"ฮือๆ .. ทำไมทำอย่างนี้กับรุ้ง ทำไมต้องเป็นเดียร์ ทำไม?" ความรู้สึกเสียงใจของหทัยชนกจะน้อยกว่านี้ หากคนที่เป็นภรรยาน้อยของสามีไม่ใช่เกวลิน...เพื่อนรักของเธอ
"ฮือๆ .. ทำไมทำอย่างนี้กับรุ้ง ทำไมต้องเป็นเดียร์ ทำไม?" ความรู้สึกเสียงใจของหทัยชนกจะน้อยกว่านี้ หากคนที่เป็นภรรยาน้อยของสามีไม่ใช่เกวลิน...เพื่อนรักของเธอ
1
นิ้วเรียวกดปิดแผ่นเสียงที่เพิ่งจบไปได้ไม่กี่วินาที หลังจากที่เธอฟังเพลงระยะสุดท้ายซ้ำไปซ้ำมานับสิบครั้ง จนจำเนื้อเพลงได้ขึ้นใจทุกตัวอักษร ก่อนจะเอื้อมมือหยิบซองเอกสารที่วางไว้บนเตียงนอน เตียงที่เคยให้ความสุขและความอบอุ่นกับเธอ แต่วันนี้มันกลับกลายเป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัส เจ็บอย่างที่ไม่เคยเจ็บ ทุกข์ทนและกล้ำกลืนอย่างสุดกำลัง ไม่มีคำพูดไหนที่จะสามารถถ่ายทอดความเศร้าโศกเสียใจนี้ได้ มีเพียงหยาดน้ำตาเท่านั้นที่เป็นเพื่อนเธอในยามทุกข์เช่นนี้
เธอตรวจดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งอย่างละเอียด ลายเซ็นของเธอกำกับไว้ในช่องของฝ่ายหญิง ส่วนอีกช่องที่เหลือเป็นของฝ่ายชาย รอให้เขามาเซ็นกำกับเท่านั้น แล้วเรื่องทุกอย่างก็จะจบเสียที เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เธอสอดกระดาษแผ่นนั้นลงในซองสีน้ำตาลเข้ม ก่อนจะนำมาวางที่เตียงนอนอีกครั้ง หมุนร่างเดินตรงไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่เธอจัดเตรียมไว้สองใบ ถือกระชับอยู่ในมือ สายตาหวานมองรอบๆ ห้องหอของเธออีกครั้ง บันทึกความทรงจำที่ดีงามไว้ในหัวใจ ตัดใจเดินออกไปจากห้องนั้นทั้งน้ำตา
หทัยชนกเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน เธอมองเห็นเพื่อนรักของเธอที่ยืนเคียงข้างเธอทุกครั้งที่มีความสุข ความทุกข์ หรือเสียใจเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องอย่างหมดเปลือก อัญญาณียืนยิ้มให้กับหทัยชนก รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก ความเห็นใจระคนสงสาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่อัญญาณีสามารถถ่ายทอดให้เพื่อนคนนี้ได้
“ตัดสินใจแน่แล้วใช่มั้ย?” อัญญาณีถามเพื่อนรักอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“แน่ใจสิ เกตุบอกรุ้งเองไม่ใช่เหรอว่าอยู่ก็เจ็บ ไปก็เจ็บ รุ้งต้องเลือกเองระหว่างเจ็บกับการมองเห็นคนที่เรารักมีคนอื่น กับเจ็บเมื่อไม่มีเขาอยู่ใกล้ นำความเจ็บปวดนี้มาเยียวยารักษาหัวใจของเราให้แข็งแรง รุ้งตัดสินใจอย่างหลัง ไปแบบเจ็บๆ ดีกว่าอยู่ที่นี่ที่เจ็บยิ่งกว่า”
หทัยชนกพูดเสียงหนักแน่น อัญญาณีไม่เคยได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นเช่นนี้ แต่เธอรู้ว่าไม่ว่าจะอยู่หรือจะไปจากที่นี่ หทัยชนกไม่มีวันลืมผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าสามีได้ เพราะแววตาของหทัยชนกเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเต็มหัวใจ เธอจึงหวังให้เวลาเยียวยาทุกอย่าง
“ถ้าตัดสินใจดีแล้วก็ไป...ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่เกตุบอกอย่างหนึ่งว่า หลอกใครก็หลอกได้ แต่มีอย่างหนึ่งที่หลอกไม่ได้ คือหัวใจของตัวเอง เกตุไม่อยากให้รุ้งเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้”
“มันไม่มีอะไรเสียใจมากกว่านี้หรอกเกตุ รุ้งผ่านการเสียใจที่สุดมาแล้ว ไปกันเถอะก่อนที่พวกเขาจะกลับมา” หทัยชนกพูดย้ำ อัญญาณีน้ำตารื้นกับคำพูดของเพื่อนคนนี้
“งั้นไปกัน” เพื่อนรักทั้งสองกุมมือกันแน่น ช่วยกันถือกระเป๋าคนละใบเดินออกไปจากบ้านหลังใหญ่ ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน มีคนรับใช้หลายคนให้ชี้นิ้วสั่ง ทุกสิ่งอย่างเหล่านั้นไม่ได้ทำให้หทัยชนกมีความสุขอีกต่อไป เพราะหลังจากที่ตะวันผู้เป็นสามีได้พาหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตคู่ แล้วนับตั้งแต่วันนั้นหทัยชนกรู้จักแต่คำว่าเจ็บปวด ทุกข์ระทมหัวใจอย่างสุดแสน และมันจะไม่เจ็บมากไปกว่านี้
หากผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เพื่อนของเธอ...
ลมหนาวในช่วงค่ำคืน ณ อุทยานภูกระดึงในวันนี้ดูเหมือนว่าจะเย็นจัดกว่าทุกคืน นักท่องเที่ยวที่เดินทางขึ้นมาเยี่ยมชมความสวยงามและต้องการสัมผัสอากาศเย็นสบายในช่วงปลายฤดูหนาว ต่างมานั่งมองดูทัศนียภาพยามค่ำคืน ดื่มด่ำกับราตรีท่ามกลางหมู่ดาวที่ขึ้นพราวระยับประดับฟ้ายามราตรี
ร่างของสามสาวเพื่อนซี้ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสุขอยู่กับธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ มองดูดวงดาวอันไกลโพ้นพร้อมกับพูดคุยกันตามประสา โดยมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมกายร่างของทั้งสามชีวิต
“ท้องฟ้าคืนนี้สวยจังเลยนะ ดาวเต็มฟ้าเลย” หทัยชนกเอ่ยขึ้นขณะที่แหงนมองดูท้องฟ้า รอยยิ้มแห่งความสุขบังเกิดขึ้นบนดวงหน้าสวยของเธอ
“ใช่ สวยดี” อัญญาณีพูดเสริม “แต่ปวดคอชะมัด แหงนมองตั้งหลายนาทีแล้ว เกตุว่านอนดูดาวกันดีกว่า ไม่ต้องปวดคอด้วย” เธอเอ่ยบอกเพื่อนสนิทอีกสองคน ใช้ฝ่ามืออีกข้างบีบตรงท้ายทอยขับไล่อาการปวดเมื่อยที่เข้ามาเยือน
“ก็ได้ นอนก็ได้” เกวลินหรือเดียร์พูดขึ้น ก่อนจะดึงผ้าห่มออกแล้วล้มตัวลงนอนหงายเป็นคนแรก ทำให้อีกสองสาวล้มตัวลงนอนตาม แล้วใช้ผ้าห่มผืนเดิมคลุมกายเอาไว้ ปกป้องความหนาวจากแรงกดอากาศต่ำของค่ำคืน
“เดียร์ไปเรียนต่อเมืองนอก อย่าลืมโทรมาหารุ้งกับเกตุบ้างนะ เกตุไม่มีตังค์โทรไปหาเดียร์บ่อยๆ หรอก งบมันน้อยน่ะ”
อัญญาณีหันมาบอกเกวลินที่กำลังจะเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโทยังประเทศสหรัฐอเมริกา หากจะพูดได้ว่ารายได้จากคนที่จบมัธยมศึกษาปีที่สามอย่างอัญญาณี คงไม่มีปัญญาจ่ายค่าโทรศัพท์ต่างประเทศที่ค่อนข้างแพงได้ คงจะมีทางเดียวก็คือ ต้องให้เกวลินเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเธอแทน
“รู้แล้วน่า เดียร์ก็ต้องโทรมาหาเกตุอยู่แล้ว” เกวลินเข้าใจฐานะของอัญญาณีดีว่าด้อยกว่าเธอมากแค่ไหน ลำพังหาเลี้ยงลูกๆ ทั้งสี่คนซึ่งเป็นภาระแสนหนักอึ้งก็มากพออยู่แล้ว หากจะเพิ่มภาระจ่ายค่าโทรศัพท์ต่างประเทศอีกก็คงไม่ไหว “หรือว่าเดียร์จะให้เงินเกตุไว้เป็นค่าโทรศัพท์หาเดียร์ดี” เกวลินมีความคิดใหม่
“ไม่ล่ะ เกตุกลัวว่าจะเอาเงินไปใช้อย่างอื่นน่ะสิ ตอนนี้ยิ่งชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ เอาเป็นว่าถ้าเดียร์ว่างแล้วคิดถึงเกตุก็โทรมาหาเกตุก็แล้วกันนะ” อัญญาณีค้านตามเหตุผลที่เอ่ยออกไป
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวรุ้งโทรไปหาเดียร์เอง โทรไปตอนเกตุอยู่ด้วยจะได้คุยพร้อม ๆ กัน เอาอย่างนี้ดีกว่านะ” หทัยชนกลูกสาวเจ้าของร้านทองชื่อดังในตัวเมืองภูเก็ตหาทางออกให้กับเพื่อนทั้งสอง
“อืม...ก็ดีเหมือนกันนะ เอาเป็นว่าถ้าเดียร์ว่าง เดียร์จะโทรหา ถ้ารุ้งกับเกตุว่างก็โทรหาเดียร์ โอเคนะ”
“โอเค” เสียงของหทัยชนกกับอัญญาณีพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“เดียร์คงคิดถึงเกตุกับรุ้งมากๆ ไปตั้งสองปีกว่าจะกลับ”
เกวลินพูดเสียงเศร้า เมื่อนึกถึงระยะเวลาที่จะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อไปศึกษาต่างประเทศตามความต้องการของบิดา เกวลินเองไม่ต้องการไปเรียนต่อแม้แต่น้อย เนื่องจากเธอเรียนจบระดับชั้นปริญญาตรีมาเกือบเจ็ดปีแล้ว ความรู้ก็ถูกกลืนหายไปตามเวลา ไปเรียนปริญญาโทคราวนี้เท่ากับว่าต้องเคาะสนิมใหม่
“แล้วเดียร์จะไม่กลับมาช่วงซัมเมอร์เหรอ?” คนที่ผ่านการเรียนเมืองนอกมาก่อนเอ่ยถาม
“คงไม่ล่ะ เพราะไม่รู้ว่าช่วงนั้นจะทำกิจกรรมอะไรบ้าง พ่อบอกว่าให้กลับมาทีเดียวตอนที่เรียนจบ” คนที่ถูกบังคับให้ไปเรียนต่อตอบกลับยังคงมีน้ำเสียงเศร้าเช่นเดิม
“เอาน่า พ่อให้เรียนก็เรียนไปเถอะ เพื่ออนาคตที่ดีไง เพื่อพ่อด้วยไง”
อัญญาณีจับน้ำเสียงของเพื่อนได้ว่า ไม่มีความปรารถนาจะไปเรียนต่อเลย ถ้าไม่เป็นเพราะเกวลินมีปัญหากับภรรยาใหม่ของผู้เป็นพ่อ ถึงขั้นมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง คนกลางเช่นวิทยาจึงตัดสินใจให้ลูกสาวคนที่สองไปเรียนต่อต่างประเทศ ตัดปัญหาไปในตัว
เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าสวย สรีระหน้าฟัดของ พลอยพัตรา ทำให้ เฟอเดอริค มอโร อยากจะคว้าตัวเธอมาเป็นดอกไม้บนเตียงของเขาทันที คนเจ้าเล่ห์และเจ้าบุญทุ่มอย่างเขาจึงทำทุกอย่างที่จะได้ดอกไม้ดอกนี้มาเชยชม
"คนอย่างเธอความเจ็บปวดแค่นี้มันยังน้อยเกินไป เธอต้องเจ็บเหมือนกับที่มินามิเจ็บ และต้องเจ็บยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า ฉันจะทำให้เธอตายอย่างช้าๆ แต่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส เธอจะไม่ได้ยินหรือสัมผัสกับความอ่อนโยนเมตตาจากฉัน สิ่งที่ฉันจะมอบให้เธอมีเพียงความเกลียดชังเท่านั้น จำใส่กะโหลกไว้" เรียวเหวี่ยงร่างงามไปที่เตียงนอนอย่างแรง มือหนาจับที่ข้อเท้าของเธอไว้แน่นเมื่อรู้ว่าเธอกำลังกระเถิบตัวหนี "หนีสิ หนีเลย ถ้าเธอหนี คนที่ตายเป็นคนแรกคือแม่ของเธอ ฉันจะให้แม่เธอตายเหมือนหมูเหมือนหมาข้างถนน เหมือนกับที่เธอฆ่าแม่ของฉัน" ดวงตาเขาเปล่งแสงแรงกล้าของความอาฆาต เมื่อนึกถึงข้อนี้อยากจะฆ่าหญิงสาวตรงหน้าให้ตายตามมารดาและคนที่เขารัก แต่ความตายอาจจะไม่ทำให้เขาสะใจ นอกจากกระกระทำต่อไปนี้ที่สะใจเขามากที่สุด ทรรศิกาหยุดดิ้นรนขัดขืน เขาจึงปล่อยข้อเท้าของเธอให้เป็นอิสระ จัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าต่อหน้าเธอ ความกลัวเริ่มเกาะกินจิตใจของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ อยากจะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ แต่เมื่อนึกถึงมารดา ทำให้เธอก้มหน้ารับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น เรื่องที่คุณน่าจะสน
ความอิจฉาน้องสาวต่างมารดาคือจุดเริ่มต้นของแผนการ “ชิงไอศูรย์” มาเป็นของตน เธอจึงใช้เล่ห์เหลี่ยมง่ายๆ คือวางยานอนหลับเขา พอตื่นขึ้นมาก็จะติ๋งต่างว่า เขากับเธอมีอะไรกัน ทว่าแผนเกิดผิดพลาด ยาที่ผสมในไวน์กลับเป็นยาปลุกเซ็กซ์ ผลที่ออกมาคือ ไอศูรย์มีความสัมพันธ์ทางกายกับเธอจริงๆ ในที่สุด ชเนตตีได้แต่งงานกับเขาตามตั้งใจ ทว่าผลที่ออกมา ไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้ “เนยใส่อะไรในแก้วไวน์ของพี่ใช่ไหม ไม่อย่างนั้นพี่จะไม่มีวันอยู่ในสภาพแบบนี้” เขาถามอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ เสียงที่ถามเข้มห้วน ใบหน้ายังคงเรียบตึง สายตาถมึงทึงใส่ร่างอวบที่ย่นคอหนีน้ำเสียงแผดกร้าว “ตอบพี่มา” “ใส่อะไร เนยไม่รู้เรื่อง…ฮือ…พี่เจย์ทำผิดแล้วอย่ามาโทษว่าเนยวางยาพี่นะ…ฮือ” เธอยังคงปากแข็งต่อไป หลบสายตาแข็งกร้าวพัลวัน
“ว้าย!!..” เธอร้องได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่ปากของหยาดน้ำค้างจะถูกมือใหญ่ของใครบางคนปิดเอาไว้ ลำแขนอีกข้างรัดร่างน้อยไว้แน่น ก่อนจะลากไปที่พุ่มไม้รกข้างทาง “อย่าดิ้น อย่าร้อง ไม่งั้นจะจับปล้ำมันตรงนี้แหละ” เสียงที่พูดชิดเรียวหูสะอาด ทำให้เธอรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร..เหมันต์ วิเศษเดโช เขาดันร่างเล็กให้แผ่นหลังแนบชิดกับต้นไม้ใหญ่ขนาดสี่คนโอบ ใช้ลำแขนกักร่างบางเอาไว้ “ปล่อยนะ” หญิงสาวพูดเสียงเบาทว่าหนักแน่น เธอไม่กล้าพูดเสียงดังมาก เพราะกลัวว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะได้ยิน “ไปกล่อมพ่อหรือกล่อมลูกมาล่ะ ถึงได้อ้อยอิ่งเป็นชั่วโมงแบบนี้” น้ำเสียงของเหมันต์เขียวเหมือนกับใบหน้าที่เขียวคล้ำด้วยความโกรธ “มันเรื่องของฉัน..คุณไม่เกี่ยว..เราไม่มีอะไรต่อกันแล้ว คุณก็ได้ในสิ่งที่คุณต้องการแล้วนี่ จะมาเอาอะไรกับฉันอีก ปล่อยนะ ฉันจะกลับที่พัก” หยาดน้ำค้างพยายามดิ้นรนหนีพันธนาการที่รัดร่างอยู่ แต่ทว่าลำแขนของเขานั้นหาได้คลายออกไม่ ยิ่งรัดแน่นมากกว่าเก่า เมื่อได้ยินวลีของเธอ “ทำไมผมจะไม่เกี่ยว ในเมื่อน้ำค้างเป็นเมียของผม..เป็นเมีย หรือว่าจำไม่ได้ว่าเราสองคนมีความสุขกันมากแค่ไหน” เขาเท้าความหนหลังให้เธอได้ฟัง ฝ่ายหญิงนิ่งเงียบกับคำพูดของเขา เธอไม่เถียงว่ามีความสุขมากแค่ไหนเวลาได้อยู่ใกล้ชิดกับเรือนกายที่แสนแข็งแรงและอบอุ่น หากแต่ความทุกข์และความเสียใจที่เธอได้รับนั้นมันก็มากมายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือว่าความทุกข์ เธอก็ไม่มีวันลืมเช่นกัน และไม่มีทางจะกลับไปจมกับความทุกข์อีกแล้ว “ฉันไม่ใช่เมียคุณ..ถ้าคุณคิดว่าการที่เรามีอะไรกันแล้วฉันจะเป็นเมียคุณ พี่ว่านก็ต้องเป็นสามีของฉันเหมือนกัน” หยาดน้ำค้างคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด วิธีที่เขาไม่มีทางมายุ่งเกี่ยวกับเธออีก อ้อมแขนที่รัดร่างนิ่มคลายออกโดยอัตโนมัติ หัวใจของคนที่ฟังเต้นเร็ว ดวงตาคมเข้มสีดำเรืองแสงในความมืดที่โรยตัวไปทั่วบริเวณ บ่งบอกอะไรหลายอย่างในแววตา เสียใจ ไม่คาดฝัน ไม่แน่ใจ
จะกี่หมัดก็ไม่หวั่น กี่ยกก็ไม่กลัว เธอจะ Knock Out ด้วยหัวใจติดปลายนวม ภัทรียายินดีสานต่อค่ายมวยและรับผิดชอบหนี้สินรุงรังต่อจากพ่อซึ่งเสียชีวิต แต่ ณ วันนี้หนี้สินสามปีที่ผัดผ่อนมาตลอดทำให้เธอมืดแปดด้าน ไม่ว่าความหวังแสนริบหรี่แค่ไหน เธอก็คว้าไว้อย่างไม่รอช้า ไม่เว้นแม้แต่การเป็นภรรยาหลอกๆ ต่อให้ต้องโดนแม่สามีดูถูกทุกขณะ น้องสาวสามีจ้องเหยียดชาติกำเนิดทุกครั้งที่เจอหน้า ภัทรียาก็ไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย เพราะเธอคือ... ‘มะปราง ลูกจ่าดาบ ศิษย์จอมทอง’ นักมวยสาวหุ่นกระชากใจหนุ่มๆ หากไม่เพราะกำลังจะถูกแม่จับคลุมถุงชน ธัชธรรมจึงต้องเลือกใช้วิธีสิ้นคิด จ้างนักมวยสาวหมัดหนักที่กำลังร้อนเงินมาเป็นภรรยากำมะลอ จดทะเบียนจริง อยู่ด้วยกันจริง...และทำท่าว่าจะต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน รออีกอย่างเดียวเท่านั้น... รอให้สะใภ้กำมะลอยอมเป็นภรรยาตัวจริงของเศรษฐีหนุ่มหล่อ
“บ้าอำนาจชะมัด” หญิงสาวแอบบ่น กระแทกตัวลงนั่งริมสุดของขอบโซฟา ทิ้งระยะห่างจากเขาให้มากที่สุด “นี่แม่คุณ มานั่งใกล้หน่อยสิ นั่งไกลอย่างนั้นแล้วจะบริการฉันได้ยังไง ไม่เห็นเหรออาหารหมดถ้วยแล้ว” ถ้ารู้มาก่อนว่าคนที่จองห้องวีไอพีคือเขาคนนี้ เธอไม่ยอมเป็นพนักงานเสิร์ฟจำเป็นแน่นอน หญิงสาวเขยิบร่างกายเข้ามาอีกนิด ตักอาหารใส่ถ้วย ก่อนจะวางไว้ตรงหน้าเขาเหมือนเดิม “ป้อนด้วยสิ” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี “ดิฉันมีหน้าที่คอยให้บริการอำนวยความสะดวกให้กับคุณ ตามที่เห็นสมควรนะคะ การป้อนอาหารเป็นนอกหน้าที่ของดิฉัน” สร้อยระย้าพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเข้ม จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ชายหนุ่มกระตุกยิ้มกับท่าทีแสนพยศของเธอ ขยับร่างกายเข้ามาประชิดร่างบางอย่างรวดเร็ว โดยที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว “ว้าย!!..ปล่อยนะ” หญิงสาวร้องเสียงหลง ผลักร่างหนาให้ออกห่าง แกะมือใหญ่ที่รัดเอวของเธอไว้แน่น แต่ยิ่งพยายามเอวของเธอก็ต้องถูกรัดแน่นมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นร่างงามลอยขึ้นเหนือเบาะ เนื่องจากเขาอุ้มร่างของเธอมานั่งบนตัก “พยศนักนะ” ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธเขามาก่อน เห็นจะมีเพียงผู้หญิงกลิ่นกายเย้ายวนใจคนนี้ ยิ่งชิดใกล้เลือดในกายของเขาเดือดพล่าน ความต้องการปะทุขึ้นมาทันที เรียวปากใหญ่ปิดสนิทปากนุ่มที่กำลังจะอ้าปากต่อว่า ทำให้เขาสอดแทรกลิ้นร้อนชื้นเข้าไปภายในโพรงปากอย่างง่ายดาย เรียวลิ้นหนาตวัดพัดโบกกับลิ้นนุ่มที่ตื่นกลัวทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากจูบนี้เป็นจูบแรกของชีวิตสาว สมองของเธอนั้นเริ่มมีกลุ่มหมอกควันสีขาวเข้ามาปกคลุม ความว่างเปล่ากำลังเข้ามาแทนที่ ไม่มีสตินึกคิด ความหวานนุ่มชวนหอมหวานที่เขาได้สัมผัส กระตุ้นความเป็นชายของเขาให้ตื่นจากการหลับใหล เสียงครางที่ดังทักท้วงในลำคอสาว เสมือนยากระตุ้นให้ความดันโลหิตของเขาเสียดทานกับความต้องการทางเพศ ร้อนรุ่มไปทั้งกาย มือใหญ่ลูบแผ่นหลังบางไปมา ก่อนจะวกมากอบกุมทรวงอกขนาดพอเหมาะกับฝ่ามือของเขา ไม่ใหญ่มากเกินไปจนล้นมือและไม่เล็กจนเสียอารมณ์
เพราะเพื่อน..เธอจึงต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ เป็นเหตุให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอแอบชอบ ในขณะเดียวกัน เธอเองก็คิดว่าเขาเป็นเกย์ เพราะสถานการณ์บางอย่างเช่นกัน แล้วความวุ่นวายก็บังเกิด เมื่อเธอดัน…หลงรักเกย์ ‘ฮื่อ! เป็นเกย์นะเว้ยไม่ได้เป็นหวัด รักษาวันเดียวจะหายได้ไง สู้ต่อไปศิศิรา ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มีผัวเป็นตัวเป็นตน เพราะงั้นฉันก็ยังมีหวัง เฮ้อ! อย่างมากก็แค่ผิดหวังล่ะน่า’ ***“สาบานได้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่หยุด จนกว่าเรา…จะเป็นของกันและกัน” เขาบอกก่อนจะผละลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขณะที่สองมือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อ สองตาก็ยังไม่ยอมเลื่อนไปจากเรือนร่างขาวโพลนตรงหน้า และไอ้สายตาคมกล้าประหนึ่งเสือรอตะครุบเหยื่อของเขาก็ทำให้เธอหนาวๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก “ไม่! เราพวกเดียวกัน เรากินกันไม่ได้” เธอพยายามเตือนสติ เพราะคิดว่าเขาอาจจะกำลังขาดสติ “แต่ผมเคยกินคุณแล้ว แล้วผมก็ชอบกินคุณ” เขาพูดพลางหลุบตามองไปที่แพนตี้ของเธอ ทำเอาเจ้าของแพนตี้ทำตาโต ไม่แน่ใจในคำว่ากินของเขา ที่สำคัญ…กะๆ กินอะไร “มะหมายความว่าไง”
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY