แตงไทยสาวสวยผู้ที่ตั้งใจจะขึ้นคานไปตลอดชีวิต แต่พอได้เจอพ่อกำนันรูปหล่อ ปนิธานที่ตั้งไว้ก็เริ่มสั่นคลอน
แตงไทยสาวสวยผู้ที่ตั้งใจจะขึ้นคานไปตลอดชีวิต แต่พอได้เจอพ่อกำนันรูปหล่อ ปนิธานที่ตั้งไว้ก็เริ่มสั่นคลอน
'แตงไทย' หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปี ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาจากมือถือปลุกดังขึ้น
04:30 น. เป็นเวลาที่เธอต้องตื่นในเช้าวันนี้ เพราะ 'ตาทอง' ผู้เป็นพ่อได้กำชับเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าต้องตื่นเวลานี้ เพื่อมานึ่งข้าวและทำกับข้าวไปวัด ถ้าตื่นสายกว่านี้จะไม่ทัน
เมื่อบิดขี้เกียจได้สามรอบแตงไทยก็ลุกขึ้นจากเตียง พับผ้าห่ม เก็บมุ้งหมอนให้เรียบร้อยและออกจากห้องนอน ตรงไปยังห้องครัวซึ่งอยู่หลังบ้าน
เธอจัดการนึ่งข้าวเหนียวที่แช่ไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนตาทองพ่อของเธอก็ทำการเชือดไก่บ้านเพื่อจะแกงใส่หน่อไม้ส้ม เป็นกับข้าวไปวัดในเช้าวันนี้
"นึ่งเป็นหรือเปล่าข้าวน่ะ ?"
ตาทองเอ่ยถามออกมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย เธอหันไปค้อนพ่อนิดหน่อย ก่อนจะตอบออกมา
"เป็นสิพ่อ เคยทำมาแต่น้อย ๆ"
แหม..พ่อนี่มาดูถูกกันได้ ถึงเธอจะไปใช้ชีวิตที่เมืองกรุงหลายปี แต่วิถีชีวิตของชาวอีสานก็ยังอยู่ในสายเลือดของเธอเสมอ
"เหรอ..พ่อก็นึกว่าลืมไปแล้ว"
ตาทองบอกกับลูกสาวอย่างอารมณ์ดี เกือบสิบปีที่ต้องอยู่ตามลำพังกับยายสานั้นแสนเหงา ยิ่งมาเมื่อสามเดือนที่แล้วยายสามาด่วนจากไปอยู่บนสวรรค์ แกก็เหงายิ่งขึ้นไปอีก
ยังดีที่แตงไทยลูกสาวเพียงคนเดียวของแกยอมลาออกจากงานที่กรุงเทพ ฯ กลับมาอยู่กับแกแบบถาวร จึงทำให้บั้นปลายชีวิตที่เหลือนี้ไม่เหงาจนเกินไป
เมื่อนึ่งข้าวสุกเรียบร้อย แตงไทยก็ส่ายข้าวใส่กระติบ แล้วก็หันไปช่วยพ่อทำแกงไก่ใส่หน่อไม้ส้ม ไม่นานกับข้าวก็เสร็จ เธอจึงไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อเตรียมตัวไปวัด
วันนี้เธองัดซิ่นไหมผืนสวยสีแดงเข้มของยายสามาสวมใส่ ส่วนเสื้อนั้นก็เป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวที่สั่งจากออนไลน์ และผมที่ยาวสยายถึงกลางหลังของเธอนั้นแตงไทยก็ถักเปียรวบไว้ข้างหลัง ทั้งชุดทั้งผมวันนี้ส่งผลให้เธอสวยสมเป็นกุลสตรีมากขึ้นเลยทีเดียว
เวลาประมาณ 07:00 น. แตงไทยก็เตรียมตัวเสร็จ เธอแบ่งแกงไก่ใส่ปิ่นโต แล้วก็แบ่งข้าวเหนียวใส่กระติบข้าวใบเล็ก ขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ Honda pcx รุ่นใหม่ล่าสุด ที่พ่อยอมขายวัวซื้อให้เธอ
"ไปแล้วนะพ่อ"
ตะโกนบอกตาทอง ก่อนจะขับมอเตอไซค์ตรงไปวัด ราวห้านาทีก็มาถึง เพราะวัดอยู่ห่างจากบ้านไม่ไกลนัก ซึ่งในตอนนี้ก็เริ่มมีคนทยอยมากันบ้างแล้ว
"นังแตง !"
แตงไทยหันไปตามเสียงเรียก ก็มองเห็น 'เจ๊ไก่' สาวสองคนสวยประจำหมู่บ้านเดินตรงเข้ามาหาเธอ
"เจ๊ไก่ เข้าวัดได้ไม่รู้สึกร้อนเหรอ ?"
"หนอยนังนี่..แรงนะยะ คำถามนี้ควรเป็นฉันไหมที่ถามหล่อน"
แตงไทยหลุดขำออกมากับท่าทีจริตจะก้านของเจ๊ไก่ เพื่อนรุ่นพี่ที่เธอสนิทมากที่สุด
"โอ๋..เจ๊อย่างอนน่า ป้ะขึ้นไปบนศาลากัน"
"ก็ได้ ๆ"
แล้วทั้งสองสาวก็พากันเดินขึ้นไปบนศาลา นำอาหารในปิ่นโตไปรวมกับของชาวบ้านคนอื่น ๆ จะมีแม่ออกค้ำวัดเป็นคนจัดสำรับให้พระอีกที
แล้วทั้งสองคนก็เดินไปใส่บาตร ที่หลวงตาและพระท่านวางเอาไว้ วันนี้เป็นวันพระ พระสงฆ์ท่านจึงไม่ได้ออกบิณฑบาต
พอใส่บาตรเสร็จแล้วทั้งแตงไทยและเจ๊ไก่ก็หาที่นั่ง ทั้งสองคนเลือกนั่งแถวหลังสุด วันนี้มีคนมาทำบุญเยอะมาก เนื่องจากเป็นวันออกพรรษา
คนเฒ่าคนแก่ ลูกเด็กเล็กแดงรวมทั้งหนุ่มสาววัยรุ่นก็มาร่วมทำบุญด้วยในวันนี้
แตงไทยรู้สึกทึ่งในประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวอีสานมาก ที่ยังเหนียวแน่นและงดงามมาจนถึงทุกวันนี้
ภาพแบบนี้เธอเคยเห็นมาแต่เด็ก ไม่น่าเชื่อเลยว่าแม้เวลาผ่านล่วงไปเป็นสิบ ๆ ปี มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
เธอเพิ่งลาออกจากงานที่กรุงเทพ ฯ เพื่อกลับมาอยู่บ้านกับพ่อได้เพียงสามเดือนเท่านั้น เพราะว่าแม่ของเธอเสีย พ่อไม่มีคนดูแล เธอจึงเลือกทิ้งงานที่กำลังก้าวหน้ากลับมาอยู่กับท่าน
เธอใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพ ฯ เกือบสิบปี เข้าเมืองหลวงตั้งแต่จบม.หก เพื่อไปเรียนต่อพอเรียนจบก็ทำงานต่อเลย จะกลับบ้านทีก็แค่ช่วงเทศกาลเท่านั้น
"คนเยอะเนาะเจ๊"
"ก็ปกติของทุกปีนะ"
เมื่อชาวบ้านมาพร้อมเพรียงกันแล้ว หลวงตาเจ้าอาวาสรวมทั้งพระสงฆ์อีกสามรูป ก็เดินขึ้นมาบนศาลา ทุกคนบนศาลาจึงเงียบและก้มลงกราบ
หลังจากนั้นมัคทายกประจำวัดก็เริ่มพานำสวดมนต์ แล้วพระสงฆ์ท่านก็ให้ศีลให้พร เสร็จแล้วพระท่านก็เริ่มฉันภัตตาหารเช้าเป็นอันว่าเสร็จพิธี ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มทยอยกลับ คงเหลือแต่คนแก่บางคนและแม่ออกค้ำวัดเท่านั้น
"ป้ะ..เจ๊กลับ"
แตงไทยจึงลุกขึ้นแล้วก็เอ่ยชวนเจ๊ไก่กลับบ้าง แต่เจ๊แกกลับดึงมือของเธอเอาไว้
"อย่าเพิ่งสิ รอกินข้าวก่อน"
เธอมองเจ๊ไก่อย่างเอือม ๆ แต่ก็ไม่ขัด ทรุดนั่งลงข้าง ๆ ร่างหนาของสาวสองคนสวย
หลังจากที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสและพระสงฆ์ลูกวัดฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว กับข้าวที่เหลือก็มีคนยกมา ทุกคนที่เหลือบนศาลาก็ล้อมวงกินข้าวพร้อมกัน รวมทั้งเจ๊ไก่และแตงไทยด้วย
เมื่อทุกคนทานข้าวอิ่มแล้ว ก็ช่วยกันนำถ้วยชามไปล้าง และปัดกวาดเช็ดถูศาลาให้สะอาดเรียบร้อย
พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แตงไทยกับเจ๊ไก่ก็คว้าปิ่นโตกับกระติบข้าวเหนียวเดินลงศาลาไปเพื่อจะกลับบ้าน
และในขณะที่แตงไทยกับเจ๊ไก่เดินไปนั้น เพราะมัวแต่คุยกันจนไม่ได้มองทาง จึงทำให้ร่างอวบอิ่มสมส่วนของแตงไทยชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครบางคน
ร่างของแตงไทยกระดอนออกไปข้างหลัง และคงจะล้มก้นจ้ำเบ้าแน่ถ้าหากว่าเจ้าของร่างใหญ่นั้นไม่คว้าเอวของเธอเอาไว้เสียก่อน
แขนแข็งแกร่งโอบรอบเอวคอดกิ่ว และช่วยประคองไม่ให้แตงไทยล้มลงไป เมื่อเธอทรงตัวได้แล้วเขาจึงปล่อยมือออกจากเอวบางนั้น
"อุ๊ย ! กำนันหิน"
เจ๊ไก่อุทานออกมา แล้วก็รีบคว้าแขนของแตงไทยให้มายืนหลบอยู่ข้างหลังของเธอ ก่อนจะกล่าวขอโทษออกมา
"ขอโทษแทนนังแตงมันด้วยจ้ะ มันซุ่มซ่ามไปหน่อย"
พอจบคำพูดของเจ๊ไก่ สายตาคมดุของกำนันหินก็ตวัดมองไปที่ใบหน้าของแตงไทย เป็นจังหวะเดียวกับที่แตงไทยเองก็หันไปมองหน้าเขาแบบเต็ม ๆ อีกที
จังหวะนี้ทั้งสองคนจึงได้สบตากันอย่างจัง กำนันหินเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน และเดินเลี่ยงขึ้นไปบนศาลา
ส่วนทางด้านแตงไทยนั้น ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต เธอยืนนิ่งไม่ยอมขยับตัว จนเจ๊ไก่ต้องลากแขนพาเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์
"แตง อีแตง !?"
"อะ..อะไรเจ๊ !?"
"มึงเป็นอะไร โดนผีเข้าหรือไง ?"
"เปล่า..ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"
แตงไทยตอบเจ๊ไก่ไป แต่ทว่าในใจของเธอตอนนี้กลับร้อนรุ่มแปลก ๆ
เพราะคิดว่าพ่อที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณ จะเคี้ยวหญ้าอ่อนอย่างเธอ เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวาง แต่ขวางไปขวางมา กลับกลายเป็นว่าเขากลับเป็นคนเคี้ยวหญ้าต้นนั้นซะเอง
รามสูรผู้ที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธ เมขลาผู้หญิงคนแรกที่กล้าปฎิเสธเขา เพราะค่ำคืนที่เร่าร้อนเพียงคืนเดียว ทำให้เขาติดใจในตัวเธอ แต่เธอกลับคิดจะหนี รามสูรจึงวางแผนเพื่อให้เมขลา มาเป็นทาสรักของเขา แต่ว่าไป ๆ มา ๆ เธอกลับได้เป็นเจ้าของหัวใจของเขาซะนี่
เพราะถูกคนรักและเพื่อนสนิทหักหลัง เธอจึงหนีตามผู้ชายที่รู้จักกันในแอพหาคู่ แม้จะหวาดกลัว แต่ว่าเธอก็ไม่ขอกลับไปเจอเพื่อนทรยศ และคนรักจอมหักหลังอีก
“เคลวิน อาร์มันโด” มหาเศรษฐีผู้ไม่เคยเชื่อในพรหมลิขิต ไม่คิดเลยว่าการมาเยี่ยมเยียนมารดาและน้องสาวที่เมืองไทยในครั้งนี้จะได้มาเจอกับกวางน้อยแสนสวยที่เคยทำเขาหัวใจแทบหยุดเต้นมาแล้วครั้งหนึ่ง! เขาวางแผนการบางอย่างเพื่อต้อนกวางน้อยเข้าสู่กรงทองแล้วครอบครองได้อย่างที่จะไม่ทำให้ต้องเสียหน้า แต่กลายเป็นว่านักล่าอย่างเขาพลาดท่าตกลงไปในกับดักนั้นเสียเอง เพราะหนีผู้ปกครองเที่ยวแท้เชียว เธอถึงต้องมาเจอเขาอีกครั้ง ผู้ชายวาจาร้ายกาจกับสถานการณ์น่าอับอาย “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ผมยินดีและเต็มใจ” “มีค่ะ” ตอบกลับเสียงแข็ง “เสร็จธุระแล้วก็ช่วยออกไปจากห้องด้วย เชิญค่ะ” ว่าพลางชี้ไปทางประตูห้องด้วยหางตา “เรื่องแค่นี้เองหรือที่ต้องการให้ช่วย” เคลวินหันมาถามหลังจากเดินมาถึงหน้าประตู คิ้วทรงดาบเลิกขึ้นสูง “ผมนึกว่าคุณอยากให้ช่วยแบบว่า... ช่วยติดขอเสื้อในนี่ให้ฉันทีสิคะฉันติดไม่ถึง อะไรแบบนี้เสียอีก” ว่าพลางส่งยิ้มยียวน ดวงตาพราวระยับจ้องนิ่งตรงทรวงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเร็วแรง สาบานได้ว่านี่คือคำพูดของคนเพิ่งเจอกัน เขาเข้ามาในห้องเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังจ้องเธออย่างเสียมารยาทในขณะที่เธออยู่ในสภาพ... ล่อแหลม! “ลัลน์นารา” หวังอย่างยิ่งว่านั่นจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายในชีวิตกับความอับอายและผู้ชายแสนยียวน แต่โชคชะตาช่างเล่นตลกกับเธอ ให้กงล้อหมุนเวียนพาเธอกับเขามาเจอกันอีกครั้งและกลายเป็นผูกพันกันไปตลอดกาล... “พี่เค นี่มันบนเรือนะคะ” "บนเรือแล้วแปลกตรงไหน หาอะไรแปลกใหม่บ้าง ชีวิตจะได้มีสีสัน” “เรือจะล่มไหมคะ” คนถามออกอาการหวาดหวั่น เคลวินหัวเราะในลำคอกึ่งขบขันกึ่งสงสาร “พี่จะพยายามเบามือที่สุดค่ะ หยาดเองก็อย่ารุนแรงนักนะคะ”
หยางซูมี่บุตรีคนโตแห่งจวนเสนาบดี จำต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายาของอ๋องทมิฬตามบัญชาของฮ่องเต้แต่ในเมื่อนางแต่งเข้ามา สามีเฉยชา ไม่สนใจนาง ทั้งยังแต่งชายารองเข้ามา ทำไมนางต้องเอาชีวิตไปผูกกับเขาด้วย
รัชวินทร์รู้ดีว่า ถึงจะมีหรือไม่มีแผนการของญาติผู้ใหญ่ เขาก็บังเกิดความรู้สึกพิเศษกับแก้วกัลยา เด็กสาวในอุปการะของคุณตาคุณยาย และเธอก็เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้เขาอยากสร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่น
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ตอนเด็กถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว แม่ถูกทำร้าย ฉือเนี่ยนสาบานว่าจะเอาทุกอย่างที่เป็นของตัวเองกลับคืนมา!ครั้งแรกที่กลับมาที่เมืองจิง เธอถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่ไร้การศึกษาและสำส่อนหลายคนบอกว่าลู่เหยียนสือต้องตาบอดแน่ๆ ถึงได้มาสนใจฉือเนี่ยนแต่มีแค่ลู่เหยียนสือเท่านั้นที่รู้ ว่าเธอที่เขารักและทะนุถนอมนั้นมากความสามารถ สามารถสร้างความวุ่นวายให้ทั้งเมืองจิงได้ด้วยตัวคนเดียวเธอคือหมอมือหนึ่ง เธอคือแฮ็กเกอร์มือทอง และยังเป็นนักปรุงน้ำหอมชั้นยอดที่ได้รับการยกย่องจากบุคคลสำคัญคนภายนอก: "คุณลู่ คุณจะเอาใจภรรยาจนไม่มีขอบเขตเลยเหรอ ทำไมแม้แต่ประชุมยังต้องอุ้มเธอไว้ด้วย!"ลู่เหยียนสือ "ต้องเอาใจภรรยาถึงจะรุ่งเรืองเฟื่องฟู"ต่อมาความลับของเธอถูกเปิดเผย ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนหันมาชื่นชมและยกย่องเธอ...
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
© 2018-now MeghaBook
บนสุด