หนึ่งคนเสียสละเพื่อให้อีกคนพบสิ่งที่ดีกว่า
หนึ่งคนเสียสละเพื่อให้อีกคนพบสิ่งที่ดีกว่า
“ฟ้า เย็นนี้ไปดูหนังกันไหม” อิงอรถามเพื่อนของเธอ
“ไม่ไป ฟ้าจะรีบกลับไปอ่านหนังสือ” พราวฟ้าตอบเพื่อนสนิท
“โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” อิงอรตอบแล้วเดินไปกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่รออยู่
พราวฟ้า กิตติวรกุลและอิงอร เมธาวัลย์ เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ห้า ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้น พราวฟ้ามีชื่อเล่นว่าฟ้าส่วนอิงอรมีชื่อเล่นว่าอร ทั้งสองคนกำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
อิงอรเกิดในครอบครัวชั้นกลาง เธอมีพี่น้องสามคนตัวเธอเป็นคนโตและมีน้องชายกับน้องสาว บ้านของอิงอรไม่ได้กวดขันอะไรกับลูกมากนักเพราะพ่อแม่ของเธอยินดีและเต็มใจกับทุกสิ่งที่ลูกจะมีความสุข อิงอรจึงเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยแบบสบายๆ ถ้าไม่ได้ตามที่ตั้งใจเธอก็แค่ไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็เท่านั้นเอง
อิงอรอยากเป็นดีไซเนอร์ เธอรักการแต่งตัว รักสวยรักงาม เธอคิดว่าถ้าเรียนด้านการออกแบบมันจะต่อยอดไปทำอะไรได้อีกหลายอย่างมากเพราะการออกแบบไม่ได้หยุดอยู่แค่เสื้อผ้า เธอชอบดูคลิปที่บล็อกเกอร์สาวๆ สาธิตการแต่งหน้าเพราะหลงใหลแพ็คเกจเครื่องสำอางเหลือเกิน หลายครั้งที่เธอซื้อก็เพื่อดูรายละเอียดของสินค้าว่ามันทำมาจากอะไร
พราวฟ้าเป็นลูกสาวคนเดียวของบิดาที่เป็นทันตแพทย์หรือหมอฟันส่วนมารดาเป็นกุมารแพทย์หรือที่ใครๆ เรียกว่าหมอเด็ก ไม่บอกก็น่าจะเดากันออกว่าครอบครัวของพราวฟ้าอยู่ในระดับสูง ทุกอย่างในชีวิตของเด็กสาวโปรยไปด้วยกลีบกุหลาบเธอไม่เคยผิดหวังและไม่เคยพบกับความพ่ายแพ้ ผลการเรียนของเธอเป็นที่หนึ่งมาตลอดผิดกับอิงอรเพื่อนสนิทที่สอบได้เลขสองตัวเสมอแต่เพื่อนเธอกลับไม่รู้สึกอะไร
พราวฟ้าไม่ได้เสพติดความสมบูรณ์แบบ เธอไม่ได้อยากแข่งขันเอาเป็นเอาตายกับลำดับตัวเลขและเกรดเฉลี่ยแต่พ่อกับแม่ตั้งความหวังไว้กับเธอสูงเหลือเกินเพราะเธอคือลูกสาวคนเดียวของแพทย์มือดีเบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย
สองบ่าเล็กๆ ของพราวฟ้าจึงแบกความหวังอันยิ่งใหญ่ของบิดามารดาเอาไว้
“สวัสดีค่ะป้านิ่ม” พราวฟ้ายกมือไหว้ป้าแม่บ้านจริงๆ คือแม่คนที่สองของเธอมากกว่า เธอเจอหน้าป้านิ่มมากกว่าพ่อกับแม่ของตัวเองซะอีก
พราวฟ้าโตมากับคำว่า “เสียสละ” และ “หน้าที่” เธอเข้าใจดีว่าพ่อกับแม่ต้องช่วยชีวิตคนไข้ ทั้งสองคนสอนให้เธอคิดถึงคนอื่นให้มากและที่ทั้งคู่เข้มงวดกวดขันกับเธอเรื่องเรียนก็เพราะท่านทั้งสองอยากให้เธอเป็นหมอเพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์
“หนูฟ้าจะทานข้าวเลยไหมคะ”
“ทานเลยค่ะป้านิ่ม หนูขอไปเปลี่ยนชุดแปบเดียวค่ะ”
ป้านิ่มมาเริ่มงานที่บ้านด้วยหน้าที่แม่บ้านคอยดูแลทำความสะอาดและทำอาหารด้วยพอคุณแม่ตั้งท้องและคลอดเธอออกมา ป้านิ่มก็กลายเป็นแม่เลี้ยงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตำแหน่งด้วยความเต็มใจ นิ่มเป็นสาวโสดถึนทึกไม่ได้แต่งงานและไม่มีญาติที่ไหนมีก็แต่ครอบครัวกิตติวรกุลที่เธอรับใช้มาร่วมสามสิบปีเท่านั้น
บ้านของพราวฟ้าเป็นบ้านขนาดสามห้องนอนและมีสวนเขียวขจีแถมยังมีน้ำตกจำลองอยู่ด้านหลังตัวบ้านด้วย วันหยุดเด็กสาวมักจะหอบหนังสือไปอ่านที่ศาลาไม้ใกล้กับน้ำตก เธอชอบเสียงน้ำไหลเบาๆ มันทำให้เธอมีสมาธิในการอ่านหนังสือ
“ว่าไงเบลล์คนสวย หวัดดีจ้ะอดัมสุดหล่อ” เบลล์คือแมวสาวขนสีขาวสะอาดตา ส่วนอดัมคือแมวหนุ่มรูปหล่อสีส้มขนฟู เจ้าเหมียวทั้งสองอยู่ๆ ก็มานอนซุกกันตรงถังขยะหน้าบ้านเมื่อสามปีก่อนเธอเลยขออนุญาตพ่อกับแม่เลี้ยงทั้งคู่ไว้
ชื่อของแมวทั้งสองตัวมาจากการ์ตูนเรื่องโปรด “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” หรือ “Beauty and the Beast” เธอสามารถเปิดการ์ตูนเรื่องนี้ฉายซ้ำวนไปทั้งวันโดยไม่มีความเบื่อเลย
พราวฟ้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอนของตัวเอง แวะเติมข้าวให้เจ้าแมวทั้งสองแล้วจึงเดินลงไปทานมื้อเย็น
“ป้านิ่มคะ ตอนเข้ามหาวิทยาลัยถ้าหนูไปอยู่หอพักป้านิ่มจะเหงาไหมคะ” พราวฟ้าถามระหว่างที่ช่วยกันล้างจานชามหลังจากทานอิ่มแล้ว
“เหงาสิคะหนูฟ้าแต่ถ้าหนูฟ้าต้องลำบากไปๆ กลับๆ ป้าก็จะอดทนค่ะ รถรามันติดขนาดนั้นหนูฟ้าจะเหนื่อยเกินไป”
“หนูเหงากว่าป้านิ่มแน่ๆ” พราวฟ้าตอบแล้วครุ่นคิดว่าเธอจะมีชีวิตอยู่เพียงลำพังได้ยังไง จริงอยู่ว่าพ่อกับแม่ห่วงและหวงเธอมากแต่เรื่องไปอยู่หอพักทั้งคู่กลับสนับสนุน
พ่อกับแม่บอกว่าการออกไปอยู่ด้วยตัวเองจะทำให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้จักรับผิดชอบมากขึ้นและก็เป็นการวัดใจด้วยว่าเวลาห่างหูห่างตาพ่อแม่ เธอจะทำตัวยังไงจะปล่อยตัวปล่อยใจจนเหลวแหลกเสียคนไหม
“ถ้าป้านิ่มง่วงก็นอนเลยนะคะไม่ต้องเอานมขึ้นไปให้หนูหรอก”
เมื่อทานมื้อเย็นเสร็จพราวฟ้าก็จะขึ้นไปอ่านหนังสือจนดึกดื่นทุกคืน ส่วนมากป้านิ่มจะเอานมอุ่นๆ มาให้เธอตอนสี่ทุ่มกว่า ป้านิ่มพักอยู่ในบ้านหลังเล็กติดกับบ้านใหญ่ของเธอ
“เจ้าเหมียวน่ารักจริง” สามทุ่มกว่าพราวฟ้าพักสายตาด้วยการเข้าไปดูเพจแมวต่างๆ ที่เธอตามไว้ในเฟสบุ๊ค เธอเป็นทาสแมวตัวจริงเสียงจริง ดูได้จากของทุกอย่างในห้องมีแมวเกลื่อนไปหมดทั้งที่นอน หมอน ผ้าม่าน เสื้อผ้า ของใช้ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีแมวอยู่ในนั้นเสมอ เจ้าเหมียวทั้งสองนอนกับเธอบนเตียงแต่เจ้าขนฟูก็สามารถเดินไปไหนต่อไหนได้สะดวกสบายเพราะประตูห้องเธอติดประตูแมวบานเล็กไว้ด้านล่าง
“เหมียวชายแดน” พราวฟ้าตามเพจแมวอยู่หลายสิบเพจแต่มีแค่เพจเหมียวชายแดนเท่านั้นที่เธอกดติดดาวไว้เพื่อที่จะไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหว
แอดมินเพจคือทหารชายแดนที่จังหวัดปัตตานี ทุกสองสามวันพี่ทหารก็จะอัพรูปแมวในฐานพร้อมข้อความน่ารักๆ ที่เรียกว่าภาษาแมวให้แฟนเพจได้อ่าน เธอใจหายใจคว่ำทุกครั้งเวลาที่เพจไม่มีอะไรอัพเดทติดกันหลายๆ วัน เพราะกลัวแอดมินจะเป็นอะไร
ที่ฐานมีแมวอยู่ห้าสิบกว่าตัวตามคำบอกเล่าของแอดมินและก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เพราะแมวเหล่านั้นไม่ได้ทำหมัน การจะเดินทางลงไปพื้นที่อันตรายแบบนั้นเป็นเรื่องลำบากมาก ต้องใช้กำลังคนในการคุ้มกันไหนจะต้องหาที่พักให้สัตวแพทย์อีก พี่ทหารทุกคนจึงทำเท่าที่จะทำได้
นอกจากเพจจะอัพรูปแมวแล้วแอดมินก็ยังเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของทหารชายแดนให้แฟนเพจอ่านด้วย เธอคิดไม่ออกเลยว่าการต้องใส่เสื้อเกราะหนักกว่าสิบกิโล ถือปืนอันใหญ่มหึมา นอนกลางดินกินกลางทราย มันจะลำบากและทรมานขนาดไหน เวลาฝนตกพวกพี่ทหารๆ ก็วิ่งหลบฝนไม่ได้ถ้ายังอยู่ในหน้าที่พวกเขาต้องยืนตากฝนอยู่แบบนั้นจนกว่าจะออกเวร
“ง่วนแล้ว ตัวแนวไปนอนก่อนเนะ” นี่คือภาษาแมวที่แสนจะน่ารักคิขุที่ออกมาจากปลายนิ้วของทหารหาญ เธออ่านแล้วก็ได้แต่อมยิ้มให้กับความอารมณ์ดีของแอดมิน
“ฟ้า พ่อกับแม่กลับมาแล้วลูก” สี่ทุ่มนิดๆ ทั้งคู่ก็เดินเข้ามาหาเธอในห้อง
“ทานข้าวกันรึยังคะ”
“ทานแล้วลูก เหนื่อยเหลือเกินขอไปนอนก่อนนะหนูก็อย่านอนดึกมาก” แม่หอมแก้มเธอส่วนพ่อก็ลูบหัวเบาๆ แล้วก็เดินออกไป เด็กสาวกลับมาตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออีกครั้งเป้าหมายวันนี้คือนอนเที่ยงคืน
“หนูฟ้า จะเที่ยงคืนแล้วนอนเถอะค่ะ” นิ่มเห็นไฟในห้องนอนของหนูฟ้ายังไม่ปิดจึงอุ่นนมขึ้นมาให้
“ค่ะป้า หนูก็ว่าจะนอนแล้ว” ห้าทุ่มห้าสิบห้านาที พราวฟ้าลุกไปอาบน้ำแล้วกลับมาดื่นนมอุ่นๆ และเมื่อหัวถึงหมอนเธอก็หลับสนิททันที
“เชิญจ้ะ ตามสบายนะ” กอบสุขบอกด้วยเสียงสั่นๆ เพราะดำรงไม่ได้มาคนเดียวแต่พาเพื่อนมาอีกสองคน “คุณกอบจำเรื่องที่เคยบอกผมได้ไหมครับ” ดำรงถาม “จำได้จ้ะ เรื่องนั้นใช่ไหม” “คุณกอบต้องพูดให้ชัดเจนนะครับ กระซิบบอกผมคนเดียวก็ได้เพราะทุกอย่างจะเกิดขึ้นเพียงทางเดียวเท่านั้นคือคุณกอบยินยอม” “ฉันอยาก xxx” กอบสุขสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วเชิดหน้าบอกอย่างมั่นใจ เธอต้องการมันและไม่ใช่เรื่องผิดบาปใดๆ ที่ผู้หญิงอยากทำแบบนี้ หากมันไม่เดือดร้อนใคร ทำไมจะทำไม่ได้ เพื่อนๆ ของดำรงไม่รีรอเมื่อคนชวนมาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
♡ แรกๆ ก็เอ็นดู หลังๆ ก็อยากให้ดูเอ็น ♡ บางส่วนจากนิยาย: กิตตินอนมองเอมิลี่แต่งตัวอย่างเพลิดเพลินแล้วความคิดซุกซนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากให้เธอใส่เสื้อผ้าเลยให้ตายสิ อยากถอดเสื้อจัง อยากถอดกางเกงด้วย ชุดชั้นในก็ไม่ต้องใส่หรอกบดบังของสวยๆ ทำไม “แล้วพี่โก้ไม่แต่งตัวเหรอคะ” “แต่ง … แต่งครับ รอเดี๋ยวเดียวนะ” กิตติต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านลงก่อน “พี่โก้ไม่อยากไปใช่ไหมคะ” เอมิลี่เดินกลับไปหาคนที่ยังไม่ลงจากเตียง “อยากครับ ไปสิไปกันเลย พี่แต่งตัวอึดใจเดียวก็เสร็จแล้ว” “ไม่จริงหรอกค่ะ ทำอยู่ตั้งนานกว่าพี่โก้จะเสร็จ” คำเตือน: มีการสูญเสีย มีเหตุการณ์สะเทือนใจ
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
ในชาติก่อน ซูเยว่ซีถูกอวิ๋นถังยวี่ทำร้ายจนตาย ทำผิดต่อครอบครัวของท่านตา และตัวเองยังถูกทรมานจนตาย เกิดใหม่ครั้งนี้ นางตั้งใจจะจัดการกับพวกผู้ชายชั่วและหญิงเลวจัดการพ่อชั่ว เพื่อปกป้องแม่และครอบครัวของท่านตาให้ปลอดภัย พวกผู้ชายชั่วเข้ามาใกล้งั้นเหรอ นางจะใช้แผนให้เขาเสียชื่อเสียง หญิงตีสองหน้าเก่งชอบทำตัวอ่อนแองั้นเหรอ นางจะเปิดโปงธาตุแท้อีกฝ่ายและไล่นางออกจากจวนซู! ในชาตินี้ สิ่งที่นางต้องทำคือการจัดการพวกปลวกที่แอบแฝงอยู่ในราชสำนัก แก้แค้นคนทรยศ เพื่อปกป้องท่านตาที่เป็นคนซื่อสัตย์ นางใช้มือเรียวเป็นเครื่องมือ ก่อให้เมืองจิงเกิดความวุ่นวาย แต่ท่ามกลางความโกลาหล นางได้พบกับองค์ชาย ผู้ที่ทุกคนเล่าลือว่าเป็นคนพิการ “อวิ๋นเฮิง เจ้าจะมาขวางข้าหรือ” อวิ๋นเฮิงยิ้มเบาๆ “ไม่ ข้าตั้งใจจะมาช่วยเจ้า”
ชีวิตแต่งงานของฉันพังทลายลงในงานกาลาการกุศลที่ฉันเป็นคนจัดขึ้นมาเองกับมือ วินาทีหนึ่ง ฉันคือภรรยาผู้มีความสุขและกำลังตั้งครรภ์ของเก้า สุวรรณกิจ เจ้าพ่อวงการเทคโนโลยี วินาทีต่อมา หน้าจอโทรศัพท์ของนักข่าวคนหนึ่งก็ประกาศให้โลกรู้ว่าเขากับพราว นิธิวัฒน์ รักแรกในวัยเด็กของเขา กำลังจะมีลูกด้วยกัน ฉันมองข้ามห้องไป เห็นพวกเขาสองคนยืนอยู่ด้วยกัน มือของเก้าวางอยู่บนท้องของพราว นี่ไม่ใช่แค่การนอกใจ แต่มันคือการประกาศต่อสาธารณะที่ลบตัวตนของฉันและลูกในท้องของเราให้หายไป เพื่อปกป้องการเปิดขายหุ้น IPO มูลค่าหลายหมื่นล้านของบริษัท เก้า แม่ของเขา หรือแม้กระทั่งพ่อแม่บุญธรรมของฉันเอง ก็ร่วมมือกันหักหลังฉัน พวกเขาย้ายพราวเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา บนเตียงของฉัน ปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นราชินี ในขณะที่ฉันกลายเป็นนักโทษ พวกเขาตราหน้าว่าฉันเป็นคนสติไม่ดี เป็นภัยต่อภาพลักษณ์ของครอบครัว พวกเขาใส่ร้ายว่าฉันนอกใจ และกล่าวหาว่าลูกในท้องของฉันไม่ใช่ลูกของเขา คำสั่งสุดท้ายนั้นโหดร้ายเกินกว่าจะคิดฝัน...ให้ฉันไปทำแท้ง พวกเขาขังฉันไว้ในห้องและนัดวันผ่าตัดเรียบร้อย พร้อมขู่ว่าจะลากฉันไปที่นั่นถ้าฉันขัดขืน แต่พวกเขาทำพลาดไปอย่างหนึ่ง... พวกเขายอมคืนโทรศัพท์ให้ฉันเพื่อหวังจะปิดปากฉันไว้ ฉันแสร้งทำเป็นยอมแพ้ แล้วใช้โอกาสสุดท้ายโทรออกไปยังเบอร์ที่ฉันเก็บซ่อนไว้มานานหลายปี... เบอร์โทรศัพท์ของพ่อผู้ให้กำเนิดของฉัน อนันต์ ธีรวงศ์ ประมุขของตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากพอที่จะเผาโลกทั้งใบของสามีฉันให้มอดไหม้เป็นจุณได้
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY