กี่ครั้งแล้วที่เฮียทำร้ายหนู กี่ครั้งแล้วที่หนูยกโทษให้กับเฮีย ฮึก...ฮือ ครั้งนี้มันไม่ได้จริงๆเฮียทำร้ายหนูหนักเกินไปแล้ว
กี่ครั้งแล้วที่เฮียทำร้ายหนู กี่ครั้งแล้วที่หนูยกโทษให้กับเฮีย ฮึก...ฮือ ครั้งนี้มันไม่ได้จริงๆเฮียทำร้ายหนูหนักเกินไปแล้ว
เพล้ง!
กรี๊ด!.......
‘โอ๊ย!...พี่ศักดิ์ปล่อยแขนกานดาก่อนนะจ๊ะ กานดาเจ็บจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ปล่อยเถอะนะ กรี๊ด~ฮือ ฮือ เจ็บ’ เสียงกรีดร้องอ้อนวอน ด้วยความเจ็บปวดและทรมาน ดังออกมาจากบ้านไม้สองชั้นหลังเก่า ที่ตอนนี้มีหญิงสาวร่างเล็กบอบบางกำลังโดนทำร้ายร่างกาย จากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี ที่อยู่กินกันมาเพียงแค่5เดือน แต่เขาก็ทำร้ายร่างกายเธอซ้ำๆ อยู่เป็นประจำ
หมับ!
‘มึงกลัวกูเหรออีกานดา อย่ามาทำเป็นสำออยหน่อยเลย กูไม่สงสารมึงหรอกนะ’ ศักดิ์หรือศักดิ์ชัยปล่อยมือออกจากแขนของกานดา จากนั้นเขาก็ตรงไปกระชากเข้าที่ผมของเธอแทน นั่นทำให้กานดานั้นต้องเซถลา ตามแรงกระชากของศักดิ์ชัย
‘โอ๊ย!เจ็บ พี่ศักดิ์ปล่อยผมกานดาก่อนนะจ๊ะ กานดาเจ็บจริงๆ ไม่ได้สำออย เชื่อกานดาสิ พี่ศักดิ์ทำร้ายกานดาเกือบทุกวัน ร่างกายของกานดามันจะรับไม่ไหวแล้วนะพี่’
‘รับไม่ไหวมึงก็ต้องรับให้ไหวอีกานดา เพราะมึงยังต้องอยู่บ้านของกู แล้วก็ไอ้เด็กเวรนั้นด้วย กูจะทุบตีมึงสองแม่ลูกยังไงก็ได้ ตราบใดที่มึงยังอาศัยบ้านของกูอยู่ เข้าใจไหมอีกานดา’
‘ก็ได้จ๊ะพี่ศักดิ์ พี่จะทุบตีทำร้ายกานดายังไงก็ได้ แต่อย่าทำอะไรท๊อปเลยนะพี่ ลูกไม่เกี่ยว’
‘มึงใช่คำว่าลูกเหรออีกานดา มึงลืมไปหรือเปล่าว่ามันไม่ใช่ลูกกู มันเป็นลูกมึงกับผัวเก่ามึงนู้น’ ศักดิ์ชัยตะเบ็งเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณ พร้อมกับเพิ่มแรงกระชากเข้าไปที่ผมของกานดาอย่างแรง จนเธอร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
และเสียงร้องของผู้เป็นแม่ ทำให้เด็กชายวัย9ขวบที่ชื่อท๊อป สะดุ้งตัวลุกจากที่นอน จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เปิดประตูไม้เก่าๆ ออกมาแอบดูเหตุการณ์ ตรงบันไดชั้นสองของบ้าน
‘อย่าเสียงดังไปเลยนะพี่ จะทำอะไรฉันก็ได้ แต่อย่าเสียงดัง ฉันไม่อยากให้ท๊อปตื่นขึ้นมาเห็นเหตุการณ์แบบนี้ ลูกยังเด็ก ฉันไม่อยากให้แกรับรู้เรื่องบ้าๆ แบบนี้’ กานดาพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ศักดิ์ชัย ด้วยร่างกายที่สั่นเทา
‘มึงพูดเองนะอีกานดาว่า กูจะทำอะไรมึงก็ได้ งั้นมึงเจอกูแน่’ พูดจบศักดิ์ชัยก็ปล่อยผมของกานดาออก จากนั้นเขาก็ง้างมือจนสุด แล้วตบเข้าที่หน้าของกานดาอย่างแรง จนเธอเซถลาล้มลงไปกับพื้น
เพี๊ยะ!
โอ๊ย!
‘พี่ศักดิ์ ฮือ ฮือ ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ กานดาเจ็บ ทำไมพี่ถึงใจร้ายแบบนี้ด้วย ยังมีความเป็นคนอยู่ไหม?’ กานดาที่ล้มนอนไปกับพื้น เธอใช้มือเช็ดเลือดที่มุมปาก จากนั้นก็หันมาพูดกับศักดิ์ชัยด้วยแววตาตัดพ้อ
‘กูชอบแบบนี้ไง เวลากูเอากับมึง มันเร้าใจกูดี’ พูดจบศักดิ์ชัยก็ตรงไปคร่อมร่างของกานดาไว้ พร้อมกับใช้มือใหญ่ของเขากระชากไปที่เสื้อของกานดาจนขาด เผยให้เห็นหน้าอกที่ล้นออกมาจากบราลายลูกไม้สีดำ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังใช้มือทั้งสองข้างของตัวเอง ตรงไปบีบคอของกานดาจนเธอเริ่มจะหายใจไม่ออก และดิ้นทุรนทุรายไปกับพื้น
แค่ก! แค่ก! แค่ก!
‘ปะ ปล่อยนะพี่ศักดิ์ กานดาจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว’ กานดาพยายามจะแกะมือของศักดิ์ชัย ออกจากคอของตัวเอง แต่ก็ยังไม่เป็นผล เพราะเขาใช้มือบีบคอของเธอจนแน่น
แต่ระหว่างที่เธอกำลังแกะมือของศักดิ์อยู่นั้น หางตาก็เหลือบไปเห็นเด็กวัย9ขวบ เดินถือมีดปลายแหลมเดินลงมาจากชั้น 2 ของบ้าน
เธอพยายามจะตะโกนห้ามลูกชายของเธอ ที่กำลังจะง้างมีดในมือแทงศักดิ์ชัยจากด้านหลัง แต่กระนั้นเสียงของเธอก็ไม่ได้ออกมาจากลำคอ เพราะตอนนี้เธอก็โดนบีบคอ จนเกือบจะขาดอากาศหายใจ จึงไม่สามารถส่งเสียงห้ามลูกชายของเธอได้
ฉึก!
อัก!
‘มึงกล้าทำร้ายกูเหรอไอ้เด็กเวร’ ศักดิ์ชัยปล่อยมือออกจากคอของกานดา จากนั้นเขาก็ยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะหมุนตัวมาหาเด็กชาย แล้วใช้มือตบเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กชายวัย9ขวบอย่างแรง จนเขากระเด็นไปติดผนังไม้เก่าๆ ภายในบ้าน
‘ท๊อปเป็นอะไรหรือเปล่าลูก ฮือฮือ พี่ศักดิ์อย่าทำอะไรลูกเลย ลูกคงไม่ได้ตั้งใจ’ กานดาพูดขณะที่พยายามจะยันตัวไปหาลูกน้อยของเธอ แต่ก็ต้องล้มลงอีกครั้ง เพราะร่างกายของเธอบอบช้ำเกินไป
‘ไม่ได้ตั้งใจเหี้ยอะไร ไม่ได้ตั้งใจเลือดกูจะไหลออกมาเยอะขนาดนี้เหรอ?’ ศักดิ์ชัยใช้มือดึงมีดที่เสียบอยู่ด้านหลังของเขาออก จากนั้นเขาก็ถือมีดตรงไปยังเด็กชายตัวเล็ก ที่นอนงอตัวอยู่กับพื้น
‘………….’ ท็อปเด็กชายตัวเล็ก ที่เมื่อเห็นศักดิ์ชัยเดินถือมีดตรงเข้ามาหา เขาก็กระเสือกกระสน ใช้เท้าดันไปกับพื้นไม้ เพื่อจะหนีจากเงื้อมือของศักดิ์ชัย
แต่กระนั้นมันก็ไม่ทันอยู่ดี เพราะศักดิ์ชัยได้จับเข้าที่ขาของเด็กชายตัวเล็กนั้นไว้ แล้วดึงเข้ามาหาตัว ก่อนจะง้างมือจนสุด จากนั้น….
กริ๊ง!........
เฮือก!.....
ผมสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาจากฝัน เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์กรีดร้อง อยู่ใกล้ๆกับตัวของผม ไม่รอช้าผมรีบใช้มือควานหา จากนั้นก็รีบหยิบขึ้นมาดูรายชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอ ปรากฏว่าคนที่โทรมาก็คือแม่ของผม และไม่รอช้าผมจึงรีบกดรับสายทันที
ติ๊ด….
“ครับแม่ โทรมาหาผมแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่นนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งน้ำเสียงแบบนี้ผมจะพูดเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น
“ (แม่อยากจะชวนท๊อปมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน แม่ทำของโปรดเอาไว้ให้เยอะเลย แต่ถ้าท๊อปงานยุ่งก็ไม่เป็นไรนะลูก แม่เข้าใจ) ” ผมอมยิ้มให้กับคำพูดของแม่ตัวเอง ที่บอกว่าเข้าใจแต่จริงๆแล้วแม่ของผมน่ะ ไม่เข้าใจอย่างที่ปากพูดหรอกครับ นี่ก็คงจะแอบน้อยใจที่ผมไม่ได้เข้าไปหาที่บ้านเลยในช่วงที่ผ่านมา
“เดี๋ยวเที่ยงผมเข้าไปหาแม่ที่บ้านแน่นอนครับ ไม่น้อยใจนะครับแม่” ผมยันตัวไปนั่งพิงกับหัวเตียงพร้อมกับพูดตอบตกลงแม่ไป ขืนถ้าผมไม่ไปกินข้าวเที่ยงกับแม่วันนี้ ต้องเจองอนหนักแน่ เพราะท่านก็โทรมาชวนผมหลายครั้งแล้ว แต่ช่วงนั้นผมกำลังยุ่งเกี่ยวกับเปิดสนามแข่งรถใหม่ของผมอยู่ กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็ใช้เวลาพอสมควร
“ (แม่จะรอนะ ว่าแต่ตอนนี้ลูกอยู่ที่บ้านหรือเปล่า?) ”
“ครับ ตอนนี้ผมอยู่บ้าน แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ (พอดีแม่จะฝากท๊อปซื้อขนมร้านโปรดของแม่น่ะ ท๊อปซื้อให้แม่หน่อยได้ไหมลูก?) ”
“ได้ครับ เอาอะไรเพิ่มอีกไหมครับ?”
“ (ไม่แล้วลูก แม่วางสายก่อนนะ ขับรถดีๆ นะลูก) ” แล้วสายของแม่ก็ถูกตัดไป ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงความฝัน ถ้าแม่ไม่โทรมาซะก่อน ผมคงจมอยู่กับความฝันที่โหดร้าย ในวัยเด็กพวกนั้นอีกนาน มันเป็นเหตุการณ์เลวร้าย ที่ทำให้ผมเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งมันทำให้ผมเป็นปกติเหมือนคนอื่นไม่ได้
คิดแล้วก็เครียด ผมนั่งถอนหายใจออกมาหนักๆ จากนั้นไม่นานผมก็ลุกขึ้นจากที่นอน เดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าไปในห้องน้ำ หวังว่าน้ำเย็นๆจะช่วงให้ผมสดชื่น และหลุดจากความเครียดไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
ติณภพตั้งใจจะรับเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่งเอาไว้ตามเจตนารมณ์ของตัวเองนั่นก็คือตอบแทนผู้มีพระคุณ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะเลี้ยงเอาไว้ที่กินเอง แต่ทว่านานวันเข้าความคิดของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
ลินินจำใจต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ยอมเป็นคู่นอนของคนที่ใจร้ายใจใจดำอย่างสิงหราช เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงเธอมา
เพราะความใจดีทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย หลังจากที่ยื่นมือเข้าไปช่วยนายน้อยแห่งตระกูลยากูซ่า
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
【สาวน้อยผู้มีความรักในใจกลายเป็นหญิงสาวที่มีสติปัญญา vs ซีอีโอผู้ตามรักอย่างบ้าคลั่ง】 ในปีที่ห้าของการแต่งงานแบบลับๆ ของเธอ เสิ่นจาวหนิงเห็นสามีของไปเปิดห้องที่โรงแรมกับรักแรกของเขากับตาตนเอง จากนั้นเธอเพิ่งรู้ว่าลี่เยี่ยนซิวแต่งงานกับเธอเพราะเธอดูคล้ายกับรักแรกของเขา เสิ่นจาวหนิงตายใจและหลอกให้ลี่เยี่ยนซิวเซ็นสัญญาหย่า หนึ่งเดือนต่อมา เธอประกาศต่อหน้าผู้คนว่า “ลี่เยี่ยนซิว ฉันไม่ต้องการคุณอีกแล้ว อให้คุณกับรักแรกของคุณจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ลี่เยี่ยนซิวกอดเธอพร้อมน้ำตาคลอเบ้า “เสิ่นจาวหนิง คุณเป็นคนที่เข้ามาหาผมก่อน แล้วตอนนี้คุณจะทิ้งผมง่ายๆ ได้ยังไง?” ****** หลังจากที่เสิ่นจาวหนิงหย่า งานของเธอไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บริษัทก็เตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในงานเลี้ยงฉลอง ลี่เยี่ยนซิวก็เข้าร่วมด้วย เขามองอดีตภรรยาที่จับมือผู้ชายอื่นด้วยความหึงหวงอย่างแรง ขณะที่เสิ่นจาวหนิงเตรียมเปลี่ยนชุด เขาก็ตรงเข้ามาหาเธอในห้องลองเสื้อ “ผู้ชายคนนั้นดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสิ่นจาวหนิงถึงสังเกตเห็นว่าลี่เยี่ยนซิวร้องไห้แล้ว น้ำตาของเขาตกลงบนกระดูกไหปลาร้าของเธอและมันรู้สึกร้อนๆ “เสิ่นจาวหนิง ผมเสียใจแล้ว เราคืนดีกันได้ไหม?”
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY