ต่ำศักดิ์ ไร้ค่าแล้วอย่างไร ในสายตาของนาง เขาคือยอดบุรุษผู้สง่างาม ความอัปยศที่เขาเคยได้รับ ความเจ็บช้ำที่เขาเคยต้องอดทน วันนี้นางจะทวงคืนให้เขาเอง "บุรุษของข้า ใครกล้าแตะต้องก็ลองดู"
ต่ำศักดิ์ ไร้ค่าแล้วอย่างไร ในสายตาของนาง เขาคือยอดบุรุษผู้สง่างาม ความอัปยศที่เขาเคยได้รับ ความเจ็บช้ำที่เขาเคยต้องอดทน วันนี้นางจะทวงคืนให้เขาเอง "บุรุษของข้า ใครกล้าแตะต้องก็ลองดู"
เผี๊ยะ! เสียงเนื้อปริแตกเพราะถูกแส้ฟาดลงมาที่ร่างกาย อวิ๋นหรงหยางกัดฟันข่มความเจ็บปวด หยัดกายลุกขึ้นช้า ๆ กลิ่นคาวโลหิตโชยมาจากแผ่นหลัง เขารับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อน ทว่าไม่อาจเอื้อมมือไปเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากปากแผลของตนได้ ยังไม่ทันได้หยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง แส้เส้นเดิมก็ตวัดลงมาอีกครั้ง
“ลูกแกะตัวน้อย วิ่งเร็วเข้า ฮ่า ๆ เจ้าเชลยต่ำต้อย ข้าบอกให้วิ่ง หากวันนี้เจ้าแพ้ ก็เตรียมตัวเป็นอาหารของเสี่ยวไกวไกวของข้าเสีย ถูกสัตว์เลี้ยงแสนรักของข้ากินเป็นอาหาร นับเป็นวาสนาของเชลยอย่างเจ้าแล้ว ฮ่า ๆ ”
เผี๊ยะ! เหมือนกับว่ายังสะใจไม่พอ แส้จากมือของบุรุษที่ส่งเสียงหัวเราะฟาดลงมาบนร่างกายของอวิ๋นหรงหยางครั้งแล้วครั้งเล่า องค์ชายตัวประกัน กำมือแน่น ดวงตาคมเหลือบมองคนตรงหน้าหมายจะจำใบหน้านี้ให้ฝังลึกเข้าสู่จิตใจอย่างไม่ลืมเลือน
ทว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวเขาก็หลุบเปลือกตาลง โน้มกายไปข้างหน้า จากนั้นก็ก้าวขาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงหมาป่าที่เห่ากระโชกดังอยู่ข้างหน้า อีกเพียงชั่วอึดใจเดียวเขาก็จะวิ่งไปถึงมันแล้ว แต่ก่อนที่เท้าข้างซ้ายจะพ้นขาหน้าของหมาป่าตัวใหญ่ เชือกที่รัดลำตัวของเขาก็ถูกกระตุกจากด้านหลัง องค์ชายเชลยล้มคว่ำลงกับพื้น ฟันกรามขบเข้าหากันแทบแตกเป็นผุยผง มือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ดวงตาเขาเต็มไปด้วยสีแดงฉาน แต่กระนั้นก็รีบหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนร้าวไปทั้งทรวงอก
“ฮ่า ๆ ขาไร้ประโยชน์ของเจ้าไม่เอาไหน เหมือนเช่นแคว้นต้าอวี่ของเจ้าไม่มีผิด” เสียงหัวเราะขบขันดังไปทั่วทุ่งหญ้า ต่อให้ได้รับความอัปยศเพียงใด คนเช่นเขาก็ทำได้เพียงอดทน ทหารผู้หนึ่งฟาดแส้ลงมาอีกครั้ง ร่างกายที่กำลังจะลุกขึ้นก็ล้มลงไปที่เดิม
“ยังจะนอนอยู่อีก เจ้าคิดว่าสนามแห่งนี้เป็นตั่งคนงามหรืออย่างไร ข้าบอกให้ลุก!” อวิ๋นหรงหยางพยายามลุกขึ้น มีเพียงแค่ต้องอดทนเท่านั้น จึงจะอยู่รอด ชายหนุ่มเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า กัดฟันแน่นไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ความอัปยศเหล่านี้นับเป็นอันใดได้ หากเทียบกับเสด็จแม่ของเขาแล้ว แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ
‘เสด็จแม่ พระองค์สุขสบายดีหรือไม่ หยางหยางจะอดทน’
ใช่แล้วอวิ๋นหรงหยางเป็นเพียงองค์ชายเชลย ที่ถูกส่งมาเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับความสงบสุขของแคว้นต้าอวี่ เขาเป็นเพียงเชลยไร้ค่าสำหรับแคว้นเซียนเป่ย ไม่ว่าจะถูกหยามเกียรติเพียงใด ก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น เสด็จแม่เสียสละตนเองเพื่อให้เขาเติบโต เขาจะทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ไม่ได้ ยังมีหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ หนี้เลือดของเสด็จพ่อ หนี้แค้นของเสด็จแม่ หนี้ชีวิตของน้อง ๆ ที่ถูกฝังทั้งเป็น!
อวิ๋นหรงหยางหยัดกายลุกขึ้นอีกครั้ง เขาก้าวขาออกวิ่งไปจนสุดแรง ถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่มีวันที่คนเถื่อนเหล่านั้นจะปล่อยให้เขาวิ่งชนะหมาป่าตัวนั้น แต่เขาก็ต้องวิ่ง วิ่งเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป
ฉึก! ปลายเชือกที่รั้งตัวเขาเอาไว้ถูกตัดขาด ร่างกายที่เสียสมดุลกำลังจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น เขาเกร็งร่างกายรอรับแรงกระแทก แต่แล้วบั้นเอวก็ถูกปลายแส้ตวัดรั้งเอาไว้ ร่างผอมแห้งลอยมาคุกเข่าลงตรงหน้าของสตรีผู้หนึ่ง เขามองดูนางยื่นมือมากระตุกเชือกที่ขาด พันรัดเข้ากับข้อมือตนเอง รั้งให้เขาและนางเชื่อมโยงกันด้วยเชือกเส้นใหญ่
“เสด็จพี่สามเล่นสนุกหรือไม่ น้องสาวก็อยากเล่นสนุกด้วยเช่นกัน คนผู้นี้ข้าเอาตัวไปแล้ว”
“โฮ่วทู่! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ เชลยผู้นี้เป็นของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรมาแย่งชิง”
“กล้าหรือไม่เขาก็อยู่ในมือข้าแล้ว หากอยากได้ก็แย่งชิงไป!”
อวิ๋นหรงหยางนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม ปลายเชือกยังคงอยู่ในมือของสตรีผู้นั้น ทว่าอีกมือหนึ่งของนางตวัดปลายแส้ออกไปอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เพียงไม่นานคนของอีกฝ่ายก็ล้มลงนอนกับพื้น โลหิตไหลนองส่งกลิ่นคาวคลุ้ง การต่อสู้ที่ดุเดือดจบลงอย่างรวดเร็ว อาจเพราะคนพวกนั้นสู้นางไม่ได้ หรือเพราะคนพวกนั้นไม่กล้าสู้นาง เขาไม่อาจรู้ เขารู้ก็เพียงว่า ต่อไปนี้เขาจะต้องติดตามนางให้ดี ศักดิ์ศรีหรือ หึ! คนชนะเท่านั้นถึงจะกล้าพูดคำว่าศักดิ์ศรี และเขาต้องชนะ
“ลูกแกะน้อย จากนี้ไปเจ้าก็กลับตำหนักข้าเถิด” อวิ๋นหรงหยางเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้างดงามฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างเต็มที่ ตะวันทอแสงที่อยู่ด้านหลังของสตรีสูงศักดิ์เจิดจ้าเสียจนดวงตาเขาพร่ามัว เขายกยิ้มทั้งที่เจ็บไปทั้งริมฝีปาก ร่างกายโอนเอนก่อนที่ความมืดมิดจะคืบคลานเข้ามา
ตึ้ง!
**********
ความทะเยอทะยานผลักดันให้นางปีนขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาทว่ายังมิทันจะได้เสวยสุข กลับถูกฮ่องเต้ผู้เป็นสวามีสวมข้อหากบฏวางลงบนศีรษะนาง เกิดใหม่คราวนี้นางไม่ขอเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้สารเลวผู้นั้น ชีวิตนี้ที่ได้มาใหม่อีกครั้ง นางจะลิขิตเอง
เพราะความผูกพันที่มีมาตั้งแต่เกิด ทำให้หทัยชนกไม่อาจหักห้ามความรักที่มีต่ออาหมอสิงได้อีกต่อไป และแม้รักนี้พ่อจะไม่ปลื้ม แต่หญิงสาวจะขอฝ่าฟันและไม่มีทางยอมแพ้ให้อุปสรรคในครั้งนี้เด็ดขาด
เพราะคำสัญญาของผู้ใหญ่ ทำให้ ศิรวิช จำใจต้องแต่งงานกับ สุทธิดา ชายหนุ่มทำทุกทางให้หญิงสาวทนไม่ไหว แต่เพราะความรักตั้งแต่แรกเจอ ทำให้สุทธิดาทนอยู่กับคนใจร้าย จนวันที่หญิงสาวทนไม่ไหวในวันที่สายไป ศิรวิชต้องเสียเธอไปพร้อมกับลูกแฝดที่เขาไม่เคยรับรู้
นพวรรณ ถูกบิดาและมารดาบังเกิดเกล้าที่ติดการพนันอย่างหนักขายหักหนี้ให้กับ คิม ซีวาน หนุ่มลูกครึ่งไทยเกาหลีเจ้าของบ่อนคาสิโนหรูย่านใจกลางเมือง หลังจากรู้จักกับซีวาน นพวรรณ จึงได้รู้ว่าการตกนรกทั้งเป็น มันคือยังไง ชายหนุ่มปฎิบัติกับหญิงสาวเยี่ยงทาส นพวรรณจะทนได้นานแค่ไหน เธอจะหนีจากขุมนรกนี้ได้อย่างไร
ไม่คิดว่าการช่วยชีวิตบุรุษแปลกหน้ากลางป่าในวันนั้น จะย้อนกลับมาช่วยชีวิตนางในวันนี้ "บุญคุณช่วยชีวิต วันหน้าข้าจะชดใช้ให้" "เช่นนั้นก็ชดใช้เสียวันนี้... มาเป็นสามีของข้าเถิด" ------ เยี่ยนหลิง : หญิงสาวชาวบ้าน นางเกือบถูก บังคับให้แต่งงานกับบุตรชายหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อแลกกับยารักษาร่างกายให้พี่ใหญ่ แต่แล้วที่นางเก็บบุรุษแปลกหน้าได้ที่กลางป่า ชีวิตนางก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เซียวชินหย่วน : ซื่อจื่อจวนเซียวกั๋วกง ขึ้นเขามาเก็บสมุนไพร แต่ถูกลอบทำร้ายจนพลัดตกเขา โชคดีที่ได้เยี่ยนหลิงช่วยชีวิตเอาไว้
อดีตที่เธอเคยทำร้ายจิตใจเขาเอาไว้ ยังคงเป็นรอยแผลใจยากจะสมานกลับคืนได้ คนเคยร้ายอย่างเธอต่อให้เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดียังไง เขากลับมองเป็นเพียงผู้หญิงร้ายกาจไม่เปลี่ยนแปลง
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
“สวิงของต้นกับอ้อ” ถูกเขียนขึ้นในวันที่ 10 เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2555 โดยลงในเว็บไซต์ Sudswing ที่ปัจจุบันปิดตัวถาวรไปนานแล้ว แต่เชื่อว่ายังอยู่ในความทรงจำของใครหลาย ๆ คน ซึ่งหากนับเวลาแล้วก็ครบรอบ 13 ปี พอดี ณ วันที่กำลังเริ่มต้นลงฉบับพิเศษของนิยายเรื่องนี้ โดยมีการปรับปรุงเนื้อหาในแต่ละตอนให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงการรวมตอนพิเศษและตอนที่หายไปเอามาไว้ในเรื่องนี้ สำหรับไรต์แล้ว “สวิงของต้นกับอ้อ” คือลูกคนโตและลูกรักที่นำพาให้ไรต์ก้าวมาเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัวในนิยายสายอีโรติกแนวสวิงกิ้ง NTR, Cuckold, 3P, นิยายแนวเมียสาวเหงารัก รวมถึงแนวที่สามีอยากเห็นภรรยาของตัวเองไปมีอะไรกับชายอื่น ยังไงขอฝากนิยาย “สวิงของต้นกับอ้อ” ฉบับครบรอบ 13 ปีนี้ เอาไว้ให้นักอ่านได้ติดตามกันด้วย ขอบคุณสำหรับทุกการสนับสนุนที่ทำให้ไรต์ยังคงเดินต่อไปได้บนถนนสายตัวอักษรนี้ครับ
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY