บางครั้งการจากลา อาจเจ็บปวดน้อยกว่าอยู่ด้วยกัน
บางครั้งการจากลา อาจเจ็บปวดน้อยกว่าอยู่ด้วยกัน
ช่วงหลังเลิกเรียนมักจะมีความวุ่นวาย ของบรรดานักศึกษาชายหญิง ยิ่งสถาบันการศึกษาที่อยู่ติดกันด้วย แต่ยังดีที่สองสถาบันนี้ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน เพราะเป็นการแยกระหว่างชายหญิงเลยก็ว่าได้ สถาบันแห่งหนึ่งเป็นวิทยาลัยเทคโนการช่างที่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชาย ส่วนอีกแห่งเป็นวิทยาลัยพาณิชย์ที่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง ผู้ชายก็มีแต่เป็นส่วนน้อย และเป็นส่วนน้อยที่ไม่มีการทะเลาะวิวาทกับสถาบันอื่น
และการจราจรหน้าสถาบันสองแห่งนี้ ก็เริ่มติดขัด เพราะบรรดานักศึกษาเริ่มทยอยกลับบ้าน เฉกเช่นเดียวกับอ้นนักศึกษาพาณิชย์ปี3 ที่ค่อยๆขับมอเตอร์ไซค์ออกจากวิทยาลัยและขับผ่านหน้าวิทยาลัยเทคโนการช่าง ที่มีแต่กลุ่มเด็กช่างจับกลุ่มคุยกัน เสียงดังแข่งกับเสียงรถที่แล่นผ่าน
อ้นพยายามที่จะไม่มองสองฝากฝั่ง เพราะกลัวเด็กช่างหาว่ามองหน้า เดี๋ยวจะถูกรุมทำร้ายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งบรรดาหนุ่มในอาชีวะรู้ข้อนึ้เป็นอย่างดีทุกคน
อ้นได้ขับรถมอเตอร์ไซค์เลยวิทยาลัยเทคโนการช่างมาพอสมควร เขาจึงเริ่มเบาใจแต่แล้วกลับมีสิ่งที่ทำให้เขาตระหนกตกใจจนได้ เพราะหนุ่มเทคโนวิ่งตัดหน้ารถมอเตอร์ไซค์ของเขา อ้นเบรครถกะทันหัน จึงทำให้ล้อหลังปัดจนเกือบล้ม แต่ก็ยังดีที่รีบนำขาลงยันพื้นไว้
ส่วนหนุ่มเทคโนที่วิ่งตัดหน้ารถของอ้น เขาหยุดวิ่งหันมองหน้าอ้นแว่บหนึ่ง และหันกลับไปมองข้างหลังซึ่งสิ่งที่เขาเห็น คือคู่อริห้าถึงหกคนกำลังจะวิ่งข้ามถนนมาหาเขาเพื่อทำร้ายร่ายกาย ในช่วงเวลานั้นหนุ่มเทคโนคิดหาทางหนี พอเขาหันหน้ากลับมา ก็เห็นอ้นกำลังจะเร่งเครื่องรถขับออกไป หนุ่มเทคนิคจึงรีบเดินอ้อมไปข้างรถมอเตอร์ไซค์ของอ้น และคร่อมท้ายรถทันทีส่วนสองมือจับที่บ่าอ้นไว้
"ขับออกไปเลยเร็วๆ" หนุ่มเทคโนพูดเสียงดังจนนนท์ทำอะไรไม่ถูก
"ลงไปจะขึ้นมาทำไม"อ้นไม่ยอมขับรถออกไป
"ไม่ลง พาหนีไปทีถ้าไม่พาไปกูจะบอกพวกนั้นมึงเป็นเพื่อนกู" ใจของหนุ่มเทคโนร้อนรน เพราะคู่อริใกล้ประชิดเข้ามา
ส่วนอ้นทั้งตื่นตระหนกและกลัวจนทำอะไรไม่ถูก หนุ่มเทคนิคเห็นท่าไม่ดีเพราะอ้นนิ่งเฉยไม่ยอมออกรถสักที เขาจึงตัดสินใจเขยิบร่างดันให้อ้นไปข้างหน้า ส่วนสองมือของเขาเอื่อมไปจับที่คันเร่งและบิดออกไปอย่างรวดเร็ว
อ้นเจอหนุ่มเทคโนดันร่างจนเกือบตกเบาะ และแผ่นอกหนุ่มเทคโนประชิดแผ่นหลังเขา
"ก้มหัวลงหน่อย"หนุ่มเทคโนสั่งด้วยเสียงห้วน
อ้นทำตามอย่างว่าง่าย และเขาต้องบีบร่างกายให้เล็กลงอีก เพราะตัวของอ้นอยู่ในวงแขนของหนุ่มเทคโนที่โอบเขาไว้ ยิ่งหนุ่มเทคโนขับเร่งความเร็วขึ้นมากเท่าไร อ้นใจหายใจคว่ำจนเกือบจะช็อค
"ขับช้าๆหน่อยๆเดี๋ยวรถล้ม"อ้นตะโกนแข่งกับเสียงรถ
"หุบปากถ้าไม่อยากเจ็บตัว"
อ้นถึงกับหุบปากทันทีด้วยความกลัว และยิ่งมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ส่วนหนุ่มเทคโนมองดูที่กระจก และเขาไม่เห็นคู่อริแล้วจึงเริ่มผ่อนความเร็วรถลง แต่เขาก็ยังไม่วางใจซะทีเดียว และคิดว่าคืนนี้จะยังไม่กลับหอพัก เพราะกลัวคู่อริรอบดักทำร้ายตอนที่เขากลับหอพัก เขาจึงพยายามคิดหาวิถีทางเพื่อหลบซ่อนตัวสักคืน
"พวกนั้นไม่ตามมาแล้ว "อ้นพูดขึ้นหลังจากมองที่กระจกรถ และไม่เห็นคนกลุ่มนั้นตามมา
"มึงพักที่ไหนเดี๋ยวขับไปส่ง"หนุ่มเทคโนพูดโดยลดความห้วนลง
"ไม่ต้องก็ได้ จอดตรงนี้แหล่ะเดี๋ยวกลับเอง"
"กูบอกว่าจะไปส่งฟังไม่รู้เรื่องเหรอ"
อ้นคิดในใจรถก็ของเขา และหนุ่มเทคโนมีสิทธิ์อะไรจะไปส่งเขา แต่ด้วยความกลัวอ้นจึงยอมและบอกทางกลับห้องพักของเขา ในระหว่างทางหนุ่มเทคโนได้คิดไว้ ถ้าเกิดอ้นให้พักด้วยจะดีทีเดียว เขาก็จะขออาศัยสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าค่อยกลับ
เมื่อหนุ่มเทคโนมาถึงที่หมายตามที่อ้นบอก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอ้นอยู่หอพัก หนุ่มเทคโนจึงเริ่มคิดแผนการณ์ทันที่ เมื่อจอดรถหน้าหอพักของอ้น ซึ่งเป็นตึกสามชั้น มียามเฝ้าประตูและน่าจะมีคีย์การ์ด ซึ่งจะปลอดภัยมากสำหรับเขา
"ถึงแล้ว นายกลับไปเลย"อ้นรีบลงรถเพื่อออกจากอ้อมแขนของหนุ่มเทคโน
"มึงพักคนเดียวเหรอ"
"ถามทำไม"
"ก็อยากรู้นี่"หนุ่มเทคโนเริ่มเสียงอ่อนลง เพราะเขาเริ่มสังเกตุอ้นเพิ่มขึ้น และได้เห็นว่าอ้นเป็นผู้ชายสไตส์น่ารัก ผิวขาวหน้าใสๆการพูดจาเรียบร้อย และข้อสำคัญเป็นนักศึกษาพาณิชย์ที่ผู้ชายจริงๆเรียนไม่มากนัก
"จะรู้ไปทำไม ส่งเสร็จก็กลับได้แล้ว"
"ยังกลับไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกนั้นดักรอตรงไหนบ้าง ต้องดึกๆก่อนค่อยกลับ"ในความคิดของหนุ่มเทคโนอยากจะค้างสักคืนหนึ่ง
"แล้วแต่นาย เราจะขึ้นห้อง"อ้นรีบล็อครถและหันหลังกลับ เพื่อที่จะเข้าไปในหอพักของเขา
"เดี๋ยวก่อน"หนุ่มเทคโนเดินไปดักหน้า
"มีอะไรอีก"
"อยากรู้จักชื่อ"หนุ่มเทคโนแกล้งยิ้ม
"อ้น"อ้นคิดในใจว่าจะถามทำไมเดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันแล้ว แต่ที่ตอบไปเพื่อตัดความรำคาญ
"เราชื่อเอ ขอบใจมากนะที่ช่วยไว้"
"ฮือ"อ้นพยักหน้าแล้วเบี่ยงตัวเดินหลบเอหนุ่มเทคโน และรีบเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าหอพัก
ส่วนต้นก็กำลังใช้ความคิดอย่างหนักที่จะใช้วิธี ที่จะขอนอนค้างกับอ้นสักคืน เพราะเขาต้องใช้วิธีหว่านล้อมจะมาใช้การขู่บังคับก็ไม่ได้ เพราะเป็นถิ่นของอ้น แค่ตะโกนคำเดียวยามก็พร้อมวิ่งมาช่วยอ้น
"อ้น"เอ ตะโกนเรียกพร้อมวิ่งตาม ส่วนอ้นก็หันหน้ามาพร้อมความรำคาญ
"อะไรอีก"
"คือเรา"เขาหยุดใช้ความคิดและรีบเปลื่ยนสรรพนาม เพราะถ้าใช้มึงกู อ้นคงยากที่จะให้พักด้วย
"มีอะไรก็พูดมา"อ้นรู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงที่เปลื่ยนไป เพราะมีนนุ่มขึ้นและการแทนตัวเองก็น่าฟัง
"คือเราอยากหลบที่นี่สักพัก พอดึกๆเดี๋ยวเราก็กลับ"เอพยายามพูดให้น้ำเสียงอ่อนหวานให้มากที่สุด
"ไม่ได้ เราไม่เคยรู้จักกัน จะมาขออยู่ได้อย่างไง"อ้นรีบปฎิเสธทันที เพราะกลัวจะมีปัญหาตามมา
"ถ้านายไม่ให้เราหลบอยู่ที่นี่ เราไปก็ได้แต่ถ้าเราโดนพวกนั้นทำร้ายจนบาดเจ็บหรือตาย นายก็มีส่วนด้วยแหล่ะ "อ้นแกล้งหันหลังกลับและค่อยๆเดิน ในใจก็คิดว่าเมื่อไรจะเรียกซะที
ส่วนอ้นยืนครุ่นคิด ถ้าเกิดเอเป็นอะไรไป เขาก็จะรู้สึกผิดทันที ที่ไม่ช่วยต้นให้ตลอดรอดฝั่ง และข้อสำคัญเขาเป็นคนพาต้นขึ้นรถมา ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นเรื่องวุ่นๆก็จะตามมา
"เอ"อ้นตะโกนเรียกและเดินไปหาเอ
"อะไร"เอหยุดเดินและอมยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็หันหน้ามาอย่างช้าๆ พร้อมตีหน้าเศร้าหงอยเหงา
"คืนนี้พักกับเราก็ได้ พรุ่งนี้เช้าค่อยไป"อ้นฝืนพูดและไม่มีรอยยิ้มใดๆเกิดขึ้นบนใบหน้า ถึงแม้ต้นจะเปลื่ยนตีหน้าเศร้าเป็นยิ้มหวานก็ตาม
ถึงอ้นจะไม่ยิ้มตอบแต่เอก็ไม่สน เพราะคืนนี้มีที่หลบคู่อริแล้ว เขาจึงรีบเดินไปข้างๆอ้น และพยายามชวนอ้นคุยแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจนกระทั้งเข้าไปในห้องจึงได้ยินเสียงของอ้น
"ตามสบายนะ"อ้นพูดขึ้น
"ขอบใจมากนะ"เอมองไปรอบๆห้องที่ดูสะอาดตา ที่มีเตียงนอนพอนอนได้สองคน มีตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งพร้อม ส่วนทีวีอยู่ปลายเตียง ตู้เย็นอยู่ตรงข้างประตูทางเข้า และมีระเบียงไว้ตากผ้าหรือนั่งเล่นก็ได้ ซึ่งแตกต่างจากห้องของเขาที่อยู่กับเพื่อนสามคน แต่ในห้องไม่มีอะไรเลยนอกจากพัดลมขนาดเล็กตัวเดียว
"ห้องน่าอยู่มากเลย"เอพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งในระหว่างนั้นอ้นก็นำน้ำเปล่ามาให้เอดื่ม ส่วนตัวของเขาก็นั่งลงบนเตียงนอน
"ขอบใจมากนะ"เอยิ้มหวานให้อีกครั้ง แต่ก็ยังไร้รอยยิ้มตอบกลับ
"นายกับพวกนั้นไปมีเรื่องอะไรกัน"อ้นชำเลืองมองต้น
"เราไม่ได้มีเรื่องกับมันหรอก แต่พวกมันมีเรื่องกับเพื่อนเรา และพวกมันตามมาหาเรื่อง"
"เพื่อนนายหายไปไหน"อ้นถามด้วยความสงสัย
"ก็ไม่รู้ต่างคนต่างหนี"
"ดีหนอ"อ้นทำน้ำเสียงประชด
"แหม ลูกผู้ชายก็แบบนี้แหล่ะ"
"ไม่จำเป็น ต้องทำแบบนี้หรอกลูกผู้ชายน่ะ"
"แล้วจะให้ทำแบบไหนล่ะเอจ้องมองอ้นด้วยสายตาฉ่ำวาว
"มองอะไร"อ้นรู้สึกแปลกๆที่เจอสายตาของต้นจ้องมองเป็นเวลานาน
"มองคนน่ารัก"
อ้นรู้สึกเขินนิดหน่อยที่ถูกชมต่อหน้า แต่เขาก็แสร้งแก้เขินโดยการลุกขึ้นยืน
"เราจะซักผ้าแล้วนะ นายจะซักไหมพรุ่งนี้จะได้มีเสื้อผ้าใส่ไปเรียน"นนท์เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เพื่อนำเสื้อผ้าและผ้าเช็ดมาให้ต้นเปลื่ยน
"เอ้า เสื้อกับกางเกงเอาไว้เปลื่ยน แล้วก็ไปอาบน้ำเราจะซักผ้า" อ้นยื่นเสื้อผ้าให้เอ
"ไม่ต้องเปลื่ยนก็ได้ อยู่ห้องเราก็แก้ผ้านอนทุกคืนอยู่แล้ว"เอยิ้ม
"นั้นมันห้องนายนี่มันห้องเราถ้าไม่ใส่ก็กลับไป"ในใจของอ้นตอนนี้รู้สึกว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก ลึกๆของเขาแล้วก็อยากเห็นผู้ชายแก้ผ้าต่อหน้าเหมือนกัน
"ได้สิ แล้วแต่คำสั่ง"เมื่ออ้นรับเสื้อกางเกงมาก็นำมาวางไว้ บนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งส่วนนนท์ก็วุ่นเก็บเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเพื่อที่จะนำไปปั่นเครื่องหยอดเหรียญ ที่อยู่ชั้นล่างของหอพัก
เมื่ออ้นเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะหันมาบอกเอว่า ที่เขาจะลงไปซักผ้าชั้นล่างของหอพัก แต่ก็ต้องสะดุดตาสะดุดใจ กับร่างกายเปลือยท่อนบนที่มีมัดกล้ามพอประมาณ ส่วนท่อนล่างมีเพียงกางเกงในตัวจิ๋วห่อหุ้มอยู่ อ้นรีบหันข้างและชำเลืองมองบริเวณส่วนที่พองนูน ส่วนเอพอสังเกตเห็นอากัปกิริยาของอ้น เขาจึงแกล้งเดินมาตรงหน้าของอ้น
"ซักกางเกงในให้ด้วยไหมเราจะถอดให้"
*ไม่ต้องนายซักเองซิ"อ้นรีบเดินไปหยิบเสื้อกางเกงที่ต้นกองไว้กับพื้น นำมาใส่ไว้ในตะกร้า
"เราจะไปซักผ้าข้างล่างนะ แล้วเราจะไปซื้อข้าวด้วย "อ้นพูดจบก็รีบเดินไปเปิดประตู และออกจากห้องไปในทันที ส่วนเอก็ยืนกอดอกอมยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องน้ำ
รักแล้วไม่กลัวเจ็บ แต่ต้องเก็บเป็นความลับ เพราะไม่สามารถเปิดเผยรักที่แท้จริงได้ จึงต้องฝืนทนกล่ำกลืนรักที่แสนรันทัด แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ไม่กลัวที่จะได้รักกัน ถึงแม้จะเป็นรักที่เจ็บๆแต่จริงใจและห่วงใย
สุดท้ายเราก็รักกันไม่ได้ ถึงแม้ถ่ายไฟเก่าจะลุกขึ้นจนมอดไหม้ ไม่มีเหลือชิ้นดี
ชายหนุ่มผู้เดินตามความฝัน ซึ่งในระหว่างทางต้องพบเจออุปสรรคมากมาย กว่าจะเจอรักแท้ที่โหยหามานาน
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
“สวิงของต้นกับอ้อ” ถูกเขียนขึ้นในวันที่ 10 เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2555 โดยลงในเว็บไซต์ Sudswing ที่ปัจจุบันปิดตัวถาวรไปนานแล้ว แต่เชื่อว่ายังอยู่ในความทรงจำของใครหลาย ๆ คน ซึ่งหากนับเวลาแล้วก็ครบรอบ 13 ปี พอดี ณ วันที่กำลังเริ่มต้นลงฉบับพิเศษของนิยายเรื่องนี้ โดยมีการปรับปรุงเนื้อหาในแต่ละตอนให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงการรวมตอนพิเศษและตอนที่หายไปเอามาไว้ในเรื่องนี้ สำหรับไรต์แล้ว “สวิงของต้นกับอ้อ” คือลูกคนโตและลูกรักที่นำพาให้ไรต์ก้าวมาเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัวในนิยายสายอีโรติกแนวสวิงกิ้ง NTR, Cuckold, 3P, นิยายแนวเมียสาวเหงารัก รวมถึงแนวที่สามีอยากเห็นภรรยาของตัวเองไปมีอะไรกับชายอื่น ยังไงขอฝากนิยาย “สวิงของต้นกับอ้อ” ฉบับครบรอบ 13 ปีนี้ เอาไว้ให้นักอ่านได้ติดตามกันด้วย ขอบคุณสำหรับทุกการสนับสนุนที่ทำให้ไรต์ยังคงเดินต่อไปได้บนถนนสายตัวอักษรนี้ครับ
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY