สัญญา มีเงื่อนไขของมันเสมอ แต่ทว่า สัญญา ที่เต็มไปโดยความแค้นและความรัก...จุดจบของสัญญาครั้งนี้จะลงเอยเช่นไร และเธอกับเขาจะเลือกอะไรระหว่งความแค้น กับ ความรัก
สัญญา มีเงื่อนไขของมันเสมอ แต่ทว่า สัญญา ที่เต็มไปโดยความแค้นและความรัก...จุดจบของสัญญาครั้งนี้จะลงเอยเช่นไร และเธอกับเขาจะเลือกอะไรระหว่งความแค้น กับ ความรัก
ความลับไม่มีในโลก
ประเทศไทย;กรุงเทพมหานคร
ผับย่านสุขุมวิท
เสียงเพลงที่ดังกระหึ่มทั่วทั้งผับที่บ่งบอกว่ายังไม่ถึงเวลาผับปิดและเพื่อเร่งนักท่องราตรีให้สนุกไปกับเพลงที่เปิดอย่างเมามันและแน่นอนหญิงสาวที่มีหน้าตาหวานใสราวเจ้าหญิงหลุดออกมาจากนิทานได้ออกลีลาเต้นอยู่กลางฟอร์และด้วยลีลาท่าเต้นของเธอที่ยั่วเย้าก็ทำให้เธอเป็นจุดสนใจของทุกคนในผับรวมถึงนักธุรกิจในคาบนายแบบที่จ้องมองเธอตาไม่กะพริบแม้ข้างกายจะมีหญิงสาวจากผับนั่งคลอเคลียเขาอยู่
"ไปสืบมาว่าเธอคือใคร"เขาสั่งเลขาที่ยื่นอยู่ข้างๆ ให้ไปสืบมาว่าเธอคือใครเพียงแค่นี้เลขาหนุ่มที่ทำงานกับเขามาหลายปีรับรู้ถึงความหมายมันดี เลขาเช่นเขาไม่เพียงแค่สืบอย่างเดียวแต่ต้องติดต่อเธอเลยต่างหาก
"ครับ"เลขาหนุ่มตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะเดินออกไปหามุมเงียบๆ ทำงานที่เจ้านายหนุ่มสั่งมาเมื่อครู่อย่างรวดเร็วทันใจและไม่นานเจ้านายหนุ่มก็เดินตามออกมาพร้อมหญิงสาวจากผับ กลับคอนโดเพื่อไปต่ออารมณ์ที่ค้างให้ได้สำเร็จความใคร่
ด้านหญิงสาวที่เป็นที่สนใจของคนทั้งผับโดยเฉพาะผู้ชายในค่ำคืนนี้ เธอหยุดเต้นเมื่อเพลงจบก่อนจะเดินกลับโต๊ะไปพร้อมกับเพื่อนของเธออีกคนที่ออกมาเต้นพร้อมเธอด้วยความเหนื่อย
"ตลอดเลยสินะที่ยัยต้าร์ออกเที่ยวผับแล้วต้องเต้นแบบนี้จนเป็นจุดสนใจยากที่จะลืม"เมื่อเธอมาถึงโต๊ะก็เจอลูกแซวของเพื่อนที่นั่งดูตั้งแต่เพลงเริ่มจนจบเพลง
"ก็ใครล่ะเล่นขี้โกงตลอดเลยจนฉันกับยัยฟ้าต้องออกไปเต้นแบบนี้"เธอสวนกลับทันทีด้วยอารมณ์ไม่ดีนักเพราะเธอไม่ชอบเลยสายตาที่พวกผู้ชายในผับต้องมองเธอจนจะทะลุเสื้อผ้าจนจะเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอแล้ว แม้นี้จะไม่ใช่คืนแรกแต่เธอก็ยังไม่ชิดและไม่ชอบสายตาที่มองมาเลยสักนิด มันน่าขยะแขยงที่สุด
"ได้ไง อย่ามากล่าวหากันถ้าไม่มีหลักฐานนะจ๊ะเพื่อนรัก มาๆ มาดื่มต่อเถอะ"เพื่อนที่แซวเธอพูดดักคออย่างเหนือกว่าก่อนจะพูดเปลี่ยนเรื่องชวนทุกคนดื่มน้ำสีอำพันที่วางอยู่บนโต๊ะที่เต็มแก้วทุกใบ
"เฮ้ๆ แกไปเครียดอะไรมาจากไหนเนี่ยยัยต้าร์ดื่มรวดเดียวหมดแบบนี้เดี๋ยวก็กลับคอนโดไม่ไหวหรอก"เพื่อนที่ออกไปเต้นกับเธอพูดห้ามเมื่อเห็นว่าเธอดื่มรวดเดียวหมดและสิ่งที่เธอดื่มคือเตกีล่าเพียวๆ แบบนี้ยัยตัวแสบของเพื่อนๆ อย่างเธอจะอยู่มีสติครบถ้วนจนผับปิดรึเปล่าเนี่ย
"เปล่า เหนื่อยจากเต้นเลยหิวน้ำนะ"เธอตอบพลางเทขวดเตกีล่าลงใส่แก้วก่อนจะยกดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เธอวางแก้วลงพลางจ้องมองแก้วที่ว่างเปล่าในสมองเธอก็คิดถึงเรื่องหนึ่ง เรื่องที่เธอคิดมันมาหลายคืนก็ยังหาคำตอบไม่ได้สักทีก่อนจะพูดขึ้นทำให้เสียงหัวเราะของเพื่อนๆ เงียบลงทันที
"ฉันกลับก่อนนะ"
"อ้าว ทำไมวันนี้กลับเร็ว"
"ปวดหัวนิดหน่อย"เธอบอกก่อนจะเดินออกมาจากโต๊ะทันทีและตรงไปที่รถที่จอดอยู่ด้านหน้าผับก่อนจะขับกลับทันที
เช้าวันต่อมา
ปังๆ ๆ
"ยัยต้าร์! เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ! "
"..."
"ยัยต้าร์! "
ปังๆ ๆ
เสียงเคาะประตูจากหน้าห้องเสียงดังจนทำให้คนข้างห้องเปิดประตูออกมาดูก็พบว่าหญิงสาวเจ้าของห้องจะเคาะประตูห้องตัวเองทำไมคีย์การ์ดห้องตัวเองก็มีเปิดเข้าไปสิแต่ความคิดของทุกคนนั้นผิดเพราะคนที่มาเคาะประตูกลับกลายเป็นพี่สาวของเจ้าของห้องที่ยังคงไม่ตื่นมาเปิดห้องให้กับพี่สาวเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ที่ยังไม่สร่างทำให้หญิงสาวเจ้าของห้องนอนหลับสนิท
ปังๆ ๆ
"ยัยต้าร์! ยัยต้าร์! พี่บอกให้แกเปิดประตูยังไงล่ะ! "
เสียงเคาะและเสียงตะโกนของเบลล่าไม่ยอมหยุดจนกว่าเจ้าของห้องจะมาเปิดประตูให้ แต่ชายหนุ่มที่อยู่ห้องข้างๆ ทนไม่ไหวเดินออกมาจากห้องกระชากแขนของเบลล่าให้หันไปเผชิญหน้าแต่เมื่อเห็นเต็มๆ ตาก็นึกแปลกใจว่าคนอย่างน้ำทิพย์นึกอุตริลุกขึ้นมาแต่งสวยทำหน้าทำผมแล้วเป็นบ้ามายืนเคาะประตูห้องตัวเองอยู่แบบนี้ ที่เขาแปลกใจนั้นเป็นเพราะเขาทำงานที่เดียวกับน้ำทิพย์และยังคอยแวะหาซื้อของกินมาให้น้ำทิพย์เวลาที่น้ำทิพย์มีงานเข้ามาให้ทำเป็นกองภูเขา
"เธอเป็นบ้าอะไรมายืนเคาะประตูห้องตัวเองจนคนอื่นรำคาญแบบนี้"
"นายเป็นใคร อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ! "
โดยที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับครอบครัวของน้ำทิพย์เลยทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่านั้นไม่ใช่หญิงสาวที่เขาหมายถึงและด้วยที่ทุกคนที่นี่เมื่อเห็นน้ำทิพย์เข้ามาอยู่ใหม่ต่างก็คิดว่าเป็นพี่สาวเธอที่เป็นนางแบบแต่ก็เลิกคิดทันทีเมื่อเธอยื่นบัตรประชาชนให้ดูว่าเธอไม่ใช่พี่สาวของเธอทำให้ทุกคนที่นี่คิดว่าเธอไปทำศัลยกรรมให้หน้าสวยคล้ายพี่สาวเธอเท่านั้นและครั้งนี้ทุกคนที่ไม่ยอมกลับเข้าห้องสักทีก็มองว่าเธอนั้นอุตริอยากแต่งสวยเหมือนนางแบบเบลล่าหรือก็คือพี่สาวของเธอ
"นี้ๆ เธอคงไม่บ้าจริงๆ หรอกนะถึงจำเพื่อนตัวเองไม่ได้นะ"
"ฉันไม่ได้บ้าและจำได้ว่าไม่มีเพื่อนโรคจิตแบบนาย! นี่! ยัยต้าร์ เปิดประตูให้พี่นะ! "
ปังๆ ๆ
เธอตอบนพพลเพื่อนของน้องสาวก่อนจะหันมาส่งเสียงดังพลางทุบประตูไม่ยอมหยุดและครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะดังมากพอให้เจ้าของห้องลุกขึ้นออกจากเตียงเดินงัวเงียยังไม่สร่างเมาออกมาเปิดประตูให้กับผู้เป็นพี่สาวและเมื่อเธอเดินมาเปิดประตูด้วยสภาพหัวยุ่งชุดเดิมของเมื่อวานทำให้กลิ่นเหล้าลอยมาแตะจมูกผู้เป็นพี่สาวแม้จะจางลงแต่ในระยะใกล้ชิดเธอก็ยังได้กลิ่นเหล้าจากตัวน้องสาว
เบลล่ามองสภาพน้องสาวอย่างอารมณ์เดือดสุดๆ และอึ้งไปตามๆ กันแต่ก็ไม่เท่ากับเพื่อนข้างห้องอย่างนพพลและคนอื่นๆ ที่ยื่นอึ้งกับภาพข้างหน้าที่มีหญิงสาวหน้าตาเหมือนกันเพียงแต่คนละสไตล์กันอีกคนเป็นถึงนางแบบแสนสวยและเซ็กซี่แต่อีกคนเป็นยัยบ้าตัวแสบทำตัวสบายๆ ไม่รักสวยรักงามและการที่เสียงเงียบของพี่สาวทำให้เธอปรับสายตามองคนตรงหน้าดีๆ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเป็นใครที่มาเคาะประตูเสียงดังก่อนจะรีบดึงแขนพี่สาวเข้าห้องโดยไม่สนใจเพื่อนข้างห้องอย่างนพพลที่กำลังจะอ้าปากถามก่อนจะรีบปิดประตูล็อกกลอนทันทีและเอ่ยถามผู้เป็นพี่สาวทันทีที่เข้ามาอยู่ในห้องด้วยกันสองคน
"พี่เบลมาทำอะไรที่นี้ค่ะ เดี๋ยวคนอื่นก็จับได้หรอกค่ะ ถ้าคุณพ่อรู้คงต่อว่าพี่เบลแน่ๆ เลยค่ะ"น้ำทิพย์เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงพี่สาวแต่กับคนเป็นพี่สาวไม่สนใจในสิ่งที่น้องสาวพูดเลยสักนิดก่อนจะพูดขึ้น
"ไม่มีใครอุตริวิ่งไปฟ้องคุณพ่อหรอก แกนั่นแหละเมื่อคืนไปเที่ยวไหนมา! "เบลล่าขึ้นเสียงในตอนท้ายเมื่อถามถึงเรื่องเมื่อคืนที่น้องสาวฝาแฝดไปก่อเรื่องเอาไว้
"ไปเที่ยวผับกับเพื่อนๆ มาค่ะ"น้ำทิพย์ตอบตามความเป็นจริงเพราะเธอไม่เคยมีเรื่องปิดบังคนเป็นพี่สาวเลยสักเรื่องมีเรื่องอะไรก็มักจะบอกเสมอแต่ถ้าเรื่องไหนไม่จำเป็นก็ไม่บอกให้คนเป็นพี่สาวเป็นห่วง
"แล้วยังไงต่อ"คนเป็นพี่สาวก็ไม่ยอมหยุดถามแค่นั้นยังถามต่อพลางเดินไปนั่งลงที่โซฟาที่เป็นส่วนของห้องนั่งเล่นและตามมาด้วยน้องสาวที่ไม่เข้าใจสักเท่าไรกับการมาครั้งนี้และเอาแต่ถามเรื่องเมื่อคืน
เธอจำได้ว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้ทำอะไรเสียหายและเวลาที่เธอออกไปเที่ยวแบบนี้คนเป็นพี่สาวก็รับรู้ตลอดและเมื่อตอนกลับมาถึงห้องเธอก็ไลน์ไปบอกพี่สาวแล้ว เธอมั่นใจสุดๆ ว่าเธอไม่ได้ทำเรื่องเสียหายแต่แค่ออกไปเต้นเพราะแพ้เกมที่เล่นกันมันไม่ได้ดูไม่เหมาะสมนี่น่าเธอก็ทำมาตลอดเวลาออกไปเที่ยวแล้วแพ้เกมแต่ก็ไม่ได้บ่อยอะไรมากมาย
หนี้ที่ไม่ได้ก่อ เธอ ต้องใช้แทนเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อเลี้ยงที่เลี้ยงเธอมาจนโต ทว่า ความเป็นจริงกลับทำร้ายเธอ เมื่อพ่อเลี้ยงได้สร้างรอยแค้นให้ เขา มาเฟียหนุ่มฮ่องกง ไม่ใช่แค่เพียงหนี้ก้อนโต เขา...มาเฟียไร้หัวใจ อดีตเขาเคยมีหัวใจ ทว่า เมื่อเขาสูญเสียคนรักไปด้วยฝีมือลูกหนี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของความแค้น ที่ทำให้เขากลายเป็นคนไร้หัวใจ ไร้ความปรานี และปิดกั้นความรักตั้งแต่นั้นมา เธอ...หญิงสาวสู้ชีวิต ตั้งแต่มอปลาย เธอทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนมาตลอด เมื่อผู้เป็นแม่เสียชีวิต เธอก็ใช้ชีวิตกับพ่อเลี้ยง มาตลอดจนเรียนจบด้วยความยากลำบาก เธอมีหัวใจที่เข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เพื่อตอบแทนบุญคุณ
เธอมีแฟนมาแล้วหลายคนก็จริง แต่ไม่เคยมีสักคนที่จะได้แอ้มเธอ แต่ไหงกลับกลายเป็นพี่ชายของเพื่อนกันที่ทำลายความบริสุทธิ์ของเธอไปได้เล่า! ไม่ใช่เธอไม่อยากมีแฟนเสียหน่อย แต่มีแล้วก็ไม่ได้อยากปล่อยเนื้อปล่อยตัวนะ! --------------------------------- คุณเชื่อเรื่อง 'ตกหลุมรัก' ตั้งแต่แรกพบหรือไม่ มันมีอยู่จริงหรือ กับรักแรกพบที่มาพร้อมกับสัมพันธ์ที่เร่าร้อน! เซนนิก้า นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเกิดอาการแปลกๆ เมื่อได้เห็นวงหน้าของเธอ คุณหนูเชอเอม แต่เขาแค่เพียงหวังจะเครมเธอเท่านั้น เพราะเหยื่อยังไงก็คือเหยื่อ ทว่าไม่รู้ว่าใครลิขิตหรือกลั่นแกล้งกันแน่ ลิขิตให้คนทั้งสองคือรักแรกพบ! เรือนร่างที่เสียให้กับเขาเป็นคนแรกที่ได้แอ้มเธอคือกำไร หวั่นไหวคือโบนัส ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอย่างเร่าร้อนที่เริ่มง่ายก้จบงาน แต่เชอเอมไม่จบ! ทว่า เขาก็ไม่จบเช่นกันเมื่อก้อนเนื้อในอกยังคงเรียกร้องหาเธอไม่ต่างกันกับเธอ
น้องสาวข้างบ้านสุดเผ็ดร้อนกำลังยืนเปลื้องผ้าอยู่ปลายเตียงนอนในห้องของเขา มีหรือเขาจะไม่รีบดึงเธอมาร่วมเตียง แม้ใจจะไม่คิดเอาน้องสาวเพื่อนแต่เธอร้อนแรงจนความเป็นชายแข็งขื่อเพียงเธอสัมผัสโดนตัวเขา!
เธอลุ่มหลงไปกับรสสวาทในตัวเขา พลันเปลี่ยนเป็นความรักอย่างไม่รู้ตัว ทว่าช้ากว่าเขาที่ตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น!
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
ชีวิตแต่งงานของฉันพังทลายลงในงานกาลาการกุศลที่ฉันเป็นคนจัดขึ้นมาเองกับมือ วินาทีหนึ่ง ฉันคือภรรยาผู้มีความสุขและกำลังตั้งครรภ์ของเก้า สุวรรณกิจ เจ้าพ่อวงการเทคโนโลยี วินาทีต่อมา หน้าจอโทรศัพท์ของนักข่าวคนหนึ่งก็ประกาศให้โลกรู้ว่าเขากับพราว นิธิวัฒน์ รักแรกในวัยเด็กของเขา กำลังจะมีลูกด้วยกัน ฉันมองข้ามห้องไป เห็นพวกเขาสองคนยืนอยู่ด้วยกัน มือของเก้าวางอยู่บนท้องของพราว นี่ไม่ใช่แค่การนอกใจ แต่มันคือการประกาศต่อสาธารณะที่ลบตัวตนของฉันและลูกในท้องของเราให้หายไป เพื่อปกป้องการเปิดขายหุ้น IPO มูลค่าหลายหมื่นล้านของบริษัท เก้า แม่ของเขา หรือแม้กระทั่งพ่อแม่บุญธรรมของฉันเอง ก็ร่วมมือกันหักหลังฉัน พวกเขาย้ายพราวเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา บนเตียงของฉัน ปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นราชินี ในขณะที่ฉันกลายเป็นนักโทษ พวกเขาตราหน้าว่าฉันเป็นคนสติไม่ดี เป็นภัยต่อภาพลักษณ์ของครอบครัว พวกเขาใส่ร้ายว่าฉันนอกใจ และกล่าวหาว่าลูกในท้องของฉันไม่ใช่ลูกของเขา คำสั่งสุดท้ายนั้นโหดร้ายเกินกว่าจะคิดฝัน...ให้ฉันไปทำแท้ง พวกเขาขังฉันไว้ในห้องและนัดวันผ่าตัดเรียบร้อย พร้อมขู่ว่าจะลากฉันไปที่นั่นถ้าฉันขัดขืน แต่พวกเขาทำพลาดไปอย่างหนึ่ง... พวกเขายอมคืนโทรศัพท์ให้ฉันเพื่อหวังจะปิดปากฉันไว้ ฉันแสร้งทำเป็นยอมแพ้ แล้วใช้โอกาสสุดท้ายโทรออกไปยังเบอร์ที่ฉันเก็บซ่อนไว้มานานหลายปี... เบอร์โทรศัพท์ของพ่อผู้ให้กำเนิดของฉัน อนันต์ ธีรวงศ์ ประมุขของตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากพอที่จะเผาโลกทั้งใบของสามีฉันให้มอดไหม้เป็นจุณได้
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY