เขาแอบรักเธอตั้งแต่เขายังเรียนมัธยมต้นแต่ไม่กล้าบอกเพราะเธอเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทจนผ่านมาถึง10ปีเขาได้เจอกับเธออีกครั้งและตั้งใจจะบอกกับเธอ แต่เขาก็ต้องมีคู่แข่งอีกหลายคนดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนเพื่อทำให้เธอรักเขาให้ได้
เขาแอบรักเธอตั้งแต่เขายังเรียนมัธยมต้นแต่ไม่กล้าบอกเพราะเธอเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทจนผ่านมาถึง10ปีเขาได้เจอกับเธออีกครั้งและตั้งใจจะบอกกับเธอ แต่เขาก็ต้องมีคู่แข่งอีกหลายคนดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนเพื่อทำให้เธอรักเขาให้ได้
"ไอ้ฝ่าง..มึงจะบอกว่า...มึงไม่เคยมาที่ไร่นี่เลยตั้งแต่แม่มึงย้ายมาอ่ะนะ"
"เออ!..ก็หลังจากที่พ่อตาย แล้วแม่ทำใจไม่ได้ ฝ้ายก็เลยลาออกจากครูมาดูแลไร่แทน แล้วให้กูไปเรียนต่อกับมึงที่อเมริกา...หลังจากนั้นก็ขายที่เพราะแม่เศร้าไม่หาย จากนั้นก็มาซื้อที่ๆนี่แทน กูก็กลับมาพร้อมมึงแล้วจะถามทำไมวะ ไอ้ดิน"ฝ่างพูด
"แล้วนี่มึงจะไปถูกเหรอวะ"ดินพูด เขาเป็นคนขับรถมาให้
"กูโทรบอกแม่แล้ว แม่บอกให้ไปคอยที่แยกปากแซง เดี๋ยวยายฝ้ายจะออกมารับ"ฝ่างบอก
ฝ่างกับดินเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆเพราะบ้านอยู่ติดกัน ฝ่างมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อฝ้าย ดินเป็นลูกคนเดียวจึงมักจะมาเล่นที่บ้านของฝ่างเสมอ ดินแอบชอบฝ้ายมาตั้งแต่ตอนที่ดินเรียนม.ต้นแล้ว แต่ดินไม่กล้าบอก เพราะกลัวว่าฝ้ายจะไม่ชอบและจะเปลี่ยนไป จนกระทั่งฝ้ายสอบติดไปเรียนที่เชียงใหม่ ดินก็ไม่ได้เจอฝ้ายอีกเลยเพราะพอฝ้ายเรียนจบกลับมาบ้านดินกับฝ่างก็ได้ทุนไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกา ดินกับฝ่างเรียนจนกลับมาตั้งแต่3ปีที่แล้วแต่ต้องทำงานใช้ทุนอีก3ปี ฝ่างจึงเพิ่งได้กลับมาบ้านและดินก็ขอตามมาเที่ยวด้วย
"ฝ้ายคงเปลี่ยนไปมากแล้วมั้ง...กูไม่ได้เจอมาตั้ง10ปีแล้ว"ดินพูด
"มึงยังชอบยายฝ้ายอยู่อีกเหรอ"ฝ่างถาม
เขารู้ว่าดินชอบฝ้ายเพราะดินบอกกับเขาเอง
"กูก็ไม่แน่ใจ..กูถึงต้องตามมึงมานี่ไง"ดินพูด
"แล้วมึงจะแน่ใจได้ยังไงวะ"ฝ่างถาม
"ก็ถ้ากูเห็นฝ้ายแล้ว ความรู้สึกกูเหมือนเดิม กูก็คงจะยังชอบอยู่แต่ถ้าไม่...กูก็คงไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้องมึงแล้ว"ดินพูด
"อย่าบอกนะที่มึงไม่ยอมคบกับใครตอนที่เรียนเพราะมึงคิดว่ามึงยังชอบฝ้ายอยู่อ่ะ"ฝ่างถาม
"คงงั้นมั้ง...แต่เดี๋ยวก็รู้"ดินพูด
สักพักใหญ่ดินก็ขับรถมาจอดที่แยกปากแซงตามที่แม่ของฝ่างบอก
"เฮ้ย!ไอ้ฝ่าง มึงดูคนที่ขี่บิ๊กไบค์คันนั้นสิวะ หุ่นอย่างกับผู้หญิง ตัวเล็กแค่นั้นถ้ารถล้มจะยกไหวเหรอวะ"ดินพูด
เขาชี้มือไปที่คนขี่รถบิ๊กไบค์ ที่ขี่เข้ามาจอดข้างหน้ารถของดินกับฝ่างไม่ไกลนัก
"เออ!ว่ะ"ฝ่างพูด
ครืด ครืดเสียงมือถือของฝ่างดังขึ้น เขามองดูเบอร์แล้วไม่คุ้นเลย
"สวัสดีคับ".
"พี่ฝ่างนี่ฝ้ายเองค่ะ..พี่ฝ่างถึงไหนแล้วคะ"
"อ้าว!ฝ้ายเหรอ พี่จอดรถอยู่ที่แยกปากแซงแล้ว เราน่ะอยู่ไหน"
"พี่ฝ่างมารถอะไรคะ"
"พี่มารถเก๋งของไอ้ดินมันน่ะ"
"ใช่รถเก๋งสีดำมั้ยคะ"
"ใช่..เราเห็นแล้วเหรอ"
"ค่ะ..ก็ฝ้ายอยู่ข้างหน้าพี่ฝ่างนี่แหละค่ะ ลงมาสิคะ"
ตู๊ด ตู๊ด ฝ้ายวางสายไปแล้ว
"ฝ้ายว่าไงบ้างวะ"ดินถาม
"ฝ้ายบอกว่าเห็นเราแล้วและอยู่ข้างหน้าเรา...ไหนวะกูเห็นแต่คนขี่บิ๊กไบค์...เฮ้ย!นั่นมัน"ฝ่างอุทานเสียงดัง
เขาชี้มือไปที่คนขี่บิ๊กไบค์ที่ตอนนี้ถอดหมวกกันน็อคออกแล้ว
"อะไรวะ...โอ้โห้!สวยว่ะ มึงจะตกใจทำไมวะ"ดินบอก เขาหันไปตามที่ฝ่างชี้มือ
"ก็นั่นมัน..ยายฝ้ายน้องกู"ฝ่างบอก เขาเปิดประตูรถออกไปทันที
ดินถึงกับอึ้ง นี่เขาไม่ได้เห็นฝ้ายมา10ปี เธอเปลี่ยนไปจนเขาจำไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายที่เห็นเธอตัวผอมๆ หน้ามีสิวเต็มไปหมด หน้าก็ออกสีน้ำตาลไม่ได้ขาวเนียนแบบนี้ ที่สำคัญคือเธอกลัวรถมอเตอร์ไซค์ที่สุด
แต่นี่ฝ้ายขี่บิ๊กไบค์ เธอสวมกางเกงยีนต์ขายาว สวมเสื้อยืดข้างใน แล้วสวมแจ็คเก็ตยีนต์ทับข้างนอก สวมรองเท้าบูทหุ้มส้นสูงเกือบถึงเข่า ผมตรงยาวถึงกลางหลังสีดำสนิท ตาคมปากนิด จมูกหน่อยแต่ที่เขาชอบที่สุดคือเธอมีลักยิ้มทั้งสองข้าง เวลาเธอยิ้มจึงน่ารักมากๆ
ดินหัวใจเต้นแรงมาก..นี่ขนาดยังไม่ได้ลงไปเจอจริงๆเขายังใจเต้นขนาดนี้ นี่ก็แสดงว่าเขายังชอบเธออยู่สินะ
"ยายฝ้าย"ฝ่างเรียก เขาเปิดประตูรถลงไปแล้ว
"พี่ฝ่าง"ฝ้ายเรียก
เธอวางหมวกกันน็อคลงที่เบาะรถแล้วยิ้มก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดฝ่างทันที
"ฝ้ายคิดถึงพี่ฝ่างที่สุดเลยค่ะ"
"พี่ก็คิดถึงเรากับแม่มาก...พี่ขอโทษที่ปล่อยให้เรากับแม่ต้องลำบาก"
"ไม่เป็นไรค่ะ..พี่ฝ่างต้องไปเรียนนี่คะ ฝ้ายกับแม่ไม่ลำบากหรอกค่ะ
"เออ!นี่ไอ้ดินเพื่อนพี่ เรายังจำได้มั้ย"ฝ่างบอก
ดินเปิดประตูรถลงมายืนข้างๆแล้ว
"สวัสดีค่ะพี่ดิน จำได้สิคะ"ฝ้ายยิ้ม
เธอมองผู้ชายตรงหน้า เขาเปลี่ยนไปมากทีเดียว เขาสูงขึ้น ขาวมากขึ้น ตาคม จมูกโด่ง ปากหยักได้รูป ผมหยักศกสีดำ แต่ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเธอก็ไม่มีวันลืมเขาได้หรอก ก็เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่เธอแอบชอบและยังคงชอบมาถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ก็ตาม
"สวัสดีคับน้องฝ้าย"ดินพูด
"เรียกฝ้ายเฉยๆเหมือนแต่ก่อนก็ได้ค่ะ"ฝ้ายยิ้ม
"ใช่มึง..ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นหรอก"ฝ่างว่า
"แหม!ก็ฝ้ายสวยมากขึ้นและเป็นสาวแล้วด้วย ก็ต้องเรียกดีๆหน่อยสิ"ดินยิ้ม
"ฝ้ายก็ยังเป็นฝ้ายคนเดิมแหละค่ะ...ไม่ว่าจะนานแค่ไหน"ฝ้ายบอก
"แล้วทำไมเราแต่งตัวแบบนี้ แล้วทำไมไม่เอารถยนต์มา ขี่คันนี้มาถ้าล้มแล้วจะยกไหวเหรอ"ฝ่างว่า
"ไม่ล้มหรอกค่ะ...มาคันนี้สะดวกกว่า งั้น!พี่ๆก็ขับรถตามฝ้ายมาก็แล้วกันนะคะ เดี๋ยวค่อยไปคุยต่อที่บ้านค่ะ"ฝ้ายบอกยิ้มๆ
"ให้พี่ขี่ไปให้มั้ย..แล้วเรานั่งรถไปกับไอ้ดิน"ฝ่างบอก
"ไม่ต้องหรอกค่ะ..ฝ้ายมีใบขับขี่แต่พี่ฝ่างไม่มีนะคะ ไปค่ะ"ฝ้ายยิ้ม
เธอเดินกลับไปที่รถสวมหมวกกันน็อคแล้วติดเครื่อง
ฝ่างกับดินเดินกลับขึ้นไปบนรถ ดินติดเครื่องรถ เขารอจนฝ้ายขี่รถออกไปก่อนแล้วก็ขับตามไป
เขาตกหลุมรักเพื่อนสนิทของน้องสาวตั้งแต่เห็นครั้งแรกแต่เพราะเธอมีนิสัยที่ไม่เหมือนใครทำให้เขาไม่กล้าแสดงตัวว่าชอบได้แต่พยายามตีสนิทโดยมีน้องสาวตัวแสบคอยช่วยเหลือคงต้องมาช่วยกันลุ้นว่าเขาจะจีบเธอมาเป็นแฟนได้มั้ย
เมื่อเขาต้องเลือกเจ้าสาวจากลูกสาวของเพื่อนสนิทของพ่อที่มีอยู่2คน คนพี่สวยเซ็กซี่หยิ่งทนง คนน้องสวยน่ารักใสซื่อไม่ถือตัว เขาควรจะเลือกใครดี
เขาเป็นลูกชายของมาเฟียที่ผันตัวเองมาทำธุรกิจ เขาควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไม่จริงจังกับใครแต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ช่วยชีวิตเธอไว้โดยบังเอิญแล้วนั่นก็เป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเขาตกหลุมรักเธอโดยยังไม่รู้แม้แต่ชื่อ แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยเธอไป
เขาหลงรักเธอตั้งแต่ในความฝันแล้วพยายามตามหาเธอในความจริงจนกระทั่งพรหมลิขิตก็ทำให้เขาได้เจอกับเธอ
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
เธอแอบชอบรุ่นพี่มาตั้งแต่เข้ามหาลัยปี 1 แต่ไม่กล้าบอกจนผ่านมาได้ 1 ปีเธอถึงได้กล้าไปบอกเขาและขอตามฉี่เป็นเวลา 3 เดือนเขาปฏิเสธ
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ก็เลิกกันไปแล้ว ไม่รักกันแล้ว ไม่มีสิทธิ์ทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ขุนพลแฟนเก่าของนาเดียพยายามเข้าใกล้เธอเหมือนมีเจตนาแอบแฝง นาเดียไม่ไว้ใจเขาทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้พบหน้า เธอพยายามถอยห่าง เขาพยายามรุกคืบ และการกระทำนั้นทำให้เธอเริ่มสั่นคลอนลงทุกวัน เขายังทำตัวเป็นหมาหวงก้าง และระรานคนไปทั่ว ผู้ชายเฮ็งซวยที่เลิกกันไปหลายปีแล้วกำลังทำให้เธอเจอกับเรื่องยุ่งเหยิงที่ยิ่งแก้ก็เหมือนยิ่งพันตัวเธอจนติดหนึบกับเขา คำแนะนำ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นนะคะ หากชื่นชอบรบกวนผู้อ่านทุกท่านกดหัวใจเพื่อเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยนะคะ และซื่อในเว็บหรือแอนดรอยจะราคาถูกกว่า แอปเปิ้ลนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ
หลังจากเมา เธอก็ได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง เธอต้องการความช่วยเหลือจากเขา ส่วนเขาหลงเสน่ห์รูปร่างที่ดีและความสวยงามของเธอ พอเวลาผ่านไป เธอก็ตระหนักได้ว่าเขามีคนอยู่ในใจแล้ว เมื่อรักแรกของเขากลับมา เขาก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ละคืนเหวินม่านอยู่ในห้องว่างเปล่าด้วยคนเดียว แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เธอได้รับมาก็มีแต่เช็คใบหนึ่งและคำกล่าวลาเท่านั้น เดิมทีคิดว่าเธอจะร้องไห้โวยวาย แต่ไม่คาดคิดว่าเธอหยิบใบเช็คแล้วจากไปอย่างไม่ลังเล: "คุณฮั่ว ลาก่อน!"... พอพบกันอีกครั้ง เธอก็มีคนอยู่ข้างกายแล้ว เขาพูดด้วยตาแดงก่ำ: "เหวินม่าน ผมคบกับคุณมาก่อนนะ" เหวินม่านยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า "ทนายฮั่ว คนที่บอกเลิก นั่นคือคุณเองนะ! ถ้าอยากจะเดทกับฉัน คุณต้องต่อคิว..." วันถัดมา เธอได้รับเงินโอนหนึ่งแสนล้านพร้อมแหวนเพชร ทนายฮั่วคุกเข่าข้างหนึ่ง: "คุณเหวิน ผมอยากจะแทรกคิว"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด