หนิงเหยา นักพฤกษศาสตร์รุ่นใหม่ที่ชอบทดลองพืชพันธุ์ใหม่ๆ ได้ทะลุมิติไปเป็นพระชายาอ๋องที่เขาคิดฆ่าตั้งแต่ขึ้นเกี้ยวส่งเจ้าสาว นางจึงพยายามเอาตัวรอดโดยการไม่ยุ่งเกี่ยวปลูกผักทดลองไปเรื่อย แต่ทำไมเขาถึงได้ชอบมายุ่งกับนางนักไม่เข้าใจ!!
หนิงเหยา นักพฤกษศาสตร์รุ่นใหม่ที่ชอบทดลองพืชพันธุ์ใหม่ๆ ได้ทะลุมิติไปเป็นพระชายาอ๋องที่เขาคิดฆ่าตั้งแต่ขึ้นเกี้ยวส่งเจ้าสาว นางจึงพยายามเอาตัวรอดโดยการไม่ยุ่งเกี่ยวปลูกผักทดลองไปเรื่อย แต่ทำไมเขาถึงได้ชอบมายุ่งกับนางนักไม่เข้าใจ!!
กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กดังขึ้นในห้องพักขนาดกะทัดรัดบนชั้นสิบของอพาร์ตเมนต์ในเมืองฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน อยู่บนพื้นที่ที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาและลุ่มแม่น้ำ
จึงได้รับฉายาว่าเป็นเมืองแห่งภูเขาและเมืองแห่งหมอก ถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของจีนเมืองหนึ่งเลยก็ว่าได้
ส่วนเจ้าของห้องขนาดพอเหมาะห้องนี้นั้น กำลังนอนหลับด้วยท่านอนแขนไปทาง ขาไปทางนั้น เป็นหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม เรือนผมยาวขลับยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งตื่นนอน
“อื้อ!”
หญิงสาวคนนี้ส่งเสียงครางในลำคอพลางบิดตัวไปมาอย่างขี้เซา เนื่องจากต้องตื่นนอนอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปกดปิดนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือ พลางอ้าปากกว้างหาวเสียงดัง แล้วบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงงัวเงียกับตัวเองอีกครั้ง
“ห้าว! ง่วงจัง”
เธอผู้นี้ชื่อว่า หนิงเหยา หรือที่เพื่อนสนิทเรียกอย่างเอ็นดูว่า เหยาเหยา เพราะเธอนั้นเป็นหญิงสาวที่สูงเพียงแค่ร้อยห้าสิบห้า เป็นสาวไซส์มินิน่ารัก เรือนร่างนุ่มนิ่มน่าฟัดน่ากอดมาก
และหลังจากที่หนิงเหยาเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกแล้ว เธอก็กลับมานอนซุกผ้าห่มต่อด้วยความอ่อนเพลีย จนในที่สุดก็เคลิ้มหลับไปอีกครั้งอย่างไม่รู้
…ผ่านไปหลายนาที แสงอาทิตย์ที่เริ่มส่องสว่างจ้าลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบเปลือกตาบางของคนบนเตียง ทำให้หนิงเหยาลืมตาพรึ่บขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะอุทานออกมาเสียงดังลั่นห้อง เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูปรากฏว่าเลยเวลาที่เธอตั้งปลุกเอาไว้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
“แย่แล้ว! นี่ฉันเผลอหลับไปอีกรอบเหรอเนี่ย”
หนิงเหยาพึมพำ ก่อนจะรีบกระโดดออกจากเตียงเหมือนนกที่พุ่งออกจากกรงเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เพื่อมุ่งตรงไปคว้าผ้าขนหนูแล้วกระโจนเข้าไปยังห้องน้ำอย่างเร็วที่สุด
หนิงเหยาหรือหนิงเหยา เธอเป็นนักพฤกษศาสตร์รุ่นใหม่ที่หลงใหลในธรรมชาติ เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทดลองปลูกพืชพันธุ์ใหม่ ๆ ในห้องทดลองของสำนักงานวิจัยพฤกษศาสตร์แห่งเมืองฉงชิ่ง และวันนี้เธอก็มีประชุมสำคัญเกี่ยวกับโครงการพืชพันธุ์พิเศษที่เธอคิดค้นขึ้นมาเองด้วย
นั่นก็คือเถาหลิงซู เป็นผลจากการทดลองเชื่อมโยงเถาวัลย์ป่าที่พบในป่าดงดิบกับสมุนไพรที่เติบโตในที่ชื้น หนิงเหยาทดลองในห้องทดลองนานหลายเดือน
จนกระทั่งพืชนี้สามารถปลูกในพื้นที่ธรรมชาติได้ ซึ่งผลของเถาหลิงซูสามารถนำไปสกัดเป็นยารักษาโรคติดเชื้อได้หลายชนิด และใบของมันมีความสามารถในการดูดซับมลพิษในอากาศได้อีกด้วย
หนิงเหยาวิ่งออกมาจากห้องน้ำโดยที่มีผ้าขนหนูสีชมพูอ่อนพันรอบตัวอยู่ ก่อนที่เธอจะคว้าชุดทำงานเรียบง่ายสีขาวสะอาดสะอ้านมาสวมใส่ และต่อด้วยหยิบเสื้อกาวน์มาพาดบ่าของตัวเองไว้พร้อมออกจากห้องอย่างเร่งรีบ
และเมื่อหนิงเหยาวิ่งออกมาถึงป้ายรถเมล์แล้ว เธอก็พบว่ารถเมล์สายที่เธอต้องขึ้นนั้นเพิ่งออกไปได้ไม่นาน ทำให้ในหัวของเธอเกิดความเครียดขึ้นมาทันที
“ทำไงดีล่ะเนี่ย”
หนิงเหยาบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างที่ชอบทำ แล้วกัดริมฝีปากด้วยความกังวล สายลมที่พัดผ่านใบหน้ามานั้นรู้สึกเย็นเฉียบเหมือนจะเร่งให้เธอต้องตัดสินใจโดยเร็วก่อนที่จะไม่ทันการณ์
หนิงเหยากวาดสายตามองหาแท็กซี่ที่วิ่งกำลังแล่นเข้ามาใกล้ และไม่รอช้าที่จะโบกมือเรียกรถแท็กซี่คันนั้นอย่างทันที
เมื่อแท็กซี่คันที่หนิงเหยาโบกเรียกนั้นจอดนิ่งสนิทแล้ว เธอก็รีบวิ่งไปเปิดประตูแล้วกระโจนขึ้นรถด้วยความว่องไว ก่อนจะเอ่ยบอกจุดหมายปลายทางที่ต้องการไปกับคนขับอย่างไว ๆ เพื่อบ่งบอกว่าเธอนั้นรีบมากแค่ไหน
“ไปสำนักงานวิจัยพฤกษศาสตร์ค่ะ รีบหน่อยนะคะพี่ เดี๋ยวหนูให้พิเศษเลยค่ะ”
หนิงเหยาพูดพลางปรับสายสะพายกระเป๋าของตัวเองให้เข้าที่ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองรอบ ๆ ภายในรถอย่างดีแล้ว เธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้ก้าวเข้าสู่อีกโลกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
รถแท็กซี่คันนี้ถูกตกแต่งด้วยสไตล์จีนโบราณอย่างประณีต เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าปักลายมังกรและหงส์ พวงมาลัยรถพันด้วยผ้าสีแดงสดประดับพู่ไหมทองที่ห้อยลงมาจากเพดาน
ส่วนกระจกมองหลังก็แขวนด้วยจี้หยกสีเขียว และยังมีกล่องไม้แกะสลักลายดอกเหมยตั้งอยู่ตรงกลางคอนโซล บรรยากาศภายในรถมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรจีนที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
ทำให้หนิงเหยารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในยุคสมัยราชวงศ์เก่า เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป พลางคิดในใจว่า…
‘นี่มันรถแท็กซี่หรือโรงละครเคลื่อนที่กันแน่ ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ในตอนที่เร่งรีบด้วย’
ไม่ใช่เพียงการตกแต่งภายในรถเท่านั้นที่เป็นแบบสไตล์จีนโบราณ แต่คนขับรถแท็กซี่ที่เป็นชายวัยกลางคนคนนี้ก็สวมชุดคลุมยาวแบบจีนโบราณสีดำ คอเสื้อปักลายคลื่นน้ำสีเงิน เขามีหนวดเคราที่ดูเรียบร้อย และสวมหมวกทรงกลมประดับป้ายหยกเล็ก ๆ อีกด้วย
ซึ่งการแต่งตัวของคนขับรถแท็กซี่คนนี้นั้น ยิ่งทำให้หนิงเหยารู้สึกแปลก ๆ ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะจุดประสงค์หลักของเธอในตอนนี้คือไปให้ถึงสำนักงานวิจัยพฤกษศาสตร์โดยเร็วที่สุด
ขณะรถแท็กซี่แล่นผ่านถนนหนทางในเมืองฉงชิ่ง หนิงเหยานั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงแดดยามเช้าส่องกระทบยอดไม้ตามทาง เธอรู้สึกถึงแรงบันดาลใจที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ พร้อมที่จะแสดงผลงานของตัวเองในที่ประชุมเช้านี้
หนิงเหยาหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กที่มักพกติดตัวออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วเปิดหน้าที่เต็มไปด้วยข้อความและภาพวาดพืชพันธุ์ที่เธอออกแบบขึ้นในจินตนาการ บางชนิดมีดอกที่เรืองแสงในความมืดได้ และบางชนิดสามารภช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้
ในใจของหนิงเหยาไม่เพียงแค่ต้องการสร้างพืชที่ดูสวยงาม แต่ยังอยากให้พืชพันธุ์เหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และฟื้นฟูสมดุลให้โลกใบนี้ด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความใฝ่ฝันที่หนิงเหยานั้นมีมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว
ตอนนี้รถแท็กซี่ได้แล่นไปตามทางเรื่อย ๆ โดยมีความเร็วตามที่ผู้โดยสารต้องการ เสียงเครื่องยนต์ของแท็กซี่ดังสะท้อนในอุโมงค์ทางด่วนยาวเหยียด หนิงเหยาพยายามบอกตัวเองให้ผ่อนคลายโดยการนั่งหลังพิงเบาะ สายตาเหม่อมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ขณะที่ชายคนขับรถแท็กซี่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“คุณหนูมีความสุขไหมครับ”
คำถามนั้นเรียกสติของหนิงเหยากลับมา ถึงแม้ว่าจะฟังได้ไม่ถนัดก็ตามเพราะตอนที่คนขับรถแท็กซี่พูดนั้นหนิงเหยากำลังจะเคลิ้มหลับ เธอที่กำลังง่วงนอนจากการนั่งรถเพลิน ๆ
อีกทั้งยังอดหลับอดนอนเมื่อคืนจากการคิดค้นพันธุ์พืชอย่างหนักนั้น เงยหน้าขึ้นมองคนขับรถแท็กซี่ด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย และเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ไม่ค่ะ ถ้าได้นอนต่ออีกสักนิดก็คงดี”
ชายคนขับรถแท็กซี่หัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่มีแววล้อเลียนเล็กน้อยปนเอ็นดู
“แค่นอนต่อเองเหรอครับ”
หนิงเหยาที่ยังคงมีสายตาเหนื่อยล้านั้นตอบกลับไปอย่างเพ้อฝัน ถึงแม้ว่างานนี้จะเป็นงานที่เธอรักก็ตาม แต่การที่ไม่ต้องตื่นเช้าเพื่อเร่งรีบไปทำงานแล้วมีเงินใช้นั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
“ยังมีอีกค่ะ ถ้าไม่ต้องทำงานแล้วมีเงินใช้ สุขสบายไปตลอดชีวิต เพราะมีสามีเลี้ยงก็ดีที่สุดมาก ๆ เหมือนกันค่ะ”
หลังจากที่หนิงเหยาพูดจบ ชายคนขับรถแท็กซี่ก็ยิ้มมุมปาก ดวงตาเปล่งประกายลึกลับสะท้อนกับกระจกเงาสำหรับมองหลัง ก่อนที่ริมผีปากหนาจะขยับตอบหนิงเหยาว่า…
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้คุณหนูสมหวังนะครับ”
คำพูดชวนให้คิดของคนขับรถแท็กซี่ไม่ได้สะกิดใจคนฟังเสียอย่างใด เพราะหนิงเหยานั้นยังคงอยู่ในห้วงเพ้อฝันและอาการง่วงนอน จนสมองไม่รับสิ่งอื่นใดมากในตอนนี้
รถแท็กซี่คันนี้ยังคงแล่นต่อไป เส้นทางข้างหน้าดูเหมือนจะยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด เพราะตั้งแต่ที่รถลงลอดอุโมงค์มาหลายนาทีแล้วก็ยังไม่แล่นออกจากอุโมงค์นี้เสียที และเมื่อรถเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ แสงไฟในอุโมงค์ก็เริ่มดับลงทีละดวงจากด้านหลัง
แสงสว่างที่เคยช่วยนำทางค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด ทำเอาอาการง่วงนอนของหนิงเหยาหายไปได้ทันที และเริ่มใจหวิว ๆ พิกล ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มคืบคลานเข้ามา
หนิงเหยาจึงตัดสินใจถามคนขับรถแท็กซี่ออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกและเป็นกังวล แต่คนขับรถแท็กซี่กลับตอบมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบเป็นอย่างมาก
“ทำไมไฟในอุโมงค์ถึงดับล่ะคะ”
“ไม่ต้องกังวลนะครับคุณหนู บางครั้งความมืดก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทาง”
คำตอบนั้นของคนขับรถแท็กซี่ไม่ได้ช่วยให้หนิงเหยารู้สึกสบายใจขึ้นเลย แต่เธอก็เลือกที่จะเงียบและมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง พร้อมทั้งจดจำเส้นทาง ใบหน้า และข้อมูลของคนขับรถแท็กซี่เอาไว้ให้ดี
ไม่นานนัก ความมืดก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งอุโมงค์ มีเพียงเสียงล้อรถที่บดไปกับพื้นถนนและเสียงหัวใจของหนิงเหยาที่เต้นระรัว ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกดเสียงต่ำถามออกไปอีกครั้งพร้อมกับแววตาที่เริ่มไม่ไว้วางใจ
“นี่คุณกำลังจะพาฉันไปที่ไหนกันแน่”
“ปลายทางเดิมของคุณหนูนั่นแหละครับ แต่ระหว่างทางเราอาจพบสิ่งที่คุณหนูไม่เคยคาดคิด”
คำตอบชวนให้ขนลุกของคนขับแท็กซี่ทำให้หนิงเหยาเลือกที่จะเงียบอีกครั้ง และเธอก็เริ่มตงิดใจกับคำว่าคุณหนูขึ้นมา หัวใจที่เต้นระรัวภาวนาให้รถแท็กซี่คันนี้แล่นออกจากอุโมงค์อันมืดมิดแห่งนี้โดยเร็ว
อุโมงค์แห่งนี้ไม่เหมือนกับทางด่วนที่หนิงเหยาเคยผ่าน เส้นทางโค้งยาวทอดลึกจนดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด กำแพงอุโมงค์ทำจากหินหยาบสีเทาเข้มที่ดูเก่าแก่ ราวกับสร้างขึ้นมาหลายร้อยปี
ดวงไฟที่ติดอยู่บนเพดานเรียงรายห่างกันอย่างเป็นระเบียบ แสงไฟสีเหลืองซีดที่เคยดับเริ่มกระพริบเป็นจังหวะ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างกำลังอยู่ภายนอกรถ
พื้นถนนเป็นหินกรวดที่ขรุขระ รถแท็กซี่แล่นผ่านไปช้า ๆ แต่เสียงล้อบดกับพื้นกลับดังสะท้อนไปทั่วทั้งอุโมงค์ เสียงนั้นไม่ได้ฟังดูปกติ แต่มันแฝงด้วยเสียงสะท้อนลึก ๆ คล้ายกับเสียงกระซิบของใครบางคนที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้
ในขณะที่หนิงเหยาพยายามปรับตัวกับความมืดที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาอีกครั้งนั้น เธอก็เริ่มรู้สึกถึงกลิ่นที่แปลกประหลาด
กลิ่นนั้นเป็นส่วนผสมของกลิ่นดินชื้นกับกลิ่นดอกไม้ป่าที่ไม่เคยสัมผัส ลอยฟุ้งในอากาศ บางสัมผัสคล้ายกลิ่นดอกไม้ป่า แต่ก็มีกลิ่นของสมุนไพรจีนเจือปนอยู่
อากาศในอุโมงค์เย็นลงอย่างรวดเร็ว ความหนาวเย็นนั้นไม่เหมือนกับอากาศทั่วไป แต่มันมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเหมือนความหนาวนั้นกำลังซึมลึกเข้าสู่จิตใจของเธอ
ทันใดนั้น หนิงเหยาก็เริ่มสังเกตเห็นแสงเล็ก ๆ สีทองที่ลอยวนอยู่รอบตัวรถ มันดูเหมือนฝุ่นละอองแต่เป็นสีทองไม่ใช่สีขาวหรือสีเทา อีกทั้งยังมีสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในรถ แม้ว่ากระจกหน้าต่างจะปิดสนิทก็ตาม
ไม่นานหลังจากที่ความมืดเข้าปกคลุมเต็มที่ หนิงเหยาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่เปลี่ยนไป รอบ ๆ ตัวรถมีแสงสีทองเล็ก ๆ ลอยวนอยู่ไม่หาย แสงเหล่านี้เคลื่อนไหวอย่างอิสระราวกับว่ามีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
แสงบางดวงจับกลุ่มกันเป็นลวดลายคล้ายดอกไม้หรือผีเสื้อ บางดวงลอยวนรอบหน้าต่างรถอย่างสงสัยเหมือนกำลังสำรวจเธอ
ในความเงียบที่ปกคลุมอุโมงค์ หนิงเหยาเริ่มได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังแว่วมา เสียงนั้นเป็นเสียงกระซิบเบา ๆ ที่เหมือนจะไม่ได้มาจากคนขับรถแท็กซี่
เสียงเหมือนคำพูดในภาษาที่หนิงเหยาไม่เข้าใจ เสียงเหล่านั้นขาด ๆ หาย ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังพูดถึงเธอ
“นี่มันอะไรกัน”
หนิงเหยาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ แต่ความมืดที่ครอบงำทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
จนกระทั่ง รถแท็กซี่คันนี้ได้พุ่งออกจากความมืดของอุโมงค์สู่แสงสว่างจ้าที่ทำให้หนิงเหยาต้องยกมือขึ้นบังตาอย่างกะทันหัน ก่อนที่หนิงเหยาจะพบว่า…
นางถูกขับไล่ออกจากสกุลสามี คนพวกนั้นให้เหตุผลว่านางเป็นตัวซวยทำให้สามีสอบไม่ผ่าน หากแต่ออกมาได้สามวัน เขากลับแขวนโคมไฟสีแดง รับเกี้ยวเจ้าสาวเข้าจวน!!
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จ้าวเหม่ยซื้อนิยายมาอ่าน พระเอกของเรื่องเป็นทรราชที่ได้รับการยกย่อง บ้าไปแล้วเป็นทรราชจะดีได้อย่างไร ปากบ่นไปสมองก็ด่าไปดันถูกเครื่องทำน้ำอุ่นช็อตตายไป ฟื้นมาอีกทีก็กลายเป็นสนมของทรราชผู้นั้น!! งานนี้เธอจะสามารถกลับออกจากนิยายได้ไหม หรือว่าต้องอุ้มให้ทรราชผู้นั้นตลอดไป ไปลุ้นกันค่ะ ****************** จบดีมีความสุขค่ะ
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
หลังจากที่แฟนหนุ่มประสบอุบัติเหตุรถชนและหมดสติไปหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ฟื้นคืนความทรงจำขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาจำได้ว่ามีคนที่เขารักมายาวนาน ดังนั้น สิ่งแรกที่เซิ่งหลินชวนทำเมื่อฟื้นจากอาการโคม่า คือการขอเลิกกับฉินเวย “เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฉันความจำเสื่อม ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจทำจริงๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราตัดขาดความสัมพันธ์ ความรักของเราก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย ” ฉินเวยไม่ได้ว่าอะไร บัญเอิญว่าการวิจัยยาใหม่ในห้องทดลองสำเร็จ ฉินเวยจึงขอเข้าร่วมการทดลองยา “เมื่อคุณรับประทานยาเม็ดนี้ ความทรงจำส่วนนี้จะถูกลบไปอย่างถาวร คุณฉินเวย คุณตัดสินใจดีแล้วหรือ?”
"พี่เจี๋ยข้าอยากได้อีกจุมพิตเพิ่มพลังของท่าน" ฉีเย่ว์กล่าวงึมงำบนริมฝีปากของเขา นางเป็นฝ่ายดูดกลีบปากของหยางเจี๋ยเบา ๆ ซุกไซร้ซอกซอนแหย่ลิ้นเข้าไปในปากของเขา สัมผัสอ่อนนุ่มในคราแรกเริ่มโหมกระหน่ำร้อนแรงมากขึ้น ฉีเย่ว์ปลดสายรัดเอวของเขาออกสอดมือล้วงเข้าไปในกางเกงของหยางเจี๋ยพบเนื้อร้อนของเขาแข็งแกร่งขึ้นเต็มลำ นางขยำแรง ๆ พร้อมกับรูดมือเบา ๆ "อ๊า คนดีของพี่" หยางเจี๋ยมือหนึ่งประคองศีรษะของนางให้แนบชิดกับปากของเขาอีกมือล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของนาง ฉีเย่ว์ไร้อาภรณ์กางกั้นด้านในนางใส่เพียงเสื้อคลุมนอนสีขาวเท่านั้น เขาลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางไล้นิ้วลงไปจนถึงแก้มก้มแล้วขยำเบา หนัก สลับกัน "พี่เจี๋ยให้ข้ารักท่านเถิด" ฉีเย่ว์กัดปากข่มเสียงครางเอาไว้ นางดึงกางเกงของเขาออกโดยมีหยางเจี๋ยคอยช่วยเหลือ นางขึ้นคร่อมเขาอย่างกระหายไม่บัดนี้ตื่นอย่างเต็มตาในขณะที่ควงเอวควบขี่เขาเป็นจังหวะ หยางเจี๋ยขยับรับจังหวะที่องค์ราชินีของตนเองควบขี่ เขาเด้งสะโพกขึ้นรับนางมือดึงผ้ารัดเอวของนางออกแล้วทิ้งไว้ด้านข้าง แหวกสาบเสื้อของนางแล้วผวาศีรษะขึ้นมาอ้าปากดูดรับเนื้ออวบของนางที่กระเด้งเป็นจังหวะ ฉีเย่ว์ดันร่างของตนเองเข้าหาปากเขามือช่วยประคองศีรษะของหยางเจี๋ยให้แนบชิด หยางเจี๋ยดูดปทุมถันคู่งามอย่างกระหาย เสียงหอบหายใจของฉีเย่ว์สั่นสะท้านหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาคือหัวหน้าหน่วยจู่โจมที่ตายในสงคราม และได้ย้อนเวลากลับมาหลายร้อยปีกระทั่งฟื้นขึ้นมาในร่างเด็กน้อยนาม หยางเจี๋ย เด็กผู้อาภัยจากตระกูลใหญ่ ที่บิดาและมารดาถูกใส่ความว่าทุจริตจนต้องจบชีวิตลง หยางเจี๋ยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตในจวนราชครู สหายของบิดา และที่นี่เขาได้พบกับเด็กน้อยผู้หนึ่งนาม ฉีเย่ว์ ธิดาของท่านราชครูฉีผู้สูงส่ง พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ความใกล้ชิดทำให้เขาหวั่นไหว หยางเจี๋ยจะทำเช่นไรเมื่อได้พบว่า ตัวเอง ตกหลุมรักคุณหนูผู้สูงส่งจนหมดหัวใจไปเสียแล้ว เขารักนาง ต้องการทำให้นางตกเป็นของเขา และทำลายขวากหนามทุกอย่างที่ขัดขวางให้หมดสิ้นไป เพื่อนางเพียงคนเดียว
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY