แค่คุณรักผมหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็เพียงพอ ที่เหลือผมจะเติมให้เต็มร้อย
แค่คุณรักผมหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็เพียงพอ ที่เหลือผมจะเติมให้เต็มร้อย
ต้นหนุ่มตกงานประจำรักคุด รีบเดินอย่างว่องไวเพื่อมาทำอาชีพเสริม เขายิ่งรีบเหมือนยิ่งช้าเพราะผู้คนเดินกันควักไข่ว ในบริเวณถนนคนเดินที่เชียงใหม่ ต้นใช้เวลาเดินทางราวสามสิบนาที ก็มาถึงร้านนวดฝ่าเท้าข้างทาง
"มาเร็วเข้าประจำที่เลย ลูกค้านั่งรอเต็มไปหมดแล้ว" ป้าทองคำตะโกนเสียงดัง พร้อมกับจัดที่ให้ลูกค้า และต้นหมอนวดหนุ่มวัยยี่สิบสาม
"ครับป้า"ต้นรีบนำกระเป๋าไปเก็บไว้และมานั่งประจำตำแหน่ง ซึ่งลูกค้าหนุ่มชาวอันเจียนั่งรออยู่
"สวัสดีครับ"ต้นทักทายเป็นภาษาอังกฤษ เขาพอพูดได้บ้างเพราะจบชั้น ม.6 มา
ลูกค้าหนุ่มชาวอันเจียยิ้มให้ต้น และมองต้นนิ่งชั่วครู่ จนทำให้ต้นเริ่มรู้สึกเขินอาย
"นวดกี่ชั่วโมงครับ"ต้นรีบถามเพราะจะได้เริ่มทำงาน
" 1 ชั่วโมงครับ"
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว ต้นจึงจัดแจงนำผ้าชุ่มน้ำ บรรจงเช็ดเท้าอย่างช้าๆจนสะอาด หลังจากนั้นต้นก็ชะโลมน้ำมันนวดคลึงเบาๆบริเวณเท้าทั้งสองข้าง
"นวดหนักๆหน่อย"หนุ่มอันเจียพูดขึ้น
"ยังไม่ได้นวดครับ แค่เริ่มต้นชะโลมน้ำมันก่อน"ต้นฝืนยิ้มให้ลูกค้าแถมคิดในใจว่า โดนงานหินอีกแล้ว ถึงว่าทำไมป้าทองคำไม่นวดเอง
หลังจากชะโลมน้ำมันที่ฝ่ามือเสร็จ ต้นจึงเริ่มออกแรงหนักขึ้น จนเป็นที่พอใจของหนุ่มอันเจีย ส่วนต้นก็รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็อดทนเพราะต้องทำเพื่อเงิน มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ต้นนวดฝ่าเท้าไปเรื่อยๆและไม่ได้มองหนุ่มอันเจียเลย ถึงจะเห็นครั้งแรกว่าหล่อ ขาว ตี๋ แต่มาสดุดกับคำว่าหนักๆ และต้องออกแรงพอสมควร โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่มือต้องรีดทั้งฝ่าเท้า หน่อง แต่ก็มีบ้างที่เขาใช้ไม้กดจุด แต่จางหนุ่มอันเจียไม่รู้สึกเจ็บอะไร กลับกันเขารู้สึกสบายเท้า
จางเหม่อมองผู้คน ที่เดินไปมาบริเวณตรงหน้าเขา มีทั้ง อันเจีย ฝรั่ง และคนไทยที่มากที่สุด เขามองด้วยความเพลิดเพลินใจ สบายเท้าและกาย เมื่อต้นเริ่มมานวด คอ บ่า ไหล่ ให้เขา จางหลับตาพริ้มด้วยรู้สึกว่ามันคลายเมื่อยได้ลงเยอะ แต่แล้วความเพลิดเพลินก็ได้หายไป
"เสร็จแล้วครับ" ต้นบอกกล่าว แล้วยืนรอรับเงิน
"เท่าไรครับ" จางหยิบกระเป๋าเงินออกมา
"150 บาท ครับ"
จางควักเงินในกระเป๋าให้ 200 บาทแล้วยื่นให้ต้น
"ไม่ต้องทอน ทิป"
"ขอบคุณครับ"ต้นยกมือไหว้แล้วยิ้ม
จางก็เช่นกันยิ้มให้ต้น แล้วเขาก็เดินจากไปในท่ามกลางฝูง ส่วนต้นก็ยืนมองจนจางจนลับสายตา
"ไอ้ต้นยืนเหม่อหาอะไรมาทำงานต่อ เห็นไหมลูกค้าฝรั่งนั่งรออยู่" ป้าทองคำยืนท้าวเอวบ่นแล้วถอนหายใจ
"ครับป้า" ต้นรับคำแล้วรีบเก็บผ้าที่ใช้เสร็จไปวางไว้ หลังจากนั้นล้างมือแล้วมานั่งที่เดิม ส่วนลูกค้าก็เป็นฝรั่งหญิงสูงอายุ
"ทำไมวันนี้มาช้าจัง"นารีเพื่อนสาววัยใกล้เคียงถามอย่างสงสัย
"ติดงานที่ร้านออกมาไม่ได้เลย"ต้นหันมามองหน้านารี
"ดีแล้วนึกว่าติดผู้"นารีพูดพลางยิ้มติดตลกเพื่อเบี่ยงความรู้สึกของต้น
"บ้าจะติดได้ไง พึ่งอกหัก" ต้นค้อนนิดหน่อย
"ให้มานวดนะ ไม่ได้ให้มาคุยกัน เสียงดังรบกวนลูกค้า" ป้าทองคำตะโกนสุดเสียงเพราะอยู่ไกล
เมื่อทั้งสองได้ยินเช่นนั้นเลยหยุดชะงัก มองตากันนิดนึงแล้วอมยิ้ม แล้วทำการนวดฝ่าเท้ากันต่อไป ไม่คุยกันแม้แต่น้อย
" ว่าไง ต้น วันนี้ได้กั่ชั่วโมงแล้ว " นนท์หนุ่มวัยยี่สิบหก ซึ่งมาช้ากว่าต้นอีก มานั่งใกล้ๆเพื่อมานวดลูกค้ารายใหม่ ที่พึ่งมาเป็นฝรั่งหนุ่มใหญ่
"สี่ชั่วโมงครับพี่"ต้นหันมาพูดด้วย ทั้งๆที่พึ่งโดนว่าเมื่อครู่
" อ๋อ เหรอ พี่นวดที่ร้านได้ 5 ชั่วโมง นี่ชั่วโมงที่หกนะ"
" ครับ"ต้นแค่พยักหน้าและไม่พูดต่อ ด้วยความรำคาญที่นนท์ชอบคุยทับ และเกรงใจป้าทองคำเดี๋ยวตะโกนด่าอีก
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆในความคิดหมอนวดทั้งหลาย จนถึงห้าทุ่มหมดเวลางาน บรรดาหมอนวดต่างช่วยกันเก็บเก้าอี้สิ่งของเข้าที่เข้าทาง หลังจากนั้นรับเงินแล้วแยกย้ายกันไป
"ไปไหนต่อต้น"นารีเพื่อนสาวตะโกนถามแล้วเดินมาหา
"ว่าจะไปกินข้าวแล้วกลับห้องเลย ไปด้วยกันไหมช่วงนี้เหงาอยู่คนเดียว"ต้นชวน และ ตีสีหน้าเศร้า
"เราก็อยากไป แต่โน้น"นารีโบ้ยปาก
"อ๋อ ผัวมารอนี่เอง"ต้นอมยิ้ม
"วันหลังเดี๋ยวจะไปหาที่ร้านนะ บ่าย" นารียกมือขึ้นแล้วรีบวิ่งไปหาสามีที่นั่งรออยู่บนมอเตอร์ไซค์
"ไปแล้วนะต้น ลูกค้านัด"นนท์เดินมาบอกและจากไป
ต้นมองตามแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่วนต้นก็เดินไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีผู้คนไม่มากเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าแม่ค้ากำลังเก็บข้าวของ ต้นเดินมาเรื่อยๆจนถึงประตูเชียงใหม่ และขึ้นไปบนลานที่ขายอาหาร ต้นเลือกร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ
"วันนี้กินอะไรจ๊ะต้น"วาสสาวใหญ่รีบถามทันที
"หมี่เหลืองเกี้ยวครับพี่"ต้นเดินไปตักน้ำใส่แก้ว แล้วมานั่งที่โต๊ะ ซึ่งเหลืออยู่ที่เดียว
สักพักตาลสามีของวาสก็นำก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟ พร้อมกับถามไถ่
"วันนี้เป็นไงบ้าง"
"ก็พอได้นะพี่"ต้นพลางเติมเครื่องปรุง ใส่น้ำตาลเยอะหน่อย ส่วนพริกไม่ใส่เพราะไม่กินเผ็ด
"ตาลมารับออเดอร์ลูกค้าหน่อย "วาสตะโดนเรียก
ตาลเลยรีบเดินไปในทันที เพราะเขาค่อนข้างกลัวเมียพอสมควร
เมื่อต้นปรุงรสเสร็จ จึงจัดการหมี่เกี้ยวตรงหน้าในทันที ด้วยความหิวเขาจึงมุ่งแต่กิน ไม่ได้สนใจอะไรรอบข้าง แต่แล้วเขาต้องหยุดกินเพราะเสียงคุ้นหูเรียก
"ต้น ฝากลูกค้านั่งด้วย ไม่มีที่ว่างเลย"ตาลพาลูกค้าชาวอันเจียมาอยู่ตรงหน้าด้วย
ต้นเงยหน้าขึ้น และเขาก็ประหลาดใจ เพราะคนที่อยู่ตรงหน้า คือหนุ่มอันเจียที่เขาพึ่งนวดให้เมื่อหัวค่ำ
"ได้ครับ"ต้นยิ้มให้จาง ส่วนจางก็ตอบรับไมตรีโดยการยิ้มกลับ
เมื่อจางนั่งลงเขาก็ไม่ปรุงอะไรเลย กินในทันทีโดยไม่สนต้นที่มองด้วยความแปลกใจ เพราะมันจืดมากๆ ถ้าให้ต้นกินเขาก็ไม่สามารถกินได้
ในระหว่างที่จางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ต้นก็อิ่มพอดีเขาจึงลุกขึ้นเดินไปจ่ายเงินให้วาส
"อิ่มมากเลยพี่ เดี๋ยวมาอุดหนุนใหม่"
"จร้า ขอบใจมาก"
หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้นจึงข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อกลับห้อง ที่ไม่มีใครอยู่รอการกลับมาของต้น ในขณะที่เขากำลังเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนจากด้านหลัง
"รอด้วย หยุดก่อน"
ต้นหยุดชะงักทันทีและหันไปมอง และนั่นก็คือหนุ่มอันเจียคนเดิมอีก เขาครุ่นคิดว่าหนุ่มอันเจียคนนี้จะเรียกให้หยุดดทำไม
"มีอะไร"ต้นมีสีหน้าสงสัย
"โรงแรมที่ผมอยู่ไปทางนี้ เราจะได้ไปด้วยกัน"จางยิ้มให้และเดินมาหยุดตรงหน้าต้น
"ก็ได้"ต้นยิ้มและงงงวยพอสมควร จู่ๆหนุ่มอันเจียมาขอเดินไปด้วยกัน
"งั้นไปเลย"จางพยักหน้าชวนและเดินนำไป
ส่วนต้นก็ก้าวเท้าเดินตามให้คู่กัน ต่างคนต่างเงียบมองข้างทางที่ผับบาร์ยังเปิดอยู่
"คุณชื่ออะไร"จู่ๆจางก็ถามขึ้น
"ต้น"
"ด้วน"จางพยายามเลียนสำเนียงให้เหมือน
ต้นแอบยิ้มแล้วคิด ชื่อต้นอยู่ดีๆกลายเป็นด้วนซะแล้ว
"ไม่ใช่ ต้น"ต้นพยายามพูดช้าๆ
"ต้วน"
"ต้น"
"ต้น ต้น ต้น"ในที่สุดจางก็พูดได้ชัดขึ้น
"ใช่เลย ออกเสียงแบบนี้แหล่ะ"ต้นยิ้มให้
"ผมชื่อจางนะ"
"จาง"ต้นพูดตามอย่างชัดถ่อยชัดคำ
"โอ้ว ต้นเก่งจัง ว่าจะสอนซักหน่อย"จางมีสีหน้าประหลาดใจ
"ไม่ได้เก่งหรอก ต้นดูซีรี่อันเจียบ่อย ดูแบบซับไทย"
"ต้นชอบดูซีรี่เหมือนผมเลย แล้วชอบเรื่องอะไร"จางได้เรื่องที่จะคุยต่อ
ส่วนต้นไม่รู้จะบอกชื่อเรื่องเป็นภาษาอันเจียว่าอะไรดี เพราะเขาจำได้แต่ชื่อไทย รักไม่มีข้อแม้ ถ้าบอกไปจางก็คงไม่รู้จัก และในทันใดต้นก็คิดออก ถ้าบอกชื่อดาราไปจางต้องรู้จักแน่ๆ
"จำชื่อเรื่องไม่ได้ แต่จำดาราได้ ชื่อ มงมงกับหยันหยัน"
จางอมยิ้ม เพราะเขาก็ดูเรื่องนี้แบบผ่านๆ และได้ยินได้ฟังมาสมควร
"อันเจียอง "
"อันเจียอง พอได้ไหม"ต้นหันมาถาม
"พูดได้อีกแหล่ะ ผมพูดภาษาไทยได้คำเดียวเอง"
"คำอะไรเหรอ"ต้นถามด้วยท่าทีสงสัย
"ก็ต้นไง ชัดไหม"จางพูดอย่างหน้าตาย
"เอ่อ"ต้นพูดไม่ออกได้แต่หันหน้าไปทางอื่น
"วันหลังต้นต้องสอนผมพูดหลายๆคำนะ"
"จะสอนอย่างไง เราไม่ได้อยู่กัน"ต้นหันมามองไหม
"ก็นี่ไงเราเริ่มอยู่ด้วยกันแล้ว เดี๋ยวก็เจอกันบ่อยๆ แลกเบอร์ ไลน์ กันก่อน มาที่ไทยใช้ไลน์ได้ ถ้าผมกลับอันเจีย ต้นก็สมัครเมาท์แชท เราก็คุยกันได้แล้วเห็นไหม"
จางพูดจบ ต้นถึงกับอึ้งไปไม่ถูก คิดไม่ออกจะบอกอย่างไรดี ต้นเริ่มงงจากลูกค้าอยู่ดีๆมาขอเป็นเพื่อน
"ว่าไง ไม่อยากเป็นเพื่อนผมเหรอ เงียบไปเลย"จางหน้าเศร้า
"เปล่า"
"งั้นเรามาสาบานเป็นเพื่อนกัน จนวันตายเลยนะ"
"ฮือ ไม่ต้องถึงสาบานหรอก"ต้นถึงกับอึ้งอีกครั้ง
"ดีจัง ผมมีเพื่อนคนไทยแล้ว เพราะผมมาสองวันแล้วเหงามาก จะได้มีเพื่อนคุย"จางยิ้มไม่หุบ
ทั้งสองเดินเลาะตามไหล่ทาง พูดคุยกันจนถึงหน้าโรงแรมที่จางอยู่
"ถึงแล้ว นี่ไงโรงแรมที่ผมอยู่"จางชี้ไปที่ทางโรงแรม
ต้นมองเข้าไปข้างในโรงแรม ซึ่งมองจากข้างนอกความหรูก็ระดับกลางๆค่อนไปทางหรู
"ขึ้นไปคุยกันข้างบนไหม"จางยืนจ้องหน้า
"พรุ่งนี้ต้องไปทำงานนะ "ต้นปฏิเสธทันที
"ใช่ด้วย ถ้าอย่างนั้นเราขอเบอร์หน่อย พรุ่งนี้จะได้โทรหา ว่าอยู่ที่ไหน เราจะได้ไปนวดตัว เพราะรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว" จางหยิบมือถือขึ้นมาพร้อมเมมเบอร์
ต้นก็บอกแต่โดยดีเพราะอย่างน้อยก็ได้ลูกค้า ส่วนวันพรุ่งนี้ต้นก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกัน ว่าจะมีงานให้ทำหรือเปล่า จึงเป็นเรื่องราวดีๆที่ต้นเจอคืนนี้
เมื่อต้นบอกเสร็จ จางก็โทรทันที เพราะกลัวต้นแกล้งบอกเบอร์ผิด หลังจากนั้นเสียงมือถือของต้นก็ดังขึ้น จางจึงกดปิดและเมมเบอร์
"ต้นเมมเบอร์ผมด้วย เดี๋ยวลืมถ้าเราโทรไปต้นจำไม่ได้ ต้นใช้เบอร์นี้สมัครไลน์หรือเปล่า"
"ฮือ ใช่"ต้นหยิบมือถือออกมาพร้อมบันทึกชื่อว่าจางเป็นภาษาไทย
ส่วนจางบันทึกเป็นภาษาอังกฤษ ton หลังจากนั้นเขาก็ค้นหาไลน์ทางเบอร์ ก็เห็นชื่อและหน้าต้นเป็นภาษาอังกฤษ
"ขึ้นแล้ว ต้น ต้น"จางยิ้มระรื่น
"ถ้าอย่างนั้นต้นกลับก่อนนะ"ต้นเอ่ยขึ้น
"ห้องต้นไกลไหมเราเดินไปส่งได้นะ"
"ไม่ต้องหรอกส่งกันไปกันมาไม่ถึงซักที แล้วมันก็ไม่ไกลหรอก"
"ถ้างั้นคืนนี้ต้นนอนนี่ พรุ่งนี้ค่อยกลับแต่เช้า เดี๋ยวเราเดินไปส่ง"จางยิ้มและเบิกตาขึ้นมองต้น
"ไม่เป็นไรหรอกกลับได้ชินได้"ต้นก็ค้องใจอยู่เหมือนกัน ไม่ได้ไม่ดีก็ชวนขึ้นห้อง ซึ่งต้นก็ไม่อยากจะคิดในแง่ไม่ดี ซึ่งต้นกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ แต่แล้วเสียงของจางก็ดังขึ้น
"ก็ได้ ถ้างั้นพรุ่งนี้เจอกัน บ่าย"จางโบกมือให้ แล้วเดินเข้าไปในโรงแรม บางครั้งแอบหันมามองต้น จางรู้สึกถูกชะตากับต้น อยากอยู่ใกล้ๆต้น จางอดแปลกใจไม่ได้ ทั้งๆที่ก่อนมาประเทศไทย จางก็มีแฟนเป็นผู้หญิง แต่พึ่งเลิกลากันไป
ส่วนต้นก็เดินไปเรื่อยๆพลางคิดถึงรักเก่าที่จากกันไป โดยไม่ได้บอกลาหายไปเป็นเดือน ซึ่งต้นก็พยายามหักห้ามใจไม่ให้คิด เพราะแฟนเก่าของต้นไม่ได้แสนดีจนน่าจดจำ มีแต่สร้างเรื่องให้ต้นแก้ปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน
รักแล้วไม่กลัวเจ็บ แต่ต้องเก็บเป็นความลับ เพราะไม่สามารถเปิดเผยรักที่แท้จริงได้ จึงต้องฝืนทนกล่ำกลืนรักที่แสนรันทัด แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ไม่กลัวที่จะได้รักกัน ถึงแม้จะเป็นรักที่เจ็บๆแต่จริงใจและห่วงใย
สุดท้ายเราก็รักกันไม่ได้ ถึงแม้ถ่ายไฟเก่าจะลุกขึ้นจนมอดไหม้ ไม่มีเหลือชิ้นดี
ชายหนุ่มผู้เดินตามความฝัน ซึ่งในระหว่างทางต้องพบเจออุปสรรคมากมาย กว่าจะเจอรักแท้ที่โหยหามานาน
ชีวิตแต่งงานของฉันพังทลายลงในงานกาลาการกุศลที่ฉันเป็นคนจัดขึ้นมาเองกับมือ วินาทีหนึ่ง ฉันคือภรรยาผู้มีความสุขและกำลังตั้งครรภ์ของเก้า สุวรรณกิจ เจ้าพ่อวงการเทคโนโลยี วินาทีต่อมา หน้าจอโทรศัพท์ของนักข่าวคนหนึ่งก็ประกาศให้โลกรู้ว่าเขากับพราว นิธิวัฒน์ รักแรกในวัยเด็กของเขา กำลังจะมีลูกด้วยกัน ฉันมองข้ามห้องไป เห็นพวกเขาสองคนยืนอยู่ด้วยกัน มือของเก้าวางอยู่บนท้องของพราว นี่ไม่ใช่แค่การนอกใจ แต่มันคือการประกาศต่อสาธารณะที่ลบตัวตนของฉันและลูกในท้องของเราให้หายไป เพื่อปกป้องการเปิดขายหุ้น IPO มูลค่าหลายหมื่นล้านของบริษัท เก้า แม่ของเขา หรือแม้กระทั่งพ่อแม่บุญธรรมของฉันเอง ก็ร่วมมือกันหักหลังฉัน พวกเขาย้ายพราวเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา บนเตียงของฉัน ปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นราชินี ในขณะที่ฉันกลายเป็นนักโทษ พวกเขาตราหน้าว่าฉันเป็นคนสติไม่ดี เป็นภัยต่อภาพลักษณ์ของครอบครัว พวกเขาใส่ร้ายว่าฉันนอกใจ และกล่าวหาว่าลูกในท้องของฉันไม่ใช่ลูกของเขา คำสั่งสุดท้ายนั้นโหดร้ายเกินกว่าจะคิดฝัน...ให้ฉันไปทำแท้ง พวกเขาขังฉันไว้ในห้องและนัดวันผ่าตัดเรียบร้อย พร้อมขู่ว่าจะลากฉันไปที่นั่นถ้าฉันขัดขืน แต่พวกเขาทำพลาดไปอย่างหนึ่ง... พวกเขายอมคืนโทรศัพท์ให้ฉันเพื่อหวังจะปิดปากฉันไว้ ฉันแสร้งทำเป็นยอมแพ้ แล้วใช้โอกาสสุดท้ายโทรออกไปยังเบอร์ที่ฉันเก็บซ่อนไว้มานานหลายปี... เบอร์โทรศัพท์ของพ่อผู้ให้กำเนิดของฉัน อนันต์ ธีรวงศ์ ประมุขของตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากพอที่จะเผาโลกทั้งใบของสามีฉันให้มอดไหม้เป็นจุณได้
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY