหนเล่าเหล่านางฟ้ายังมีชฎาสวมบนศีรษะอีกด้วย
ทั้งห้าชีวิตก็ทำตามอย่างว่าง่าย หลังได้รูปถ่ายจนพอใจสื่อมวลชนแล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจของพวกเธอ ครั้นพอจะลุกขึ้นยืนดันทำได้ลำบากกว่าชาวบ้านชาวช่องเพราะชุดที่ใส่ค่อนข้างรัดรูป เดินเหินก็ไม่สะดวก คนที่อยู่ใกล้เคียงจึงต้องยื่นมือมาช่วยพยุง สร้างรอยยิ้มให้แก่บรรดาแขกเหรื่อที่ได้เห็นภาพบรรยากาศน่ารักน่าเอ็นดูของเหล่านางฟ้าได้เป็นอย่างดี
จะมีก็แต่นางฟ้าคนสุดท้ายที่ยิ้มไม่ออกเมื่อคนที่ให้การช่วยเหลือเธอคือเจ้าของนัยน์ตาดำขลับแสนลึกลับนั่น
สุ้มเสียงทุ้มดังทะลุโสตประสาท “ขออนุญาต”
ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร รู้อีกทีเขาก็คว้าเข้าที่ต้นแขนใกล้ๆ กับพาหุรัดสีทองอร่าม ผิวเนื้อสัมผัสกันครั้งแรกก่อนเจ้าตัวจะออกแรงดึง เธอก็รีบยันตัวลุกขึ้นแล้วจึงถดกายออกเล็กน้อย
เจ้าหล่อนหันไปค้อมศีรษะให้อีกฝ่ายตามมารยาทพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ขอบคุณค่ะ”
แล้วจึงสับเท้าลงจากเวทีอย่างกับเท้าเปล่าๆ นั่นสัมผัสเปลวไฟก็ไม่ปาน
ทั้งวัยเยาว์และตอนนี้...เธอเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเสมอ เช่นเดียวกับเขา...ที่เป็นแค่คนอื่นในสายตาของเธอมาตลอดเช่นกัน
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
"พี่เจี๋ยข้าอยากได้อีกจุมพิตเพิ่มพลังของท่าน" ฉีเย่ว์กล่าวงึมงำบนริมฝีปากของเขา นางเป็นฝ่ายดูดกลีบปากของหยางเจี๋ยเบา ๆ ซุกไซร้ซอกซอนแหย่ลิ้นเข้าไปในปากของเขา สัมผัสอ่อนนุ่มในคราแรกเริ่มโหมกระหน่ำร้อนแรงมากขึ้น ฉีเย่ว์ปลดสายรัดเอวของเขาออกสอดมือล้วงเข้าไปในกางเกงของหยางเจี๋ยพบเนื้อร้อนของเขาแข็งแกร่งขึ้นเต็มลำ นางขยำแรง ๆ พร้อมกับรูดมือเบา ๆ "อ๊า คนดีของพี่" หยางเจี๋ยมือหนึ่งประคองศีรษะของนางให้แนบชิดกับปากของเขาอีกมือล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของนาง ฉีเย่ว์ไร้อาภรณ์กางกั้นด้านในนางใส่เพียงเสื้อคลุมนอนสีขาวเท่านั้น เขาลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางไล้นิ้วลงไปจนถึงแก้มก้มแล้วขยำเบา หนัก สลับกัน "พี่เจี๋ยให้ข้ารักท่านเถิด" ฉีเย่ว์กัดปากข่มเสียงครางเอาไว้ นางดึงกางเกงของเขาออกโดยมีหยางเจี๋ยคอยช่วยเหลือ นางขึ้นคร่อมเขาอย่างกระหายไม่บัดนี้ตื่นอย่างเต็มตาในขณะที่ควงเอวควบขี่เขาเป็นจังหวะ หยางเจี๋ยขยับรับจังหวะที่องค์ราชินีของตนเองควบขี่ เขาเด้งสะโพกขึ้นรับนางมือดึงผ้ารัดเอวของนางออกแล้วทิ้งไว้ด้านข้าง แหวกสาบเสื้อของนางแล้วผวาศีรษะขึ้นมาอ้าปากดูดรับเนื้ออวบของนางที่กระเด้งเป็นจังหวะ ฉีเย่ว์ดันร่างของตนเองเข้าหาปากเขามือช่วยประคองศีรษะของหยางเจี๋ยให้แนบชิด หยางเจี๋ยดูดปทุมถันคู่งามอย่างกระหาย เสียงหอบหายใจของฉีเย่ว์สั่นสะท้านหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาคือหัวหน้าหน่วยจู่โจมที่ตายในสงคราม และได้ย้อนเวลากลับมาหลายร้อยปีกระทั่งฟื้นขึ้นมาในร่างเด็กน้อยนาม หยางเจี๋ย เด็กผู้อาภัยจากตระกูลใหญ่ ที่บิดาและมารดาถูกใส่ความว่าทุจริตจนต้องจบชีวิตลง หยางเจี๋ยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตในจวนราชครู สหายของบิดา และที่นี่เขาได้พบกับเด็กน้อยผู้หนึ่งนาม ฉีเย่ว์ ธิดาของท่านราชครูฉีผู้สูงส่ง พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ความใกล้ชิดทำให้เขาหวั่นไหว หยางเจี๋ยจะทำเช่นไรเมื่อได้พบว่า ตัวเอง ตกหลุมรักคุณหนูผู้สูงส่งจนหมดหัวใจไปเสียแล้ว เขารักนาง ต้องการทำให้นางตกเป็นของเขา และทำลายขวากหนามทุกอย่างที่ขัดขวางให้หมดสิ้นไป เพื่อนางเพียงคนเดียว
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY