เขา...หนุ่มขี้อายแสนจริงใจ เธอ...สาวมั่นไม่แคร์โลก
เขา...หนุ่มขี้อายแสนจริงใจ เธอ...สาวมั่นไม่แคร์โลก
“ไหนเงินทอนกูล่ะ” ต่อตะโกนดังลั่นเพื่อแข่งกับเสียงเพลงภายในผับ มินสก์ไม่ได้ยินว่าเพื่อนพูดอะไรแต่จากการอ่านปากและอยู่กับมันมาเกือบสี่ปีเขาก็รู้ว่ามันทวงเงินทอนสิบห้าบาท !!!
ทำไมต่อ หรือนายตรีวิทย์ถึงขี้หวงนักเอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังตอนนี้มาทำความรู้จักเพื่อนสนิทสุดฮอทของต่อกันดีกว่า
ต่อเรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังเขามีเพื่อนสนิทห้าคนซึ่งทุกคนล้วนหล่อ รวย มีพร้อมทุกอย่างมีก็แค่เขาที่ไม่มีอะไรเลยและเหมือนจะเป็นแกะดำที่เข้ากับใครไม่ได้…แต่ก็ไม่ใช่
เพื่อนแท้คือคนที่รับข้อด้อยของเราได้ซึ่งไอ้ห้าคนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ถึงมันจะแดกดันค่อนแคะเรื่องที่เขาขี้หวงหรือขี้งกแต่ก็เป็นแค่เรื่องขำๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรและที่สำคัญเขาก็รู้ตัวดีว่าเป็นแบบที่พวกมันพูดทุกคำก็เขาไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด
วันนี้คือวันเกิดมินสก์ หนุ่มหล่อมาดเนี้ยบปิดผับหรูที่ทองหล่อเพื่อเลี้ยงเพื่อนๆ โดยเฉพาะ ต่อยืนยันหนักแน่นว่าต้องหารค่าเหล้าถ้าไม่หารก็จะไม่มาเพราะพวกมันชอบอ้างว่าเขามีน้อยกว่าเอะอะก็จะออกให้เปย์ให้ ถึงจะจนแต่ก็ไม่เคยเอาเปรียบใครและการเป็นผู้รับอยู่ข้างเดียวมันลำบากใจเอามากๆ
“ได้คุยกับลูกพีชบ้างป่ะ” ปั้นจั่นถามเพื่อน
“คุยตอนเขาสั่งกาแฟไง” ต่อผู้แสนซื่อ (บื้อ) ตอบแบบชัดถ้อยชัดคำด้วยความภาคภูมิใจ พรรัมภาหรือลูกพีชคือสาวอักษรสุดป๊อปที่ต่อหมายปองรวมถึงผู้ชายอีกค่อนมหาวิทยาลัย
“แบบนั้นเขาไม่เรียกคุยเขาเรียกสั่ง การคุยคือการสนทนากันไปมาไอ้ต่อ” กังหันหนุ่มสุดล่ำที่หน้าตาเหมือนปั้นจั่นเป๊ะแทรกขึ้นมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
“แล้วจะให้กูคุยอะไรวะ”
“คุยอะไรก็ได้ หัวข้อโง่ๆ เรื่องอากาศก็ยังดี” กังหันหนุ่มเลือดร้อนเสนอ
“คุยแบบนั้นอย่าคุยเลย อายหมามัน” ปั้นจั่นแฝดคนพี่พูดอีกรอบ
“ถ้ามึงสองคนเก่งนักก็บอกกูหน่อยว่ามึงคุยอะไรกับผู้หญิงวะ”
“ส่วนมากไม่ค่อยคุย ทำอย่างเดียว” ปั้นจั่นกับกังหันตอบพร้อมกัน ต่อมองเพื่อนแฝดด้วยความหมั่นไส้ปนอิจฉานิดๆ เพราะมันสองคนเป็นนักกีฬาว่ายน้ำไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่าหุ่นมันล่ำแค่ไหน
ยิ่งบวกหน้าตาสไตล์เกาหลีเถื่อนๆ เข้าไปอีกผู้หญิงที่ไหนก็ชอบได้ไม่ยากแล้วทั้งสองคนก็รวยแบบสุดๆ มันมีทั้งรถยนต์ทั้งบิ๊กไบค์บ้านช่องก็ใหญ่โตยังกับวัง…สาวคนไหนเมินไอ้สองแฝดก็บ้าแล้ว
“เออ กูไม่ได้มีพร้อมแบบพวกมึงไง” ต่อตอบเนือยๆ เขาไม่ได้โมโหหรือน้อยใจเขาชินแล้วกับความรู้สึกเป็นรองหรือไม่มีอะไรเลย
“ไม่เกี่ยวเลยไอ้ต่อไม่เคยได้ยินเหรอ คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรอง” ครูส ลูกครึ่งที่รูปร่างกำยำสูงใหญ่ไม่แพ้กันเข้ามานั่งล้อมวงอีกคน
“เวลาลูกพีชมาอยู่ใกล้ๆ กูเหมือนจะอ้าปากไม่ได้” ต่อยอมรับแบบเซ็งๆ ในขณะที่เพื่อนทั้งห้าคนมีผู้หญิงควงไม่เคยขาดแต่เขายังไม่เคยมีแฟนเลยสักคนพอตกหลุมรักก็ดันเล่นของสูงเป็นดาวประจำคณะแล้วจะเอาอะไรไปแข่งกับคนอื่นได้ เขาไม่มีรถยนต์ ไม่มีบ้านหลังใหญ่ ไม่มีความสามารถพิเศษด้านกีฬาหรือดนตรีขนาดที่พอไปแข่งขัน ให้เล่นแบบงูๆ ปลาๆ เอาสนุกก็เล่นได้แหละ
“เวลาเขามาสั่งกาแฟชวนคุยเรื่องคุกกี้สิ ถามว่าชอบรสไหนไม่ก็ถามว่าชอบกินขนมอะไร” ปั้นจั่นแนะนำ
“ขอบใจนะมึง กูจะลองดูแล้วกัน” ต่อบอกขอบคุณเพื่อนแล้วดื่มน้ำสีดำจนหมดแก้วแต่นั่นไม่ใช่เหล้าหรอกนะถึงสีจะคล้ายกันก็เถอะ ต่อไม่ดื่ม ไม่สูบ เที่ยวบ้างตามโอกาส
จริงๆ ตรีวิทย์เป็นผู้ชายที่ดีพร้อมคนหนึ่งเลยทีเดียวแต่ไม่รู้ตัว เขาเป็นคนอ่อนน้อม สุภาพ มีน้ำใจและไม่เคยเอาเปรียบคนอื่น ใครออกปากให้ช่วยอะไรต่อยินดีและทำด้วยความเต็มใจเสมอ ถ้าเขาตัดความน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องฐานะออกไปได้เขาจะรู้ว่าตัวเองก็มีดีไม่แพ้เพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ
“ไม่ก็นี่เลย” มินสก์เจ้าของวันเกิดกลับมาเข้าแก๊งเพื่อนสนิทหลังจากไปพูดคุยกับแขกที่มาร่วมงาน
“บอกลูกพีชดิว่าเกมนี้น่ารักมากแถมได้รางวัลเกมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์นี้ด้วยกูว่าลูกพีชต้องชอบแน่ๆ หรือถ้าไม่ชอบเขาก็ต้องแกล้งชอบเพื่อเอาใจมึงไอ้ต่อ” มินสก์พ่อหนุ่มไอทียื่นมือถือให้เพื่อนดู มันเป็นเกมใบ้คำที่มีรูปประกอบหวานแหวว
“ทำไมเขาต้องแกล้งชอบเพื่อกูวะ” ต่อถามด้วยความสงสัย
“ไอ้ต่อ พวกมึงด้วยนักรักชั้นยอดของมหาลัยมึงไม่สังเกตกันเลยเหรอว่าลูกพีชไม่เคยเข้ามานั่งในร้านตอนกลางวันสักครั้งตอนที่พวกมึงๆ ทั้งหลายอยู่กันครบ ลูกพีชจะมานั่งแค่ตอนหัวค่ำตอนไอ้ต่อเข้ากะมึงว่ามันบังเอิญไหมที่ลูกพีชทำแบบนี้มาเป็นปีๆ แล้ว” มินสก์กอดอกแล้วกวาดตามองเพื่อนแบบผู้อยู่เหนือกว่า
“เออว่ะ” ครูส พ่อหนุ่มตาน้ำข้าวตบโต๊ะดังปัง
“จริงว่ะไอ้ต่อ” สองแฝดตบไหล่เพื่อนคนละข้าง ต่อแทบจะร่วงจากเก้าอี้
“ลูกพีชต้องชอบมึงแน่ๆ ไอ้ต่อ” มินสก์ส่งยิ้มของผู้ชนะให้เพื่อนทั้งกลุ่ม
“มาได้สักทีไอ้เวร” มินสก์ลากเพื่อนรายสุดท้ายมาเข้าวง มันคือไอ้สิบรถคุณชายหล่อลากไส้และมาสายเป็นประจำ
“รถติด ขอโทษที” สิบรถบอกเพื่อนรวมๆ ทีเดียว
“แล้วนั่งประชุมอะไรกันหน้าตาจริงจัง” ชายหนุ่มถามส่วนมือก็คว้าแก้วมาใส่น้ำแข็งเพื่อชงเครื่องดื่มให้ตัวเอง
“เรื่องลูกพีช” ทั้งห้าคนประสานเสียง
“ยังไม่ปิดจ๊อบกันอีกเหรอ”
“จะปิดได้ไงยังไม่ทันเปิดเลย” ต่อบอก
“ก็เปิดดิรอไรวะ มึงอย่าทำให้เพื่อนๆ ในกลุ่มเสียชื่อดิไอ้ต่อพวกกูนี่ตัวพ่อเรื่องล่อหญิงทั้งนั้นนะโว้ย” สิบรถ ชายหนุ่มที่แก่สุดในกลุ่มตบหลังให้กำลังใจเพื่อน แน่นอนคุณสมบัติเพื่อนสนิทของตรีวิทย์คือหล่อและรวยแต่สิบรถต่างกับทุกคนตรงที่อายุมากกว่าใครในกลุ่มเพราะเรียนไม่จบสักทีไม่ใช่ว่าโง่หรอกนะแต่สิบรถไม่ใส่ใจเอง
“กูไม่ได้อยากล่อเขาซะหน่อย” ต่อพูดแบบเคืองๆ
“เออๆ ไม่ล่อก็ไม่ล่อ ถ้ามึงชอบเขามึงต้องคุยกับเขาไม่ใช่มานั่งอมขี้ฟันอยู่” ครูสบอก
“มาๆ แก้วนี้ดื่มให้คุณต่อผู้จะไม่ล่อลูกพีช” มินสก์บอกแล้วหนุ่มๆ ทั้งหกคนก็ชนแก้วกัน
“เชิญจ้ะ ตามสบายนะ” กอบสุขบอกด้วยเสียงสั่นๆ เพราะดำรงไม่ได้มาคนเดียวแต่พาเพื่อนมาอีกสองคน “คุณกอบจำเรื่องที่เคยบอกผมได้ไหมครับ” ดำรงถาม “จำได้จ้ะ เรื่องนั้นใช่ไหม” “คุณกอบต้องพูดให้ชัดเจนนะครับ กระซิบบอกผมคนเดียวก็ได้เพราะทุกอย่างจะเกิดขึ้นเพียงทางเดียวเท่านั้นคือคุณกอบยินยอม” “ฉันอยาก xxx” กอบสุขสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วเชิดหน้าบอกอย่างมั่นใจ เธอต้องการมันและไม่ใช่เรื่องผิดบาปใดๆ ที่ผู้หญิงอยากทำแบบนี้ หากมันไม่เดือดร้อนใคร ทำไมจะทำไม่ได้ เพื่อนๆ ของดำรงไม่รีรอเมื่อคนชวนมาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
♡ แรกๆ ก็เอ็นดู หลังๆ ก็อยากให้ดูเอ็น ♡ บางส่วนจากนิยาย: กิตตินอนมองเอมิลี่แต่งตัวอย่างเพลิดเพลินแล้วความคิดซุกซนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากให้เธอใส่เสื้อผ้าเลยให้ตายสิ อยากถอดเสื้อจัง อยากถอดกางเกงด้วย ชุดชั้นในก็ไม่ต้องใส่หรอกบดบังของสวยๆ ทำไม “แล้วพี่โก้ไม่แต่งตัวเหรอคะ” “แต่ง … แต่งครับ รอเดี๋ยวเดียวนะ” กิตติต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านลงก่อน “พี่โก้ไม่อยากไปใช่ไหมคะ” เอมิลี่เดินกลับไปหาคนที่ยังไม่ลงจากเตียง “อยากครับ ไปสิไปกันเลย พี่แต่งตัวอึดใจเดียวก็เสร็จแล้ว” “ไม่จริงหรอกค่ะ ทำอยู่ตั้งนานกว่าพี่โก้จะเสร็จ” คำเตือน: มีการสูญเสีย มีเหตุการณ์สะเทือนใจ
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY