เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ค่ำคืนหนึ่งในห้องเล็ก ๆ ที่อับทึบ มีผู้หญิงร่างบางคนหนึ่งนามว่า เจียซิน ซึ่งเธอกำลังนั่งพิงกำแพงที่เย็นเฉียบ ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและจิตใจที่บอบช้ำ ภายในห้องไม่มีแสงไฟ มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามา เธอกอดตัวเองแน่น น้ำตาไหลลงอาบแก้มมาอย่างไม่ขาดสาย
เจียซินที่พึ่งนั่งทรุดตัวลงกับพื้นห้องที่เย็นเยียบ มือที่สั่นเทายกขึ้นแตะรอยแดงช้ำบนใบหน้าที่สามีของเธอฝากไว้ ความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายยังคงแผ่ซ่าน แต่ไม่อาจเทียบได้กับความรู้สึกที่แตกสลายภายในใจ เงินทองที่เธอหามาอย่างยากลำบากถูกสามีกวาดไปจนหมด ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าไว้กับเธอเท่านั้น
เสียงสะอื้นเบา ๆ ดังขึ้นในห้องที่เงียบสงัด เธอกอดตัวเองแน่นราวกับพยายามยึดเหนี่ยวเศษเสี้ยวของความหวังที่หลุดลอยไปให้กลับมา ถึงแม้ว่าจะยังคงมีความคิดที่ไม่ดีเกี่ยวกับสามีวนเวียนอยู่ในหัว
‘ทำไมฉันถึงเลือกเขา’
เจียซินตำหนิตัวเองซ้ำ ๆ ดวงตาแดงก่ำจับจ้องไปยังเงาสะท้อนในกระจก เธอแทบไม่รู้จักตัวเองอีกต่อไป ความฝันในอดีตที่เคยสดใสกลับกลายเป็นฝันร้าย ทุกคำพูดหวานที่สามีเคยพร่ำบอก กลายเป็นคำลวงที่กัดกินจิตใจ
เจียซินเหนื่อยเกินกว่าจะร้องไห้ต่อ แต่หัวใจของเธอกลับแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี เธอได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาในความมืดมิดว่าเธอจะไปจากนรกขุมนี้ได้อย่างไร หรือเธอจะต้องจมอยู่กับมันตลอดไปจริงหรือ
“ฉันผิดเอง...ที่เชื่อใจเขา”
เสียงพึมพำของเจียซินสั่นเครือ เต็มไปด้วยความเสียใจที่ไม่อาจลบเลือนได้ เธอนึกถึงวันที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับสามีคนนี้ หวังว่าการเริ่มต้นชีวิตคู่จะนำมาซึ่งความมั่นคง แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน
สามีของเธอใช้ชีวิตอย่างไร้ความรับผิดชอบ เงินทองที่เธอเก็บหอมรอมริบจากการทำงานหนักถูกเขานำไปใช้จนหมด เจียซินพยายามอดทน หวังว่าสักวันเขาจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเฉยชาและการละเลย
เจียซินก้มหน้ามองมือที่สั่นเทา ความเจ็บปวดและความเสียใจท่วมท้น เธอหวนคิดถึงชีวิตในวัยเด็กที่เรียบง่าย แม้จะลำบากแต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากครอบครัว
ในความมืดมิดของค่ำคืนนั้น เจียซินที่กำลังกอดตัวเองและพยายามปลอบใจตัวเอง หันไปมองทีวีเก่าที่ตั้งอยู่มุมห้อง หน้าจอสั่นไหวพร้อมเสียงเบา ๆ จากรายการข่าวธุรกิจที่เธอไม่ได้ตั้งใจดู แต่ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอกลับทำให้เธอหยุดนิ่ง
ชายหนุ่มในชุดสูทเรียบหรูยืนอยู่กลางเวทีงานสัมมนา ดวงตาของเขามีประกายแห่งความมุ่งมั่น และรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรแต่สง่างาม ซึ่งคนคนนั้นคือ ซูเหอ ชายที่เคยเป็นแฟนของเจียซินในสมัยเรียน
เจียซินเบิกตากว้าง ความทรงจำเก่า ๆ พลันหวนกลับมา ซูเหอคือคนที่เธอเคยรักอย่างจริงใจในช่วงเวลาที่เรียบง่ายที่สุดของชีวิต เขาเคยเป็นคนที่มีความฝันและความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ในตอนนั้นทั้งสองแยกจากกันเพราะเหตุผลบางอย่างที่เธอไม่อยากคิดถึง
ในรายการข่าว ซูเหอถูกสัมภาษณ์เกี่ยวกับความสำเร็จในฐานะนักธุรกิจส่งออกอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเล่าเรื่องราวการต่อสู้และความพยายามของตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นจากศูนย์จนสามารถขยายธุรกิจไปยังหลายประเทศ
เจียซินนั่งมองหน้าจอด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เธอรู้สึกภูมิใจในตัวของซูเหอ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ากับชีวิตของตัวเองที่กำลังติดอยู่ในวงจรของความล้มเหลวและความทุกข์ เธอคิดถึงคำพูดของซูเหอในอดีต
“ความสำเร็จไม่ได้มาหาเราเอง เราต้องลุกขึ้นและพยายามอย่างถึงที่สุด”
คำพูดนั้นดังก้องในหัวของเจียซิน เธอสูดลมหายใจลึก ความรู้สึกที่เคยหมดหวังค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่เธอไม่ได้สัมผัสมานาน นั่นคือความหวัง
เธอไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่การเห็นซูเหอในวันนี้ทำให้เธอรู้ว่าเธอยังมีโอกาสที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง
‘ถ้าซูเหอทำได้ ฉันก็ต้องทำได้’
เจียซินคิดในใจ แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างดูเหมือนจะสว่างขึ้นอีกครั้ง เธอรู้ว่านี่คือเวลาที่เธอต้องเริ่มต้นใหม่ แม้ว่ามันจะยากเพียงใดก็ตาม
เจียซินหลับตาแน่น น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง เธอปาดน้ำตาด้วยหลังมือ ความเสียใจและความเจ็บปวดในใจทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก
‘ถ้าฉันเชื่อในตัวเขาสักนิด ถ้าฉันไม่ปล่อยเขาไป’
เจียซินคิด แต่เธอรู้ดีว่าไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ เจียซินปาดน้ำตาอีกครั้ง พยายามรวบรวมสติ เธอไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเสียใจนี้ไปได้ตลอด เธอรู้ว่าการเอาแต่มองย้อนกลับไปในอดีตจะไม่ช่วยให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้
เช้าตรู่ในวันถัดมา เจียซินแต่งตัวอย่างเรียบง่ายด้วยชุดเสื้อผ้าซ้ำ ๆ ที่เริ่มเก่า รวบรวมความกล้าเดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังร้านติ่มซำที่เธอทำงานเป็นลูกจ้าง แม้ว่าร่างกายจะยังเจ็บปวดจากความบอบช้ำเมื่อวาน แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก เธอต้องทำงานเพื่อประคองชีวิตต่อไป
ร้านติ่มซำที่เจียซินทำงานนั้นอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ที่มีกลิ่นหอมของอาหารโชยออกมาจากประตูไม้ที่ถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ป้ายร้านเขียนด้วยตัวอักษรจีนสีทองเด่นชัดบนพื้นหลังสีแดง บ่งบอกถึงความเป็นมาของร้านที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น
เมื่อเจียซินเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนที่มีบุคลิกเคร่งขรึม มองเจียซินด้วยสายตาไม่พอใจทันทีที่เห็นใบหน้าของเธอซึ่งยังมีรอยฟกช้ำเด่นชัด
“นี่เจียซิน เธอปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ได้ยังไง เธอไปทำอะไรมา!”
เจ้าของร้านพูดเสียงดัง จนพนักงานคนอื่น ๆ หันมามอง เจียซินก้มหน้าลงด้วยความอาย ไม่กล้าสบตาใคร
“ถ้าให้เธอออกไปเสิร์ฟ ลูกค้าคงตกใจกันหมด ไปอยู่หลังร้านเลย จัดการของในครัวให้เรียบร้อย อย่าให้ใครเห็นหน้าเธอแบบนี้อีก!”
“ดะ ได้ค่ะเถ้าแก่”
คำพูดนั้นของเถ้าแก่ เหมือนมีดที่กรีดซ้ำลงในหัวใจที่เปราะบางของเจียซิน เธอพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเงียบ ๆ รีบเดินไปที่หลังร้านด้วยน้ำตาคลอเบ้า แต่เธอก็พยายามกลั้นเอาไว้
ที่หลังร้านเจียซินจัดการนึ่งติ่มซำและเตรียมจานอาหารด้วยความตั้งใจ แม้จะถูกลดบทบาท เธอก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด มือของเธอสั่นเล็กน้อยในขณะที่จับเข่งติ่มซำออกจากซึ้งไอน้ำ เธอรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมา แต่ก็ต้องอดทน
‘ฉันต้องทนแบบนี้อีกนานแค่ไหน’
ในใจของเจียซินมีแต่คำถาม แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้ว่าการหยุดทำงานไม่ใช่ทางออก
ขณะที่เจียซินกำลังจัดการกับงานในครัว เจียซินแอบมองออกไปยังโต๊ะของลูกค้าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หัวเราะและพูดคุยกันอย่างมีความสุข แม้เธอจะรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ภาพเหล่านั้นกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเปลี่ยนแปลงชีวิต
เสียงช้อนจานกระทบกันดังเป็นจังหวะในครัวที่อบอวลไปด้วยไอน้ำร้อน เจียซินนั่งยอง ๆ อยู่หน้ากองจานที่สูงล้น มือน้อยๆ ของเธอจับฟองน้ำขัดถูจานแต่ละใบอย่างอ่อนแรง แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าจนแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็พยายามฝืนทำงานต่อ เพราะรู้ว่าหยุดไม่ได้
แต่ไม่นานนัก ร่างของเจียซินเริ่มโอนเอน สายตาของเธอพร่ามัวก่อนที่ความมืดจะเข้าครอบงำ เธอทรุดตัวลงกับพื้น พนักงานคนอื่น ๆ ร้องเสียงหลงและรีบเข้าไปช่วย แต่หารู้ไม่ว่าเจียซินจะหลับไปแบบนี้อีกนานเท่านาน…
“เจียซิน! เจียซิน!”
…เสียงอื้อ ๆ ในหูทำให้เจียซินที่กำลังหลับใหลลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้สึกถึงความเย็นของพื้นโต๊ะไม้เรียบและแสงสว่างจ้ายามบ่ายที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
เจียซินมองรอบตัวด้วยความงุนงง พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในครัวร้านติ่มซำอีกต่อไป แต่กำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนที่คุ้นตา เจียซินกะพริบตาอย่างงุนงง สูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับคืนมาให้ได้มากที่สุด
เจียซินก้มมองตัวเองด้วยความตกใจ ชุดที่เธอสวมคือชุดนักศึกษาสะอาดเรียบง่ายของมหาวิทยาลัย ชุดที่เธอไม่ได้ใส่มาหลายปีแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ เสียงหัวใจของเจียซินก็เต้นดังระรัว เจียซินพึมพำออกมาเบา ๆ ขณะที่มองไปรอบตัวเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ที่นี่มัน...”
บรรยากาศในห้องนั้นดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด โต๊ะเรียงเป็นแถว หนังสือและสมุดวางอยู่ตรงหน้า เสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนร่วมชั้นดังแผ่วเบา เธอหันไปมองเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่ มันคือชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดและกระโปรงดำที่เธอไม่ได้สวมมานานหลายปีจริง ๆ
ซึ่งเป็นการแต่งตัวของนักศึกษาผู้หญิงที่ยังไม่เน้นความหรูหรา แต่เป็นการสะท้อนถึงการศึกษาและค่านิยมของสังคมจีนที่ให้ความสำคัญกับการทำงานหนักและการตั้งใจเรียนรู้มากกว่าการแสดงออกถึงตัวตนผ่านการแต่งตัว
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน’
เจียซินหยุดจ้องมองกระดานดำตรงหน้าซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรจีนที่เขียนด้วยชอล์กขาว และที่มุมขวาด้านบนของกระดานมีวันที่ที่เขียนไว้ด้วยลายมืออักษรจีนอย่างชัดเจนว่าวันนี้คือ…
วันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1980
เจียซินตาเบิกกว้าง วันนั้นคือวันที่ฝังแน่นในความทรงจำของเธอ มันคือวันที่เธอตัดสินใจบอกเลิกซูเหอ ชายหนุ่มที่เคยเป็นแฟนของเธอสมัยเรียน วันที่เธอเลือกเส้นทางชีวิตที่พาไปสู่ความผิดหวังและเสียใจในอนาคต
เจียซินยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามา ทั้งตกใจ สับสน และไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
“ฉันย้อนเวลากลับมาในอดีตจริง ๆ เหรอ”
เจียซินพึมพำกับตัวเองพร้อมกับหยิกแขนของตัวเองเบา ๆ เพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้ฝัน ซึ่งความเจ็บที่รู้สึกนั้นช่วยยืนยันว่าทุกอย่างตรงหน้าคือความจริง
เสียงของอาจารย์ที่กำลังสอนดังขึ้น แต่เจียซินไม่ได้ฟัง เธอมัวแต่นั่งนิ่ง ใจเต้นแรงจนแทบควบคุมไม่ได้ ภาพของซูเหอผุดขึ้นมาในหัว เขาคงอยู่ที่ไหนสักที่ในมหาวิทยาลัยนี้
‘นี่คือโอกาส…โอกาสที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมา’
เจียซินหายใจเข้าปอดลึก ๆ พยายามควบคุมความตื่นเต้นและความหวาดกลัว เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอจะทำต่อจากนี้อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ ไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตของเธอ แต่ยังรวมถึงอนาคตของซูเหอด้วย
'ฉันได้โอกาสแก้ตัวครั้งใหญ่แล้ว ฉันจะไม่ทำผิดพลาดอีก’
เจียซินกำมือแน่น รวบรวมความกล้า ขณะที่แสงแดดจากหน้าต่างทอประกายอ่อน ๆ เหมือนเป็นสัญญาณให้เธอรู้ว่า ชีวิตใหม่นี้ เธอจะมีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...
นางถูกขับไล่ออกจากสกุลสามี คนพวกนั้นให้เหตุผลว่านางเป็นตัวซวยทำให้สามีสอบไม่ผ่าน หากแต่ออกมาได้สามวัน เขากลับแขวนโคมไฟสีแดง รับเกี้ยวเจ้าสาวเข้าจวน!!
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จ้าวเหม่ยซื้อนิยายมาอ่าน พระเอกของเรื่องเป็นทรราชที่ได้รับการยกย่อง บ้าไปแล้วเป็นทรราชจะดีได้อย่างไร ปากบ่นไปสมองก็ด่าไปดันถูกเครื่องทำน้ำอุ่นช็อตตายไป ฟื้นมาอีกทีก็กลายเป็นสนมของทรราชผู้นั้น!! งานนี้เธอจะสามารถกลับออกจากนิยายได้ไหม หรือว่าต้องอุ้มให้ทรราชผู้นั้นตลอดไป ไปลุ้นกันค่ะ ****************** จบดีมีความสุขค่ะ
นราเป็นเพียงหญิงสาวยากชน ต้องทำงานแลกเงินแต่เธอก็มีตุลย์แฟนหนุ่มที่มีฐานะดีคอยช่วยเหลือตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ ในขณะที่อีกฝ่ายก็มีคนที่ดีพร้อมไว้ข้างกายเช่นกัน เพราะรักจึงยอมเลิก เธอจึงเลือกที่จะหอบลูกในท้องจากไปเพื่อให้เขามีอนาคตที่ดีขึ้น ดีกว่าที่จะอยู่กับคนแบบเธอแม้หัวใจจะเจ็บปวดมากเท่าไรก็ตาม
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY