โสดอย่างมีคุณภาพ
โสดอย่างมีคุณภาพ
หลังเลิกงานฟีฟ่าหนุ่มบรรณารักษ์เดินดุ่มๆออกจากมหาวิทยาลัย เนื่องด้วยวันนี้รถของเขาเสียจึงอยู่ที่ร้านซ่อม ฟีฟ่าจึงต้องขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ฟีฟ่าคิดไว้ว่าจะรอรถที่หน้ามหาวิทยาลัย แต่ยังเดินไปไม่ถึงก็มีรถจอดข้างๆ
“ขึ้นรถมาเร็ว”เจมี่รุ่นพี่บรรณารักษ์เรียกฟีฟ่าขึ้นรถ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะขึ้นแท็กซี่กลับก็ได้ครับ”
“ไม่ได้วันนี้พี่มีธุระจะคุยด้วย”
“เอ่อ ก็ได้ครับ”
ฟีฟ่ารีบขึ้นรถนั่งข้างหน้าคู่กับเจมี่รุ่นพี่ เมื่อฟีฟ่าขึ้นมาในรถแล้ว เจมีก็รีบขับรถออกไปทันที
“พี่เจมี่มีอะไรจะคุยกับฟีฟ่าเหรอครับ”
“ฟีฟ่านี่หน้าตาน่ารักดีนะอายุก็เกือบสามสิบแล้วหน้ายังเด็กอยู่ด้วย ดูอย่างพี่ซิอายุสามสิบหน้าปาเข้าไปสี่สิบแล้ว”เจมีหนุ่มบรรณารักษ์รุ่นพี่ยิ้มอย่างสดใส พรางหัวเราะไปด้วยความขบขันตัวเอง
“พี่อย่าพูดอย่างนั้นสิ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“พี่รู้ตัว พี่ยอมรับความจริงได้ไม่ต้องปลอบใจพี่หรอก”
“ไม่ได้ปลอบใจหรอกครับ แต่ถึงอย่างไงพี่กอล์ฟก็รักพี่ที่สุดอยู่แล้ว”
“แหม มันแน่อยู่แล้ว ที่พี่ชวนขึ้นมานี่ ก็เพื่อจะชวนฟีฟ่าไปล่องเรือเจ้าพระยากันไหม พี่กอล์ฟเขาให้ชวนฟีฟ่าไปด้วยนะ เขาบอกว่ามีคนจะแนะนำให้ฟีฟ่ารู้จักด้วยแหละ”
“ใครเหรอ”
“เพื่อนพี่กอล์ฟเขา รวยมาก เป็นลูกชายเจ้าของหมู่บ้านจัดสรร อายุราวๆสามสิบกว่าเท่าพี่กอล์ฟนั่นแหละ”
“เดี๋ยวนี้พี่กอล์ฟเป็นพ่อสื่อแล้วหนอ”ฟีฟ่าอมยิ้ม
“พี่กับพี่กอล์ฟก็อยากให้ฟีฟ่ามีแฟนกับเขาซะที มัวแต่ทำงานงกๆไม่ไปไหนเลย แล้วจะเจอใครล่ะ ต้องออกไปเปิดหูเปิดตาซะบ้าง”
“ ก็ได้ ที่ฟีฟ่าไปไม่ได้อยากเจอผู้ชายนะ อยากไปล่องเรือต่างหาก”
“จร้า”เจมี่ลากเสียงยาว
ลึกๆแล้วฟีฟ่าก็อยากไปเจอผู้ชายเหมือนกัน เพราะอายุของฟีฟ่าก็ยี่สิบหกย่างยี่สิบเจ็ดเข้าไปแล้ว แต่ยังเคยมีแฟนซักคน
ฟีฟ่ากับเจมี่คุยกันมาตลอดทาง จนเกือบถึงปากซอยบ้านของฟีฟ่า
“เดี๋ยวพี่เจมี่ไปส่งฟีฟ่าที่ปากซอยก็ได้นะ ฟีฟ่าจะเอารถกลับด้วย”
“ฮือ ถ้างั้นตอนค่ำๆเดี๋ยวพี่มารับนะบอกพ่อกับแม่ไว้ด้วยก็แล้วกัน อีกอย่างพรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ต้องห่วงเรื่องทำงานหรอก”
“ครับ”
“ร้านตรงไหนล่ะ ใกล้ถึงหรือยัง”
“ตรงนี้ ตรงนี้ ถึงแล้วครับ”
เจมี่จอดรถทันทีและหันมายิ้มให้ฟีฟ่า เพราะเขาพึ่งสังเกตฟีฟ่าชัดๆก็วันนี้ เพราะหน้าตาฟีฟ่านั้นน่ารักสดใส ยิ่งมองยิ่งเจริญหูเจริญตา
“ค่ำๆพี่มารับนะ”
“ครับพี่ ขอบคุณมากครับที่มาส่งฟีฟ่า”
“ไม่เป็นไรหรอกจร้า”
ฟีฟ่าลงจากรถก็พุ่งตรง ไปที่ร้านซ่อมรถหน้าปากซอยบ้านของเขา และสิ่งที่ฟีฟ่าเห็นมีช่างซ่อมหนึ่งคนถอดเสื้อเผยเห็นรอยสักเต็มตัว ใส่กางเกงยีนส์เอวต่ำจนเห็นขอบกางเกงใน เหงื่อท่วมตัว ผมบนศีรษะหยุ่งเหยิงพันกันเป็นรังนก ใบหน้านั้นคมเข้มมีหนวดเครานิดหน่อย ผิวสีแทน หุ่นไม่ถึงกับลีนมีกล้ามสมส่วน
ฟีฟ่ายืนมองอยู่พักหนึ่ง เขากล้าๆกลัวๆเพราะหนุ่มผู้นี้ ท่าทางเถื่อน ดิบ ห่ามๆ ส่วนอายุน่าจะไล่ๆกับฟีฟ่ายี่สิบปลายๆ
“มีอะไรไอ้น้อง”กันเจ้าของร้านซ่อมรถยนต์ขนาดเล็ก มองหน้าฟีฟ่าเพราะเขาเห็นฟีฟ่ามองอยู่นาน
“มาเอารถครับ”
“คันไหน”กันพูดห้วนๆ
“ก็คันที่คุณซ่อมอยู่นั่นแหละครับ”
เมื่อเช้ารถของฟีฟ่าเสียที่หน้าร้านซ่อมปากซอยพอดี เขาจึงจอดไว้ที่หน้าร้านโดยมีพ่อของหนุ่มกันรับรถไว้
“ยังไม่เสร็จ อีกสองสามวันนั่นแหละ”
“ไหนคุณลุงที่รับรถเมื่อเช้า บอกว่าเสร็จตอนเย็นไง”
“นั่นไม่ใช่ช่าง พ่อพี่เองแกไม่รู้เรื่องหรอก และอีกอย่างรถก็เสียเยอะ ต้องซ่อมหลายอย่าง ต้องใช้เวลาหน่อย”
ฟีฟ่ายืนนิ่งเพราะปากซอยกับบ้านของเขาก็ไกลพอสมควร ซึ่งฟีฟ่าก็ต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อเข้าบ้าน ในระหว่างนั้นพ่อของกันก็ออกมาจากในบ้านพอดี เพราะอู่ซ่อมรถกับบ้านเป็นที่เดียวกัน
“อ้าวพ่อหนุ่ม ลุงต้องขอโทษด้วยที่บอกว่าเสร็จตอนเย็น”พ่อของกันยิ้มแห้งๆให้ฟีฟ่า ส่วนฟีฟ่ายิ้มฝืนๆกลับคืน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”ในใจฟีฟ่าแอบเคืองอยู่ไม่ใช่น้อย
“ถ้างั้นขอเบอร์ช่างหน่อยครับ”
“08xxxxxxxx ชื่อกัน”กันบอกเบอร์โดยที่ไม่มองหน้าฟีฟ่า
“ไอ้หนุ่มกลับอย่างไง”พ่อของกันพูดขึ้น เมื่อเห็นกันกำลังจะเดินออกจากร้าน
“เดี๋ยวขี้นวินมอเตอร์ไซค์กลับไปครับ ซอยอยู่ท้ายซอยนี่เองครับ”
“เอ่อ อยู่ในซอยนี่หนอ แล้วลูกเต้าเล่าใครล่ะ”
“พ่อผมชื่อยศครับ”
“พ่อจะไปถามเขาทำไม อยากรู้เรื่องของคนอื่นไปทั่วเลยหนอ”กันหยุดทำงานและมองหน้าพ่อของเขา
“ไอ้กัน กูจะคุยกันใครก็เรื่องกูอย่ามายุ่ง ว่าแต่พ่อชื่ออะไรน่ะลุงลืมไปแล้ว”
“ยศครับ”
“เอ่อ ไอ้ยศ โค้ชว่ายน้ำทีมชาติใช่ไหม”
“ใช่ครับ”ฟีฟ่ายิ้มฝืนๆอีกครั้ง เพราะเขาคิดว่ามีแววยืนคุยอีกยาว
“ถ้าอย่างงั้นไอ้กันมึงไปช่วยส่งไอ้หนุ่มนี่หน่อย พ่อเขาอุตส่าห์ทำงานช่วยประเทศชาติ”พ่อของกันเดินเข้าไปใกล้ๆฟีฟ่าแล้วมองหน้าชัดๆ
“หน้าตาไม่เหมือนพ่อเลย น่าจะได้แม่เยอะ หน้าตาน่ารักยังกับผู้หญิง”
“ครับ”คราวนี้ฟีฟ่าไม่ยิ้มแล้ว
“อ้าวไอ้กันกูบอกให้มึงไปส่งไอ้หนุ่มนี่หน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับลุง”ฟีฟ่าพูดขึ้น
“เป็นซิ จะปล่อยให้ลูกค้านั่งวินมอเตอร์ไซค์กลับได้ไง”
“พ่อ คนอื่นเขาก็กลับกันเยอะแยะ”
“นั่นมันคนอื่นแต่นี่ลูกชายโค้ชว่ายน้ำทีมชาติเชียวนะ แถมเป็นลูกค้าเราด้วย มึงต้องไปส่งเดี๋ยวนี้ไอ้กัน”
“พ่อก็”
“กูบอกให้มึงไปส่งไอ้หนุ่มนี่ ไม่ใช่ให้มาเรียกกู ไอ้นี่ชักอย่างไงซะแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ผมกลับแล้วนะ”ฟีฟ่ารีบเดินออกจากร้านทันที
“อย่าพึ่ง”พ่อของกันเรียกไว้
“เอาน่า ให้ไอ้กันไปส่งก็แล้วกัน แค่นี้เองไม่เสียเวลาหรอก”
ฟีฟ่ายืนงงอยู่พักหนึ่งมองหน้าพ่อลูกสลับไปมาอย่างมึนๆงงๆ พร้อมกับเกาหัวด้วยความสับสนว่าจะเอาอย่างไงดี
“ไอ้น้องเดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้ พ่อพี่จะได้สบายใจ”
เมื่อกันพูดจบก็คว้าเสื้อยืดเก่าๆขาดๆมาใส่ พร้อมเข็นบิ๊กไบค์ออกมาที่หน้าร้าน และสตาร์ทเครื่องรอฟีฟ่าทันที
“อ้าว ไม่ไปเหรอยืนทื่ออยู่ได้”กันหันมามองฟีฟ่า
“ไม่ใส่หมวกกันน็อคเหรอ”ฟีฟ่าเดินเข้าไปใกล้ๆ
“ใกล้แค่นี้เองไม่ต้องใส่หรอก”
“วินมอเตอร์ไซค์ยังใส่เลย”
“นั่นมันวินนี่มันกันจะใส่ทำไม”
“ไอ้หนุ่มไม่ต้องพูดกับมันเยอะ รีบขึ้นรีบกลับเถอะ”พ่อของกันย้ำอีกครั้ง
ฟีฟ่าจำใจขึ้นรถซ้อนท้ายบิ๊กไบค์ ที่ไร้หมวกกันน็อตทั้งสองคน เมื่อฟีฟ่าขึ้นคร่อมรถเสร็จเรียบร้อย กันก็เร่งเครื่องออกไปทันทีจนใบหน้าของฟีฟ่าเฉียดแก้มกันอย่างหวุดหวิด
“ถ้ากลัวตกจับเอวไว้ก็ได้”กันพูดขึ้น
ฟีฟ่ากล้าๆกลัวๆแต่ก็จับเอวของกันไว้ ยามรถแล่นฟีฟ่าต้องกลั้นหายใจเป็นระยะๆ เพราะกลิ่นเหงื่อโซยเต็มจมูกของเขา ฟีฟ่าพยายามฝืนทนจนถึงหน้าบ้านของเขา
“ถึงแล้ว”
กันเบรครถเสียงดังเอี้ยดจนฟีฟ่าเซไปข้างหน้าจนแก้มของเขา ไปสัมผัสแก้มของกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ที่หลังก็บอกไวๆหน่อยนะบอกช้าแบบนี้มันก็แบบนี้แหละ”
“ขอบใจมาก”ฟีฟ่าแอบคิดครั้งนี้คงครั้งเดียวก็พอแล้ว
“บ้านหลังใหญ่ดีนี่”กันมองเข้าไปข้างในบ้านของฟีฟ่า แล้วใจเขาก็คิดอยากมีบ้านสักหลังหนึ่งไม่ต้องใหญ่มาก เพื่อที่จะให้พ่อกับแม่ของเขาได้อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องมาอุดอู้อยู่ในร้านซ่อมรถเล็กๆ
“ถ้าเสร็จเมื่อไรโทรหาด้วยนะ”ฟีฟ่าเอ่ยขึ้น
“เอ่อ ไม่ต้องกลัวหรอกเดี๋ยวพี่โทรบอกก็แล้วกัน”
“นี่ ไม่ต้องแทนตัวเองว่าพี่ก็ได้ เราน่าจะอายุเท่ากันนะ”ฟีฟ่ามองหน้ากันซึ่งเขาคิดว่าน่าจะซักยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด
“ไอ้น้องพูดแบบนี้มึงอายุเท่าไร”
“ยี่สิบหก”
“ไม่เชื่อหรอก”กันมีสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ เพราะอายุเท่ากับเขาเลย
“ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่เราจะไม่เรียกนายว่าพี่หรอก”
“ไอ้นี่มันอย่างไง เอ่อๆ แล้วแต่มึงอยากแก่ก็แล้วไป กูไปล่ะ”กันส่ายหัวนิดหน่อยแล้วขับรถวนกลับไปทันที
ฟีฟ่าถอนหายใจชั่วครู่และเปิดประตูรั้วเข้าไปในบ้าน ซึ่งฟีฟ่าก็เห็นพ่อของเขายืนดูอยู่หน้าบ้าน ฟีฟ่าจำเป็นต้องรีบเดินเข้าไปอย่างไว
“ใครมาส่ง”ฟีฟ่ายังไม่ถึงหน้าประตูบ้านเลย ยศพ่อของเขาถามทันที
“ช่างซ่อมรถหน้าปากซอยมาส่งครับ”
“หมวกกันน็อคก็ไม่ใส่มันอันตรายรู้ไหม ถึงมันจะใกล้ๆก็เหอะ ทีหลังอย่าไปขึ้นรถของใครอีกโดยที่เราไม่รู้จัก คนเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ”
“เขาก็ช่างซ่อมรถนี่ครับพ่อ”
“จะชงจะช่างพ่อไม่สนอะไรทั้งนั้น ทีหลังห้ามซ้อนบิ๊กไบค์ใครมาอีกรู้ไหม”ยศเสียงเข้มทันที
“คุณคะ ลูกเราเป็นผู้ชายนะ คุณลืมไปหรือเปล่า”หนิงแม่ของฟีฟ่าพูดขึ้นทันที หลังจากได้ยินเสียงดังมาจากหน้าบ้าน เพราะเธอกำลังอยู่ในครัวจึงรีบออกมาดูพร้อมปื่นโตหนึ่งเถา
“จะผู้หญิงผู้ชายก็เหมือนกันนั่นแหละ”ยศยังหน้าบึ้งต่อ
“คุณพูดแบบนี้ เมื่อไรลูกของเราจะมีแฟนซักทีล่ะ หวงอยู่อย่างนี้”
“ไม่ต้องมงไม่ต้องมีมันแล้วฟงแฟน อยู่กับพ่อกับแม่นี่แหละ”
“ลูกก็คิดว่าจะอยู่กับพ่อกับแม่ตลอดไปนั่นแหละ”ฟีฟ่ายิ้มเอาใจผู้เป็นพ่อ
“เห็นไหมลูกยังเห็นชอบด้วย คุณนี่ไมได้เลยหัวสมัยใหม่เกินไป”
“อะไรกัน ฉันผิดอีกแล้วเหรอเนี่ย เอ่อๆ ราคาญ ฟีฟ่า เอาปิ่นโตไปให้น้องข้างบ้านหน่อย”หนิงยื่นปิ่นโตให้ฟีฟ่า ส่วนฟีฟ่าก็รับมาอย่างงงๆ
“ใครอยู่ข้างบ้านเราเหรอครับ”
“ถามพ่อเองโน้น”
“เอ่อ นักกีฬาว่ายน้ำลูกศิษย์พ่อเอง พ่อให้มาอยู่บ้านเช่าของเรา อยู่ไม่นานหรอกพอแข่งเสร็จก็คงเรียนจบพอดี เรียนที่มหาวิทยาลัยที่ลูกทำงานนั่นแหละ เรียนเอกพละศึกษา”
“เอ่อ”ฟีฟ่าพยักหน้า
“รีบเอาไปให้น้องเขาซะ เดี๋ยวกลับมากินข้าวกัน”หนิงผู้เป็นแม่พูดขึ้น
“คือเย็นนี้ เจมี่จะมารับไปกินข้าวครับ”
“ที่บ้านก็มีกิน บอกไอ้เจมี่มากินที่นี่ก็ได้ ไม่ต้องถ่อสังขารไปกินที่อื่นหรอก”ยศเริ่มเสียงเข้มอีกครั้ง
“พ่อก็ นานๆลูกจะได้ออกไปข้างนอกซะที พ่อให้ลูกไปด้วยนะๆๆๆ พ่อ”ฟีฟ่าอ้อนผู้เป็นการใหญ่
“เองนี่อย่างไงเนี่ย พ่อตามใจจนเคยตัว”
“คุณเคยตามใจลูกด้วยเหรอ”หนิงแอบยิ้ม
“ก็ตามใจน่ะซิ แล้วมีคุณให้ท้ายอีก ลูกเลยเอาแต่ใจตัวเองบอกอะไรก็ไม่ฟังเลย”
“คุณก็ให้ลูกไปเที่ยวสักวันก็ได้ พรุ่งนี้ก็วันเสาร์นี่”
“พ่อจะทำอย่างไงกับเองดีว่ะเนี่ย ก็ได้แต่ห้ามกลับเกินสี่ทุ่มรู้ไหม”
“ครับไม่เกินสี่ทุ่มแน่นอน ขอบคุณครับพ่อ”
“ไม่ต้องมาขอบขงขอบคุณหรอกรำคาญ เอาข้าวไปให้ไอ้ไนท์ได้แล้ว”
“ไนท์ไหนล่ะ”ฟีฟ่าถาม
“ก็นักว่ายน้ำของพ่อเองนั่นแหละ”
“ครับ”
ฟีฟ่ารับคำเสร็จก็เดินไปข้างบ้านทันที เพราะมีประตูต่อถึงกันอยู่ เมื่อฟีฟ่าเข้าไปก็ได้ยินเสียงคนว่ายน้ำ ฟีฟ่าเลยเดินตามเสียงนั้นไป และเขาก็หยุดดูชายหนุ่มกำลังว่ายน้ำย้อนกลับมาและกำลังจะขึ้นมาข้างสระว่ายน้ำ
เพียงร่างชายหนุ่มขึ้นมาบนสระน้ำเท่านั้นแหละ ฟีฟ่ามองตาค้างเพราะหุ่นดีมากผิวขาวออร่ากระจาย มีซิกแพคกล้ามอกสวยงาม แขนมีแต่มัดกล้าม ใบหน้าคมสันดูเท่และหล่อ ฟีฟ่ามองเรื่อยๆลงต่ำมาจนถึงจุดยุทธศาสตร์
“มองอะไร เป็นใครมาจากไหน มาแอบดูคนอื่นว่ายน้ำ”ไนท์ตะโกนเสียงดัง
ฟีฟ่าได้ยินสียงที่ดุดันเขาจึงเดินเข้ามาใกล้ๆไนท์ ที่ยืนมองฟีฟ่า ด้วยสายตาอันชวนสงสัยว่านายคนนี้เป็นใคร ถึงเข้ามาในบ้านของเขาได้
“พ่อพี่ให้เอาข้าวมาให้”ฟีฟ่าวางปิ่นโตบนเก้าอี้ข้างสระน้ำ
“โค้ชยศเหรอ”
“ใช่พ่อพี่เอง”
“พี่เหรอ”ไนท์มีสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของฟีฟ่า
“พี่ซิ น้องพึ่งเรียนปีสี่ไม่ใช่เหรอ พี่ทำงานแล้วที่มหาวิทยาลัยเดี๋ยวกับน้องนั่นแหละ”
“ทำงานอะไร”
“บรรณารักษ์ที่ห้องสมุด”
“ถึงว่าหน้าคุ้นๆจัง”
“ถ้างั้นพี่กลับแล้วนะ”
ฟีฟ่าหันหลังกลับทันทีและรีบเดิน จนทำให้เขาลื่นกำลังจะหงายหลัง แต่ไนท์เห็นทันจึงประคองร่างของฟีฟ่าไว้ เพียงแผ่นหลังของเขาสัมผัสวงแขนที่โอบไว้ ฟีฟ่าใจเต้นระรัวด้วยวงแขนที่แน่นแข็ง
รองรับไว้ สายตาของฟีฟ่าประสานกับไนท์โดยไม่ได้ตั้งใจ จนฟีฟ่าต้องหลบสายตาและพยุงร่างตัวเองขึ้น
“ขอบใจมากที่ช่วยพี่”
“ถ้าวันหลังพี่มาอีกก็ระวังหน่อยนะครับพื้นมันลื่น”
“พี่ไปแล้วน่ะน้องไนท์”
ฟีฟ่ารู้สึกอายเขาจึงรีบหันหลังให้ไนท์ทันที และรีบเดินก้มหน้าต่ำ โดยไม่หันหลังมามองไนท์อีกเลย
ช่วงเวลาทุ่มเศษฟีฟ่านั่งกลางลำเรือกับเจมี่และกอล์ฟ สองคนนั้นได้ดื่มเบียร์เย็นๆส่วนฟีฟ่าดื่มเพียงน้ำส้มคั้นเพราะเขาไม่ดื่มเหล้า ถึงอยากดื่มก็ไม่สามารถทำได้ เพราะพ่อของเขาสั่งห้ามเด็ดขาด ถ้ากลับบ้านได้กลิ่นเหล้าเบียร์ ยศยื่นคำขาดจะไม่ให้ออกมาเที่ยวไหนอีกตลอดไป
“มาช้าจังพระเอกของเรา”เจมี่พูดขึ้นมา
“แหม รายนั้นธุระเขาเยอะ ในหัวสมองมีแต่เรื่องเงินๆทองๆ”กอล์ฟแฟนหนุ่มเจมี่พูดจบหันมามองฟีฟ่า ที่นั่งนิ่งๆมองสายน้ำเจ้าพระยา
“แล้วจะเข้ากับฟีฟ่าของเราได้เหรอเนี่ย”เจมี่ยิ้มให้ฟีฟ่า
“พวกพี่ๆพูดอะไรกัน ฟีฟ่าแค่อยากมาเที่ยวเล่นแค่นั้น ไม่ได้อยากมาดูใครซักหน่อย”
“ก็เที่ยวไง เผื่อเจอคนถูกใจจะได้มีที่พักใจซักที”
“ที่บ้านก็มีไม่ต้องไปพักใจบ้านใครหรอก”
“ดูพูดเข้านั้น”
“นัท”กอล์ฟชูมือขึ้นและเรียกเพื่อนของเขา ที่เพื่อนในกลุ่มเรียกว่าไอโซนัท
ฟีฟ่ามองตามสายตาของกอล์ฟและเจมี่ ที่มองไปทางไอโซนัทที่อายุสามสิบต้นๆ ใส่ชุดลำลองเสื้อเซิ้ตสุดหรู กางเกงสุดแพง ศีรษะเรียบไม่มีเส้นผมปลิว แม้เรือจะแล่นทวนลมก็ตาม ฟีฟ่ามองตาค้างจนไอโซนัทเดินมาถึงที่โต๊ะของเขา
“ขอโทษทีเพื่อนมาช้าไปหน่อย พอดีคุยกับลุกค้านานเป็นชั่วโมง”ไอโซนัทยิ้มให้กอล์ฟและเจมี แต่เขาก็ต้องมาสะดุดตากับความน่ารักใส่แบ้วของฟีฟ่า
“เอ่อ ลืมแนะนำ นี่ฟีฟ่าน้องที่ทำงานของเจมี่ เป็นบรรณารักษ์เหมือนเจมี่นั่นแหละ”กอล์ฟรีบแนะนำทันที เพราะเขาเห็นสายตาของไอโซนัท ที่มองฟีฟ่าไม่กระพริบตา
“สวัสดีครับ”ฟีฟ่ายกมือไหว้
“ยินดีที่รู้จักนะน้องฟีฟ่า”ไอโซนัทยื่นมือเพื่อแสดงไมตรี
ฟีฟ่าจึงยื่นมือไปจับแบบไม่ลังเล เพียงทั้งสองจับมือกัน เหมือนกับไฟดูดซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างไม่ยอมปล่อยมือกันเลยทีเดียว
“นี่ๆจะจับกันไปถึงไหน”เจมี่มองทั้งสองสลับไปมา
“ขอโทษที”ไอโซนัทดึงมือกลับแล้วยิ้มให้ฟีฟ่าอย่างหยาดเยิ้มอีกครั้ง
ทั้งสี่ได้ล่องเรือชมวิวกินลมอย่างเพลิดเพลิน กอล์ฟและเจมี่ก็เปิดโอกาสเปิดทางให้ไอโซนัทได้คุยกับฟีฟ่าอย่างเต็มที ส่วนเขาทั้งสองก็ออกไปยืนรับลมที่หัวเรือ
“ตอนแรกพี่เห็นน้องฟีฟ่า พี่นึกว่าอายุเกือบๆยี่สิบ ที่ไหนได้เกือบสามสิบแล้ว”ไอโซนัทพูดไปพรางหัวเราะไป
ในส่วนฟีฟ่าก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่ยิ้ม เพราะเขารู้สึกเขินอายที่ไอโซนัทพูดตรงๆ และจ้องมองเขาด้วยสายตาที่หวานฉ่ำขนาดนั้น
รักแล้วไม่กลัวเจ็บ แต่ต้องเก็บเป็นความลับ เพราะไม่สามารถเปิดเผยรักที่แท้จริงได้ จึงต้องฝืนทนกล่ำกลืนรักที่แสนรันทัด แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ไม่กลัวที่จะได้รักกัน ถึงแม้จะเป็นรักที่เจ็บๆแต่จริงใจและห่วงใย
สุดท้ายเราก็รักกันไม่ได้ ถึงแม้ถ่ายไฟเก่าจะลุกขึ้นจนมอดไหม้ ไม่มีเหลือชิ้นดี
ชายหนุ่มผู้เดินตามความฝัน ซึ่งในระหว่างทางต้องพบเจออุปสรรคมากมาย กว่าจะเจอรักแท้ที่โหยหามานาน
เขาทิ้งเธอไว้ไปในวันฝนพร่ำเพื่อไปหาคนรักที่รอคอยมาเนิ่นนาน ความฝันที่จะได้เคียงคู่พลันมลายลง เธอเป็นแค่คนผ่านทาง เธอจะไม่ร้องไห้ แต่ทำไม น้ำตาไหลไม่หยุดแบบนี้เล่า ------------------------ เพราะยินยอมพร้อมใจเป็นเด็กเลี้ยงของหมอดลทัช เมื่อเขาจะจากไป โดยที่ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ชลรัมภาจำต้องยอมรับความทุกข์ ความปวดร้าวให้ได้ ทว่าเมื่อต้องเจอหน้าเขาอยู่ร่ำไป เพราะเธอคือเพื่อนรักน้องสาวเขา เธอจะทำตัวเช่นไรดี ให้เขาไม่สมเพช ไม่เห็นน้ำตาที่ไม่มีค่าของเธอ
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
ซูหลีพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจตระกูลซูมาตลอดห้าปี แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อคำใส่ร้ายของน้องสาวเพียงคำเดียว เรื่องที่ซูหลีเป็นคุณหนูปลอมก็ถูกเปิดเผย ทำให้คู่หมั้นทิ้งเธอ เพื่อนๆ ก็ห่างเหิน และพี่ชายขับไล่เธอออกจากบ้าน บอกให้เธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนาของเธอ ในที่สุดซูหลีก็สิ้นหวังและตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลซู ยึดความช่วยเหลือทุกอย่างคืนและไม่อดทนอีกต่อไป แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าชาวนาที่พี่ชายพูดถึงนั้นกลับกลายเป็นตระกูลลั่วผู้มั่งคั่งที่สุดในประเทศ ในคืนเดียวเธอเปลี่ยนจากคุณหนูตัวปลอมที่ถูกทุกคนรังเกียจเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีที่มีพี่ชายสามคนที่รักเธอ พี่ชายคนโตที่เป็นผู้บริหารใหญ่“เลิกประชุม จองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ ฉันอยากดูสิว่าใครกล้าแกล้งน้องสาวฉัน” พี่ชายคนที่สองที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยมระดับโลก“หยุดการวิจัย ฉันจะไปรับน้องสาวกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ” พี่ชายคนที่สามที่เป็นนักดนตรีระดับโลก “เลื่อนคอนเสิร์ต ไม่มีอะไรสำคัญเท่าน้องสาวของฉัน” จู่ๆ คนทั้งเมืองจิงก็ต้องตกใจช็อก ตระกูลซูเสียใจจนสุดขีด คู่หมั้นก็กลับมาขอคืนดี ผู้คนที่มาขอจีบเธอก็แห่กันมาถึงหน้าบ้าน ไม่ทันที่ซูหลีจะตอบสนอง ตระกูลชือซึ่งเป็นตระกูลสูงสุดในเมืองจิงและมีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพเรือ ก็เสนอใบสมรสให้เธอ ทำให้เธอกลายเป็นคนดังในสังคมชั้นสูง!
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
© 2018-now MeghaBook
บนสุด