ทิพย์อัปสรนางฟ้าผู้งามละไม ได้เป็นที่รักแห่งเทพผู้ใหญ่อย่างพระเสาร์ เรื่องราวเกือบจะราบรื่นแล้ว ถ้านางจะไม่เป็นที่รักแห่งองค์พระอังคารเทพแห่งสงครามผู้แกร่งกร้าวด้วย ดังนั้นสงครามแห่งสวรรค์จึงบันเกิด!
ทิพย์อัปสรนางฟ้าผู้งามละไม ได้เป็นที่รักแห่งเทพผู้ใหญ่อย่างพระเสาร์ เรื่องราวเกือบจะราบรื่นแล้ว ถ้านางจะไม่เป็นที่รักแห่งองค์พระอังคารเทพแห่งสงครามผู้แกร่งกร้าวด้วย ดังนั้นสงครามแห่งสวรรค์จึงบันเกิด!
สูงขึ้นไป...ในห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล กล่าวกันว่า อีกฟากหนึ่งของทางช้างเผือกที่ดารดาษดวงดาวคือดาวดึงส์...อันเป็นดินแดนสวรรค์ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยความสุขสนุกสนาน ความงดงามวิจิตรตระการตานั้น จะครึกครื้นเป็นพิเศษเมื่อถึงเทศกาลดอกอาสาวดีบาน ที่พันปีจึงบานเพียงครั้งเดียว และมีอยู่ในสวนจิตรลดาวันบนดาวดึงส์เท่านั้น
เนื่องจากยามที่พวงระย้าของดอกอาสาวดีประดับไปทั่ว อาณาบริเวณอุทยานสวรรค์จะแลดูอร่ามราว
พลิ้วม่านทองคำ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลกำจายไปทั่วทุกอณูอากาศ
องค์อมรินทร์จอมเทพแห่งดาวดึงส์จึงทรงเลือกบรรยากาศน่ารื่นรมยิ่งนี้ เป็นโอกาสจัดงานเฉลิมฉลองสวรรค์ขึ้นเป็นประจำในสวนจิตรลดาวันอย่างเอิกเกริก โดยทรงเชิญปวงเทพผู้ใหญ่มาร่วมงานรื่นเริงนี้ด้วย
เหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งมวลก็พากันเตรียมต้อนรับงานฉลองสวรรค์อย่างคึกคัก มีการคัดเลือกเทพธิดาผู้ที่มีความงดงามที่สุดให้เป็น “นาฏนารี” เพื่อฟ้อนนำในระบำที่จัดถวายแด่ปวงเทพผู้ใหญ่
และในงานเฉลิมฉลองสวรรค์ครั้งนี้ ผู้ที่ได้รับเลือกว่ามีความงามเป็นเลิศคือ เทพธิดาสุลักษณา...ด้วยความงามหยาดเยิ้มและท่วงท่าอันแช่มช้อยของนาง ที่ร่ายรำอยู่ท่ามกลางเหล่านางฟ้าซึ่งกำลังจับระบำ ณ เบื้องหน้าปวงเทพทั้งหลาย ได้สะกดให้ผู้เห็นต่างเพลิดเพลินจนแทบจะไม่อาจละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
เว้นแต่องค์พระเสาร์ !
ด้วยทรงมีพระอัธยาศัยรักสงบสันโดษ จึงไม่ใส่พระทัยในงานรื่นเริงนัก ระบำยังไม่ทันจบชุดก็ดำริจะเสด็จออกจากงานฉลองไป
“อ้าว! ศนิท่านจะกลับแล้วหรือ”
พระราหูซึ่งประทับอยู่ใกล้ๆตรัสทัก เมื่อเหลือบเห็นร่างสูงสง่าของพระสหายสนิทลุกจากราชอาสน์
“อืม...” พระเสาร์รับคำอย่างคุ้นเคย
“มีกิจสำคัญใดเร่งเร้าท่าน...” สุรเสียงกังวานก้องซักถามต่อคิ้วรูปกนกบนพระพักตร์ดุร้ายอย่างพระยายักษ์ของพระราหูเลิกขึ้นด้วยความสงสัย พลางเหยียดขนดหางออกช้าๆราวเกียจคร้าน
“ไม่มี...เราเพียงแต่เบื่อที่พลุกพล่านเท่านั้น”
“ท่านนี่แปลก! นางฟ้าที่งามเลิศอยู่ตรงหน้ายังบอกว่าเบื่อได้...แล้วก็ไม่เคยเห็นท่านสนใจในสตรีนางใดเลย เฮ้อ...ดูท่าองค์กามเทพคงไม่โปรดท่านละมัง”
พระเสาร์เพียงแต่สรวลเบาๆ ต่อคำสันนิษฐานหยอกเย้าของพระสหายผู้มีรูปกายครึ่งยักษ์ครึ่งนาค แล้วเสด็จ
จากไปอย่างไม่ใส่พระทัยนัก...
ผ่านเทือกทิวเขาสลับซับซ้อนสูงชัดเสียดฟ้า ห้วงน้ำมหึมากว้างใหญ่...สู่ดินแดนหิมพานต์ที่กั้นกลางระหว่างสรวงสวรรค์กับถิ่นที่อยู่ของมนุษย์
หิมพานต์...ป่าอาถรรพณ์ที่อุดมไปด้วยมวลพฤกษา ภูผา สายธาร และเหล่าสัตว์แปลกตาหลากหลาย
แต่ในความงดงามแห่งธรรมชาติก็แฝงไว้ด้วยภยันตรายนานาทั้งจากสัตว์ป่าดุร้ายและยักษ์มารผู้สัญจรผ่าน
ดินแดนที่มนุษย์สามัญไม่สามารถอาศัยอยู่ได้นี้กลับเป็นที่ทรงสำราญแห่งองค์พระเสาร์
ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีม่วงเข้มประดับด้วยรัตนมณีนิลจึงปรากฏเด่นอยู่กลางป่าอาถรรพณ์...ดุจดั่งเคย พระเสาร์ทรงปกปิดรัศมีเจิดจ้าที่แผ่ออกรอบพระวรกายไว้ ด้วยทรงไม่ต้องการจะทำให้เกิดความแตกตื่นตกใจแก่ผู้ที่บังเอิญพานพบพระองค์เข้า
หลังจากได้ชื่นชมดื่มด่ำกับความสุขสงบของป่าเขาและธรรมชาติเป็นที่เพียงพอแล้ว พระองค์ก็ทรงนั่งเล่นอยู่
ใต้ร่มไทรใหญ่ต้นหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ ที่ขอบฟ้าทิศตะวันตกซึ่งดวงอาทิตย์สีส้มสดคล้อยต่ำจวนจรด ปรากฏร่างกินรีสามนางสวมอาภรณ์วาวระยับประดับอัญมณีอย่างธิดากษัตริย์ ต่างมีดอกไม้หลากชนิดอยู่ในอ้อมแขน บินเกาะกลุ่มหยอกล้อกัน
ใกล้เข้ามาทุกขณะ
“กุหลาบสีขาวของพี่หญิงงามมากเพคะ” กินรีน้องน้อยเอ่ยเสียงอ่อนหวาน
“น้องเกศกัลยาชอบหรือจ๊ะ เอ้า! พี่แบ่งให้ เกศสุดาซึ่งเป็นพี่หญิงใหญ่ยิ้ม พลางเลือกกุหลาบดอกโตส่งให้
“ขอบพระทัยเพคะ อุ๊ย!...” เกศกัลยาอุทาน เพราะขณะที่นางยื่นมือรับ ก้านกุหลาบได้เกี่ยวถูกสร้อยข้อมือของนางหลุดร่วงหล่นลงไปเบื้องล่าง
“น้องเกศประภารอก่อนจ๊ะ” เกศสุดาเรียกน้องหญิงคนรองซึ่งบินล้ำหน้าไปเล็กน้อยจึงไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่กิดขึ้น
“มีอะไรหรือเพคะ พี่หญิง” เกศประภาหันมาถาม พลางชะลอร่างไว้กลางเวหา
“สร้อยข้อมือของน้องเกศกัลยาตกลงไปข้างล่าง คงอยู่แถวๆต้นไทรนั่น” เกศสุดาตอบ พร้อมกับชี้ไปที่ต้นไทรซึ่งอยู่ต่ำลงไป
“อย่างนั้น...พวกเรารีบลงไปหากันเถิดเพคะ เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน” เกศประภาออกความเห็น
กินรีทั้งสามจึงบินลงสู่พื้นดิน ในบริเวณต้นไทรนั้น...
...พระเสาร์ทรงหยิบสร้อยบุษราคัมเส้นเล็กๆ ซึ่งหล่นลอดใบดกหนาของต้นไทรลงมาบนพระเพลาของพระองค์อย่างบังเอิญขึ้นพิศดูพร้อมกับทรงลุกขึ้นยืน
แล้วครู่ต่อมา พระองค์ก็ได้เห็น...กินรีน้อยผู้งามพิลาสล้ำสามนางร่อนลงมาในบริเวณใกล้ๆ
ภาพที่ปรากฏแก่สายตานี้สะกดให้พระเสาร์ต้องชมดูอย่างตะลึงงัน ด้วยทรงตรึงใจว่านางหนึ่งในจำนวนนั้น งามซึ้งไร้ที่ติ...คิ้วโค้งเรียว นัยน์ตาคมหวาน จมูกน้อยโด่งเป็นสัน และริมฝีปากอิ่มสวย ทุกอย่างช่างรับกันเหมาะเจาะ
บนใบหน้ารูปไข่นวลเนียน ตลอดจนเรือนร่างที่อรชรสมส่วน
ขณะเดียวกัน นางกินรีทั้งสามชะงักยืนนิ่งไปเช่นกัน ที่เพิ่งถึงพื้นดินก็ต่าง เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีผู้อื่นอยู่ในบริเวณนั้นด้วย...แม้เขาจะเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์งามนัก...ร่างสูงสง่า แข็งแรง ผิวคล้ำเนียน และดวงหน้างามราวกับบรรจงปั้นก็ตาม...
แต่ประกายที่คมกล้าจนดูดุดันของบุรุษแปลกหน้าผู้อยู่ในอาภรณ์สีม่วงและมีนิลเป็นเครื่องประดับกาย ก็ทำให้นางกินรีน้อยเกศประภาและเกศกัลยารู้สึกตระหนกกลัว
“โอ...” เสียงอุทานแผ่วเบาอย่างตกใจ แล้วเกศประภากับเกศกัลยาผู้เป็นน้องทั้งสอง ก็คว้ามือพี่หญิงใหญ่เกศสุดาซึ่งยังยืนนิ่งไว้มั่นคนละข้าง พาทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า...เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
พระเสาร์ทอดพระเนตรตามร่างน้อยๆที่กำลังบินลับไปทางทิศตะวันออก พลางดำริว่า..ที่แท้พวกนางเป็นเผ่าพันธุ์เทพกินนร ซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่ในเทือกเขาวินธัย ใจกลางหิมพานต์นี่เอง...พวกวิหคกึ่งเทพ มิน่าล่ะ! นางจึงมีรูปกายงดงามอย่างเทพธิดาทุกประการเว้นแต่ยามบินไปในเวหาเท่านั้นที่ปีกบางเบาใสราวแก้วผลึกจะงอกออกมาจากไหล่ทั้งสองข้าง และทันทีที่เท้าสัมผัสถูกพื้นดิน ปีกทิพย์ของพวกนี้ก็จะหดหายไป ไม่เหลือร่องรอยใดๆให้สังเกตบนผิวเนื้อบริเวณนั้น
“กินรีน้อยที่งามซึ้งนางนั้นคือใคร...นางมีคู่หมายหมั่นหรือยัง” นี่คือคำถามที่พระเสาร์ทรงต้องการจะรู้คำตอบ แต่ยังไม่ทันได้ไต่ถามเนื่องจากว่าพอพระองค์ทรงหายจากอาการตะลึง พวกนางก็พากันบินหนีไปแล้ว
พระเสาร์จึงดำริจะเสด็จกลับวิมานก่อน แล้วใช้อมรเทพผู้เป็นเทพบริวารของพระองค์มาสืบเรื่องราวนี้แทน เพราะหากพระองค์ไปติดตามสืบถามด้วยตัวเอง คงได้สร้างความตื่นตระหนกตกใจแก่ผู้อื่นอีกมากมาย เนื่องจากบารมีแห่งเทพผู้ใหญ่ของพระองค์
และเหตุผลอีกประการหนึ่งคือ พระเสาร์ไม่ต้องการจะใช้อำนาจหยั่งรู้ ด้วยทรงระลึกเสมอว่า ทุกชีวิตย่อมมีบางเรื่องที่อยากเก็บไว้เป็นการส่วนตัว ดังนั้นถ้าไม่มีความจำเป็นอย่างถึงที่สุดแล้ว พระองค์ก็ไม่ปรารถนาจะใช้อำนาจที่เหนือกว่านี้ก้าวก่ายในจิตสำนึกของผู้ใด
อาเฟย เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่า พ่อแม่เป็นใคร เขาถูกทิ้งไว้ในพงหญ้าข้างทางตั้งแต่แรกเกิด และถูกชาวบ้านเก็บได้ ก่อนที่จะกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่น้อย ทว่าชาวบ้านที่เก็บเขาได้ก็ไม่มีปัญญาจะเลี้ยงดูเขา จึงนำเด็กน้อยไปขายให้แก่จวนชินอ๋อง ด้วยราคา 20 ตำลึงเงิน นับแต่นั้น...อาเฟยก็เติบโตขึ้นมาพร้อมกับปณิธานว่า จะเก็บเงินไถ่ตัวของตนเอง และสร้างเนื้อสร้างตัว เป็นอิสระและแข็งแกร่ง!!! แต่อนิจจา...ปณิธานของอาเฟยถูกอ๋องสี่ ผู้มีร่างสูงใหญ่แข็งแรง กล้ามเนื้อทรงพลัง คอยบั่นทอน ด้วยการจับอาเฟยหนีบรักแร้!!! อาเฟย เป็นนิยายเน้นฮา ไม่เน้นสาระ รี้ดทุกท่านถ้าพร้อมแล้ว เชิญอ่านกันเลยค่ะ
เพราะเป็นลูกอนุที่ไร้ค่า บิดาบังเกิดเกล้าจึงยกเขาให้เป็นชายบำเรอของมหาอำมาตย์ แต่มหาอำมาตย์เกิดหัวใจวายตายในคืนเข้าหอ ทำให้เขาถูกตราหน้าว่าร่านราคะ และจะจับเขาฝังทั้งเป็น!
จ้าวชิงเฟิงคือองค์ชายปลายแถวของแคว้นเป่ย ที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการชิ้นหนึ่งแก่แคว้นหนาน ถูกเหยียดหยามให้เป็นแค่อนุชายาของชินอ๋องผู้ทรงอำนาจ แม้จะเป็นชายก็ยังไม่วายถูกริษยา กลั้นแกล้งต่างๆนานา เคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังถูกใส่ร้ายว่าคบชู้ ต้องโทษโบยยี่สิบไม้ และไม้ที่ยี่สิบนั้นผู้โบยจงใจฟาดใส่ศีรษะ ของเขา กะให้ถึงตาย!
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
บทนำ หมอพุฒตาล ศัลยแพทย์ทั่วไป เรียนจบด้วยเกรดนิยมอันดับหนึ่ง เธอกลายเป็นหมอผ่าตัดมือหนึ่งของโรงพยาบาล ด้วยชีวิตที่คิดอุทิศให้กับวงการแพทย์ ทำให้หมอพุฒตาลไม่เคยข้องแวะกับชายใด แม้จะมีหนุ่มเข้ามาจีบไม่เว้นวัน เมื่อบิดาของเธอเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ เพราะการผ่าตัดที่ล่าช้า เนื่องมาจากช่วงเวลานั้น ขาดหมอเฉพาะทาง เหตุผลนี้จึงเป็นแรงผลักดัน ทำให้เธอตั้งใจเรียนศัลยแพทย์ จนฝีมือด้านการผ่าตัดการวินิจฉัยโรคของหมอพุฒตาล เป็นที่ยอมรับของเพื่อนหมอ และคนไข้ที่มารับการรักษา เมื่อเธอทำงานได้สองปีสิ่งที่ไม่คาดฝันกับชีวิตก็เกิดขึ้น เมื่อมารดาเข้ามาหาเธอถึงห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาล สิ่งที่มารดาต้องการคือการให้เธอแต่งงานกับลูกชายของเพื่อน เมื่อนางกู้ยืมเงินเขามาส่งเสียให้เธอเรียน ใครเล่าจะรู้ว่าหมอมือหนึ่งอย่างเธอ จะต้องมาแต่งงานใช้หนี้ผู้ชายที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เงินสิบล้านกับดอกเบี้ยอีกเท่าตัวทางเลือกของหมอพุฒตาล คือการแต่งงานกับชายแปลกหน้าเพียงเท่านั้น เตชิน หนุ่มไฮโซรูปหล่อ เห็นผู้หญิงเป็นแค่เครื่องบำเรอ เขามองความรักเป็นแค่เรื่องล้อเล่น เที่ยวเตร่ไปวันๆ ส่วนธุรกิจของครอบครัวเขาทิ้งให้เตชิต พี่ชายเพียงคนเดียวรับผิดชอบ ความอดทนของผู้เป็นมารดาได้สิ้นสุดลง เมื่อเตชินเที่ยวเตร่ไม่เอาการเอางาน นางจึงยื่นคำขาดด้วยการให้เขาแต่งงานกับหมอพุฒตาล เตชินฟังแค่ชื่อของเธอ เขาถึงกับขำออกมา ชายหนุ่มไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงเฉิ่ม ๆ แบบนั้นเป็นอันขาด ที่สำคัญเขาไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่เมื่อมารดายื่นคำขาดคือการริบทรัพย์ ทั้งบัตรเครดิตและรถสปอร์ตคันหรู เมื่อไม่มีทางเลือก ชายหนุ่มจำใจยอมตกลงแต่งงาน ซึ่งแน่นอนผู้หญิงคนนั้นต้องทนเขาไม่ได้ และเธอต้องขอหย่าภายในสามเดือน เขาจะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เธอดู เธอจะได้รู้ว่าไม่ควรวิ่งเข้ามาในกองเพลิง ที่เขาก่อเอาไว้ เพราะมันพร้อมที่จะเผาเธอให้มอดไหม้ไปในพริบตา!! ************************* ฝากภาค 2 รุ่นลูก ด้วยนะคะ บำเรอรักคุณหมอจ้า*************
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
“ไอ้พร้อม ไอ้ห่า มึงมันหยาบเกินคน มึงไม่เป็นลูกผู้ชาย” “ก่อนจะว่าแบบนั้น มึงดูเอ็นกูยัง มึงดูเอ็นกูแข็งร้อนขนาดนี้ มึงยังปากดีว่ากูไม่เป็นลูกผู้ชายอีกเหรอ”
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
© 2018-now MeghaBook
บนสุด