เขาคือ “พี่เขย” ของเธอ เธอคือ “น้องเมีย” ของเขา เขาอยากเป็นสามีของเธอ ส่วนเธอ… จำใจต้องเป็นภรรยาของเขา
เขาคือ “พี่เขย” ของเธอ เธอคือ “น้องเมีย” ของเขา เขาอยากเป็นสามีของเธอ ส่วนเธอ… จำใจต้องเป็นภรรยาของเขา
บทที่ 1 จดหมาย
“เมียฉันเป็นยังไงบ้างเบิ้ม ปลอดภัยแล้วใช่ไหม”
คุณหมอหนุ่มวัยสามสิบแปดมองหน้าเพื่อนสนิทที่เคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมปลาย ก่อนจะแยกย้ายไปศึกษาต่อตามสาขาที่ใจตัวเองปรารถนา มองใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา ที่บัดนี้มีแต่ความคร่ำเครียดนั้นอย่างเห็นใจ
“ยาที่เมียนายกิน ออกฤทธิ์ทำลายการทำงานของระบบประสาท และร่างกายจนหมดแล้ว...”
“แล้วยังไง นายช่วยแก้วได้ใช่ไหมเบิ้ม” เสียงทุ้มหูสั่นเครือด้วยความรู้สึกกลัวจับใจ
“เสียใจด้วยนะราม ฉันช่วยเมียนายไม่ทันจริง ๆ นายมาถึงช้าไป” ถึงแม้จะเห็นใจแต่เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป และยังสงสัยอยู่ว่าทำไมคนที่จิตใจดี อารมณ์ดีอย่างสิรินดาถึงได้คิดฆ่าตัวตาย “เข้าไปดูเมียนายได้นะราม”
“อย่าเพิ่งไป ช่วยเมียฉันให้ฟื้นก่อนเบิ้ม ได้โปรด” รามขวางทางเพื่อนสนิทไม่ให้เดินหนี น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาอย่างไม่อาย
“สงบสติอารมณ์แล้วเข้าไปดูคุณแก้วอีกสักครั้งนะราม เผื่อนายมีเรื่องที่อยากจะพูดอะไรกับเธอ” อติพลเห็นใจเพื่อนรักเหลือเกิน แต่เขาจะช่วยอะไรได้มากกว่านี้อีกล่ะในตอนนี้
“ได้โปรดเถอะเบิ้ม ช่วยเมียฉันด้วย เอาชีวิตฉันไปแทนก็ได้ แต่ได้โปรดให้เธอกลับมา ลูกของฉันเพิ่งจะสามเดือนเท่านั้น ฉันจะให้เขาขาดแม่ไม่ได้” ลูกผู้ชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาตลอด คุกเข่าขอร้องเพื่อนรักที่เป็นหมอพร้อมกับน้ำตา คร่ำครวญด้วยความเสียใจสุดชีวิต
“ราม...” อติพลดึงไหล่เพื่อนรักขึ้นมาแล้วโอบกอดเพื่อปลอบใจ “ฉันเสียใจด้วยจริง ๆ ฉันพยายามสุดความสามารถแล้ว”
“พี่รามคะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่นิ่งเงียบอยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอดเอ่ยขึ้น พร้อมกับประคองชายหนุ่มเอาไว้ “พี่รามกลับบ้านไปก่อนดีกว่านะคะ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพรเอง”
“พี่จะเข้าไปหาแก้ว พี่อยากคุยกับแก้ว”
“ถ้าอย่างนั้นแพรพาเข้าไปนะคะ”
“อย่าเลยแพร พี่จะเข้าไปคนเดียว เพราะแก้วคงไม่ชอบถ้าพี่พาแพรเข้าไป” รามดึงแขนออกจากการกอดประคองของหญิงสาว แล้วเดินเข้าไปในห้องที่อติพลออกมา
เมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
“ทำไมคุณแม่ต้องกลับเมืองไทยกะทันหันแบบนี้คะ” หญิงสาวที่ใกล้จะเป็นเจ้าของใบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของรัฐในนครซิดนีย์ถามมารดาด้วยความสงสัย เพราะเพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้านไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
“แม่ก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร ยายเพิ่งโทรมาบอกให้แม่รีบกลับไป” ดวงดาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลต่อหน้าลูกสาวคนเล็ก ถ้าไม่ติดว่าอีกสามวันเธอจะสอบนางคงบอกความจริงไปแล้ว
“ทำไมสีหน้าคุณแม่ไม่ดีเลย ญาติเราเสียเหรอคะ... ใครคะคุณแม่”
“เอาไว้แม่ถึงเมืองไทยแล้วจะโทรมาบอกนะลูก เมื่อกี้แม่ก็คุยกับยายยังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”
สิริญ่าเพียงแต่พยักหน้ารับ เข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวประมาณหนึ่งว่าคงเสียใจจนพูดไม่ออก
“ถ้านิดว่างนิดก็อยากจะไปด้วยนะคะ” ถึงแม้ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับญาติพี่น้องทางเมืองไทยอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่คุณยาย คุณตา หรือพี่สาว แต่เธอก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างคนไทยคนหนึ่ง และเคยเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่เมืองไทยอยู่เสมอก่อนจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย จึงอยากจะกลับไปร่วมงานพร้อมมารดาอยู่บ้าง
“ไม่ต้องหรอกลูก ตั้งใจทำข้อสอบให้ดีก็พอ แม่ไปก่อนนะลูก”
“หนูไปส่งนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกลูกนิด เดี๋ยวพ่อขับรถไปเอง หนูอยู่บ้านตั้งใจอ่านหนังสือสอบก็พอแล้ว” บิลบอกกับลูกสาวสุดที่รักแล้วเตรียมลากกระเป๋าออกไป
“ค่ะคุณพ่อ ถึงแล้วโทรหานิดด้วยนะคะคุณแม่” หญิงสาวเข้าไปโอบกอดบิดามารดาและหอมแก้มพวกท่านก่อนลาจากกัน “ฝากบอกพี่แก้วด้วยนะคะว่านิดคิดถึงพี่แก้วมาก ถ้าสอบเสร็จแล้วจะรีบตามไปนะคะ นิดอยากเจอหน้าหลานตัวเป็นๆ มากเลยค่ะ”
“จ้ะลูกรัก” บิลตอบแทนภรรยาที่ได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกับอาการข่มกลั้นน้ำตา “พ่อไปก่อนนะ”
เมื่อรถยนต์ที่สามีเป็นคนขับพ้นออกจากรั้วบ้าน น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ของดวงดาวก็ล้นทะลักออกมาอย่างกับทำนบพัง เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นเจียนจะขาดใจเสียใจเหลือเกินที่ต้องสูญเสียลูกสาวคนโตไปอย่างไม่มีวันกลับแบบนี้
“ที่รัก ความตายเป็นเรื่องธรรมดาของทุกคนบนโลกใบนี้นะ” บิลพยายามปลอบใจภรรยาด้วยความสงสาร ด้วยอาชีพของหมอเขาก็ได้พบเจอกับญาติของผู้เสียชีวิตทุกวัน แต่เมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรไปดีกว่านี้
“ถ้าลูกฉันแก่ตายหรือป่วยตายฉันคงไม่เสียใจแบบนี้หรอกค่ะ แต่นี่ลูกฉันฆ่าตัวตาย ตายจากไปแบบไม่รู้สาเหตุว่าทำไม คุณจะไม่ให้ฉันเสียใจได้ยังไงกันคะ”
“ผมเข้าใจที่รัก ผมเข้าใจ” ถึงแม้สิรินดาจะไม่ใช่ลูกสาวที่เกิดจากเขา แต่เขาก็รักและเอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวแท้ๆ คนหนึ่งเพราะได้เลี้ยงมาตั้งแต่เธออายุห้าขวบจนถึงอายุยี่สิบสอง เขาเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“ฉันไม่น่าให้เธอกลับเมืองไทยเลย ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่กับเราเธอคงไม่ตาย”
“อย่าโทษตัวเองแบบนี้สิที่รัก คุณไม่ได้ไล่ลูกไปนะ ลูกเป็นฝ่ายขอกลับไปเองต่างหาก”
ดวงดาวไม่ได้กล่าวอะไรอีกนอกจากร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจกับข่าวการจากไปของลูกสาวคนโต
เมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์
“นิด พวกเราจะไปเที่ยวฉลองสอบเสร็จกันคืนนี้ ไปด้วยกันนะ”
“ขอโทษด้วยนะนิโคลฉันไปด้วยไม่ได้จริง ๆ เพราะฉันต้องไปประเทศไทยคืนนี้”
“ทำไมถึงรีบนักล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“นิดหน่อยจ้ะ ญาติแม่ฉันเสียน่ะ”
“เสียใจด้วยนะ เอาไว้เจอกันหลังจากกลับมานะ”
“บาย” สิริญ่าโบกมือลาให้เพื่อนสนิท เดินไปที่จอดรถจักรยานแล้วปั่นกลับไปยังที่พักที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่ถึงห้ากิโลเมตร
“สวัสดีนิด”
“สวัสดีค่ะคุณโทรส” เธอทักทายตอบเจ้าของหอพักขณะกำลังจะเดินขึ้นบันได
“มีจดหมายถึงเธอนะ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวย้อนกลับไปยังตู้จดหมายของแต่ละห้อง หยิบจดหมายที่ใส่ไว้ในนั้นขึ้นมาดู
“แปลกนะ”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแล้วมองหน้าบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ในห้องกระจกใกล้ๆ “อะไรแปลกเหรอคะคุณโทรส”
“ก็แปลกที่ยังมีคนเขียนจดหมายอยู่น่ะสิ สมัยนี้การสื่อสารอยู่แค่ปลายนิ้วเท่านั้นไม่ใช่เหรอ” เขาพูดพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มๆ ไปบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อบอกใบ้
“พี่สาวฉันคงนึกสนุกก็เลยใช้วิธีโบราณแบบนี้ไงคะ ขอตัวก่อนนะคะ” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างแล้วสาวเท้าขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์
วิโมกข์คือชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดที่ผิดหวังจากความรักอย่างรุนแรง เขากลายเป็นคนอ่อนแอไร้หลัก หมกมุ่นอยู่กับสุรานานนับเดือน แต่หลังจากนั้นก็ได้สติเพราะคำพูดแทงใจของเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง เจ็ดปีต่อมาเขาได้กลายเป็นนายหัวผู้ทรงอิทธิพลในธุรกิจค้าหอยเป๋าฮื้อ และต้องเผชิญหน้ากับอดีตคนรักที่เข้ามาอยู่ในบ้านของเขาอีกครั้ง... ชาร์มมิ่งในวัยยี่สิบสี่ปีเดินทางจากนิวยอร์กสู่สงขลาอีกครั้งหลังจากเจ็ดปีผ่านไป เพราะถูกเพื่อนรักขอร้องให้มาแสดงละครขัดขวางอดีตคนรักของพี่ชาย เธอไม่อยากทำแบบนี้เลยเพราะพอใจที่จะแอบรักเขาไปแบบนี้มากกว่า แต่จะทำไงได้ล่ะ.. ในเมื่อเธอก็ถูกผู้เป็นย่าคอยจับคู่อยู่เรื่อยไป จึงตัดสินใจเลือกในสิ่งที่หัวใจปรารถนา... การแสดงที่มาจากส่วนลึกของจิตใจจริงๆ จึงเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่วินาทีที่เธอเจอหน้าเขา
เธอสุขจนไม่รู้จะสุขยังไง เสียวจนไม่รู้จะเสียวยังไง สุขแล้วสุขเล่า เสียวแล้วเสียวเล่า สุขเสียวจนแทบจะไร้แรงยืนหยัด ต้องโอบแขนกับรอบลำคอแกร่งเพื่อเป็นหลักยึด “คืนนี้จะตามใจฉันทั้งคืนใช่ไหมยอดรัก” “ค่ะ” คำตอบของเธอทำให้เขาพึงพอใจที่สุด จึงจูบปากที่บวมเจ่อนิดๆ นั้นซ้ำอีกหนักๆ ลวนลามร่างนุ่มนิ่มนั้นอย่างย่ามใจ... กว่าจะได้ถูหลังขัดขี้ไคลให้เขา เธอก็ถูกเขาจับขัดดอกไปก่อนจนแทบจะหมดแรง นับเป็นการอาบน้ำที่นานและเสียวสะท้านที่สุดเท่าที่เคยอาบมา…
เขาเหลือบสายตามองแก้มบางที่อยู่ไม่ห่างจากปาก จมูกน้อย ๆ ของนางคลอเคลียอยู่ที่ลำคอของเขาเมื่อก้าวเดิน เขาไม่คิดให้เสียเวลา ลดฝีเท้าในการเดินให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วคิดกำไรด้วยการจูบมุมปากและหอมแก้มของเธออย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็แผ่วเบานุ่มนวล เพราะไม่อยากทำให้นางตื่นจนเสียโอกาส มือไม้ก็ลูบไล้ความนุ่มเนียนจนลื่นมือของผิวแท้ ที่มีเพียงผ้าผืนน้อยปิดกั้นไว้ “สตรีขี้เมามันไม่งาม แต่ข้าก็ชอบถ้าเป็นเจ้า” เขาพึมพำชิดริมฝีปากอวบอิ่ม ประทับจูบลงไปแนบแน่นเมื่อวางร่างของนางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว...
มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดก็คือยมทูตรับส่งวิญญาณ เขารีบตามหาวิญญาณของเธอเพื่อพากลับเข้าร่างโดยเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างก็สายเกินแก้เพราะเขาเจอเธอเมื่อร่างของเธอถูกเผาไปแล้ว ทางเดียวที่จะแก้ไขความผิดก็คือต้องส่งเธอกลับไปในร่างของคนอื่นที่เพิ่งหมดลมหายใจ และด้วยเหตุผลที่เธอเรียกร้องบางประการ จึงทำให้เธอได้กลับไปเกิดใหม่ในรัชสมัยของราชวงศ์หมิง ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีนามว่า "เฟิ่งต้าชวี่" แต่ "เฟิ่งต้าชวี่" ไม่ใช่ดรุณีแรกแย้มไร้เจ้าของ นางเป็นพระชายาที่แสนบริสุทธิ์ของแม่ทัพผู้เกรียงไกร "อ๋องใหญ่เกาหรงซาน" พระชายาที่เขาเขียนหนังสือหย่าทิ้งไว้ในห้องหอตั้งแต่วันแรกที่แต่งงาน แต่เพราะความรักและหน้าที่ของสตรีชาวฮั่น นางจึงทนอยู่อย่างปวดร้าวในตำหนักของเขาตลอด 2 ปีก่อนจะตรอมใจตาย
“เหล่ากง..” หญิงสาวยกมือปิดหน้าอก ชันเข่าขึ้นซ่อนสิ่งที่บ่งบอกความเป็นสตรี ตะแคงตัวหนีสายตาหยาดเยิ้มของเขา “สายตาของท่านทำซินเอ๋อร์ขัดเขินแทบขาดใจแล้ว” “เช่นนั้นเหล่ากงให้มองคืนบ้าง” เขาดึงนางมาสู้สายตา “ซินเอ๋อร์ไม่กล้าหรอก” นางเผลอมองไปแล้ว แม้จะเห็นความใหญ่โตของมันแค่ครึ่งลมหายใจ แต่ก็ทำให้นางตกใจจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
เพราะเพื่อน..เธอจึงต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ เป็นเหตุให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอแอบชอบ ในขณะเดียวกัน เธอเองก็คิดว่าเขาเป็นเกย์ เพราะสถานการณ์บางอย่างเช่นกัน แล้วความวุ่นวายก็บังเกิด เมื่อเธอดัน…หลงรักเกย์ ‘ฮื่อ! เป็นเกย์นะเว้ยไม่ได้เป็นหวัด รักษาวันเดียวจะหายได้ไง สู้ต่อไปศิศิรา ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มีผัวเป็นตัวเป็นตน เพราะงั้นฉันก็ยังมีหวัง เฮ้อ! อย่างมากก็แค่ผิดหวังล่ะน่า’ ***“สาบานได้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่หยุด จนกว่าเรา…จะเป็นของกันและกัน” เขาบอกก่อนจะผละลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขณะที่สองมือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อ สองตาก็ยังไม่ยอมเลื่อนไปจากเรือนร่างขาวโพลนตรงหน้า และไอ้สายตาคมกล้าประหนึ่งเสือรอตะครุบเหยื่อของเขาก็ทำให้เธอหนาวๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก “ไม่! เราพวกเดียวกัน เรากินกันไม่ได้” เธอพยายามเตือนสติ เพราะคิดว่าเขาอาจจะกำลังขาดสติ “แต่ผมเคยกินคุณแล้ว แล้วผมก็ชอบกินคุณ” เขาพูดพลางหลุบตามองไปที่แพนตี้ของเธอ ทำเอาเจ้าของแพนตี้ทำตาโต ไม่แน่ใจในคำว่ากินของเขา ที่สำคัญ…กะๆ กินอะไร “มะหมายความว่าไง”
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY