การไม่ต้องพบเจอกันเป็นเรื่องดีที่สุด จะได้ไม่ต้องเพิ่มความทรงจำ เพราะคนที่จำ เจ็บเสมอ...
การไม่ต้องพบเจอกันเป็นเรื่องดีที่สุด จะได้ไม่ต้องเพิ่มความทรงจำ เพราะคนที่จำ เจ็บเสมอ...
รัมภาดาในชุดเจ้าสาวเปิดประตูแล้วก้าวเท้าออกจากตัวรถ ร่างเล็กเดินตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จในอีกไม่ช้า แล้วมันก็กำลังจะกลายเป็นเรือนหอของเธอ...
ดวงตากลมโตจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างสูงสามชั้นนั้นแล้วกัดฟันกรอด รวบชายกระโปรงสีขาวที่ยาวเฟื้อยขึ้นสูงเพื่อจะได้เดินถนัด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน
“ฉันมาแล้ว... ต้องการอะไรก็บอกมา...” หญิงสาวกดสวิตช์เปิดไฟจนด้านล่างของบ้านสว่างโร่ สายตากวาดมองไปรอบๆ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่ใจคิด เธอจึงมองขึ้นไปยังชั้นบนที่ยังมืดสลัว แล้วตะโกนเรียกหาใครบางคนอีกครั้ง
“แกอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันไม่มีเวลาเล่นตลกกับแกมากนักหรอก ไอ้เศษสวะ” แต่ทุกอย่างยังเงียบสงัด ประหนึ่งว่าเธอกำลังอยู่เดียวดายในบ้านหลังใหญ่ และใครคนที่นัดพบกับเธอนั้น เขาไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง
รัมภาดายิ่งออกอาการโกรธจัด กระทืบเท้าขึ้นบันไดไปยังด้านบน ไล่เปิดไฟทุกดวง ส่งเสียงก่นด่าเกรี้ยวกราด และเดินไปทั่วด้วยความร้อนใจ จนรู้สึกเหนื่อย... แต่ไม่มีอะไรตอบสนองกลับมาเลย ทำให้หญิงสาวคิดว่าตัวเองคงกำลังถูกปั่นหัวเข้าให้เสียแล้ว มันทำให้เธอยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ
“ไอ้สารเลว... มันหลอกเรา เสียเวลาจริงๆ” คิดได้ดังนั้นเธอก็ไม่นึกอยากจะขึ้นไปสำรวจยังชั้นสามของบ้านต่อ แต่ตัดสินใจเดินลงบันไดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด โดยไม่ได้ปิดไฟแม้แต่ดวงเดียว
สองมือเล็กผลักประตูบ้านด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่มันกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย นั่นทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ และออกแรงผลักอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น... ทำไมประตูเปิดไม่ออก” คราวนี้เธอลองใช้กำปั้นทุบจนเจ็บมือทั้งสองข้าง แต่ก็ยังไม่ได้ผล ดรุณีน้อยเริ่มหวั่นใจ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว เหมือนกับมีใครล็อกประตูบ้านจากด้านนอก ทำให้ไม่สามารถเปิดออกได้
“แกใช่ไหมไอ้บ้า... เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ เปิดเดี๋ยวนี้!” รัมภาดาตะโกนลั่น แต่ก็ยังคงได้ยินเพียงเสียงของตัวเอง เธอเริ่มเครียดกับสงครามประสาทของอีกฝ่าย
“กระเป๋ากับโทรศัพท์ก็อยู่ในรถ โธ่เอ๊ย...” เพราะความใจร้อนทำให้ตอนออกจากรถมาเธอไม่ได้หยิบอะไรติดมือมาด้วยเลย และคิดว่าทุกอย่างคงจะจบง่ายๆ เพียงแค่การเจรจาเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว คนที่นัดเธอมากำลังยั่วโมโหให้เธอเป็นบ้า
โครม!
“กรี๊ด!” แล้วจู่ๆ ของบางอย่างจากชั้นบนก็ล้มลงกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นติดๆ กันหลายครั้ง รัมภาดาเต้นเร่า กรีดร้องอยู่ตรงหน้าประตูบานนั้นด้วยความตกใจและตื่นกลัว... ใช่... ตอนนี้เธอกลัวจนหายใจแรงและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ด้วยไม่ได้คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์บ้าๆ อย่างนี้เกิดขึ้น
“แกจะทำอะไร... อยากได้เงินไม่ใช่เหรอ ออกมาสิ... ออกมาคุยกัน ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของแกนะ” สายตาหวาดหวั่นมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดระแวง สองมือกอดตัวเองเอาไว้โดยอัตโนมัติ ตามสัญชาตญาณของคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ
เธอลองผลักประตูอีกครั้ง เมื่อยังไม่ได้ผล หญิงสาวจึงตัดสินใจวิ่งกลับขึ้นไปบนชั้นสอง เพราะลนลานจนทำอะไรไม่ถูก คิดว่าหากขึ้นไปหลบในห้องคงจะปลอดภัยกว่าอยู่ในตัวบ้านโล่งๆ แบบนี้ แต่แล้ว...
“กรี๊ด!”
ไฟทุกดวงพลันดับพรึ่บลงเมื่อเธอพ้นบันไดขึ้นไปถึงชั้นสองของบ้านอย่างที่ตั้งใจ หญิงสาวนั่งทรุดลงกับพื้นด้วยความตกใจกลัว ก่อนจะรีบรวบรวมสติเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ไปให้ได้
กึก... กึก... กึก...
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หญิงสาวหันกลับไปมองและหยุดชะงัก ในตอนนี้เธอไม่ควรเปิดเผยตัว ไม่ควรอยากพบกับใครแล้ว ต่อให้มีความจำเป็นแค่ไหนก็ตาม เพราะอีกฝ่ายอาจตลบหลัง คิดปองร้ายเธออยู่ก็ได้ ถึงได้สร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายมากกว่าจะเป็นผู้ต่อรอง...
รัมภาดาพอจะจำได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงจุดไหน ก็รีบคลำหาตู้โชว์ใบใหญ่แล้วค่อยๆ เดินย่องไปนั่งหลบอยู่หลังตู้ใบนั้น นึกโกรธตัวเองที่รีบร้อนออกจากโรงแรมมา ทั้งที่กำลังลองชุดแต่งงานครั้งสุดท้ายยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายถึงขนาดอาจทำให้งานแต่งวันพรุ่งนี้มีปัญหาได้ จึงอยากเคลียร์ให้จบๆ ไป
เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของไอ้คนสารเลวคนนี้ ก็อาจสร้างความปั่นป่วนให้กับครอบครัวของเธอได้หากทำนิ่งเฉย... แล้วสักวัน เธอจะต้องกำจัดเสี้ยนหนามที่คอยเสียดแทงใจให้กลัดหนองนี้ออกจากชีวิตให้ได้
แต่เธอคงคิดง่ายเกินไปว่าเรื่องจะจบลงด้วยการจ่ายเงิน ดูเหมือน ‘มัน’ จะต้องการมากกว่านั้น ถึงได้พยายามทำให้เธอกลัว และมันก็ได้ผล ตอนนี้จิตใจของเธอสั่นคลอนไปหมด
บ้านทั้งหลังมืดมิด ประตูบ้านถูกปิดจากด้านนอกจนเธอไม่สามารถหาทางออกไปได้ โทรศัพท์ก็อยู่ในรถ ไม่ได้นำติดตัวมาด้วย จึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใคร ทุกอย่างประจวบเหมาะราวกับถูกวางแผนเอาไว้ ในตอนนี้ที่ทำได้ก็คือต้องซ่อนตัวให้รอดพ้นไปจนถึงวันพรุ่ง หรือจนกว่าจะติดต่อใครได้สักคน
เสียงฝีเท้านั้นเดินผ่านไปแล้ว และ ‘มัน’ ก็กำลังตามหาตัวเธออยู่
ต้องรอ... บอกกับตัวเองให้ใจเย็นๆ ในบ้านหลังใหญ่ที่มืดสลัวทุกทิศทาง อีกฝ่ายก็คงมีปัญหากับการมองเห็นเช่นกัน เพียงซ่อนตัวไม่ให้ถูกพบจนกว่าจะหาทางออกไปจากที่นี่ได้ ทุกอย่างก็เรียบร้อย รัมภาดา... ทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดี... “โทรศัพท์...” เธอพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าซึ่งแน่ใจว่ามาจากโทรศัพท์มือถือของเธอเอง “เป็นไปได้ยังไง ก็เราวางไว้ในรถ...” เธอไม่ได้หลงลืมไปแน่ๆ จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบไปแล้ว หญิงสาวก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมจนแน่ใจว่าเสียงเดินของผู้บุกรุกหายลับไปทางอื่นแล้ว จึงลุกย่อง ค่อยๆ คลำทางไปยังห้องนอนอันเป็นที่มาของเสียง ก่อนจะเปิดประตูแล้วรีบมองหา พยายามคิดในแง่ดีว่าคนงานที่มาทำบ้านอาจลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ แต่ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ของใคร มันก็เป็นทางรอดของเธอในเวลานี้
“อยู่ตรงไหนกันนะ...” ขณะนั้นเสียงโทรเข้าก็ดังขึ้นอีก เธอกวาดสายตามองไปตามเสียง “ตรงนั้นเอง ที่ระเบียง...” ร้องออกมาด้วยความดีใจ แล้วรีบก้าวเดินตรงไปยังอุปกรณ์สื่อสารที่เป็นที่มาของเสียง
ยังไม่ทันถึงที่ ทันใดนั้นลมก็พัดโชยเข้ามากระทบผิวเนื้อจนเย็นเฉียบ ร่างเล็กในชุดเจ้าสาวชะงักเล็กน้อย เพราะสิ่งทำให้เธอแปลกใจ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำไมประตูระเบียงห้องนอนถึงเปิดค้างอยู่ แต่เป็นเพราะโทรศัพท์ที่วางอยู่บนพื้นระเบียงเครื่องนั้นเป็นโทรศัพท์ของรัมภาดาจริงๆ
ทำไมมันจึงไปอยู่ที่นั่นได้...
หญิงสาวไม่มีเวลาจะสงสัยอีกต่อไป สองเท้ารีบก้าวตรงไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอยังส่องแสงสว่างวาบ พร้อมกับเสียงเรียกเข้าที่บรรเลงอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อได้เห็นเบอร์โทรที่ปรากฏอยู่บนนั้น ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกโพลง ก่อนสัญชาตญาณจะสั่งให้หันหลังกลับไปมองเงาร่างของคนที่มายืนซ้อนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“แก! ไอ้...”
ตุ้บ!
แรงปะทะที่หนักหน่วง กระแทกเข้าหาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ในหัวของรัมภาดาอึงอลไปหมด ก่อนจะรู้สึกตัวว่าร่างกายของเธอกำลังพลิกหงายไปทางด้านหลัง
“กรี๊ด!”
ในค่ำคืนอันมืดมิด... เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดขีดดังก้องอยู่กลางอากาศเวิ้งว้าง ร่างในชุดเจ้าสาวลอยละลิ่วลงมากระแทกพื้นอย่างแรง ก่อนจะกระตุกสองสามครั้งด้วยความเจ็บปวดแล้วแน่นิ่งไป ปล่อยให้เลือดค่อยๆ ไหลออกมานองพื้น จนชุดแต่งงานสีขาวเปรอะเปื้อนเป็นสีแดงฉาน ไม่มีโอกาสได้สวมใส่มันอีกครั้ง ในวันสำคัญที่แท้จริง ตลอดกาล...
"ไสหัวจากบ้านฉันซะ! แล้วไม่ต้องกลับมาอีกที่นี่ไม่ต้อนรับกาลกิณีที่มีเลือดชั่วๆ อย่างเธอ" "พี่อาร์ม...ปล่อยนะคะพี่อาร์มเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันดึกแล้วจะให้จันทร์เจ้าไปไหนคะ" หล่อนรู้ดีว่าเขาพูดจริงทำจริง ใจดวงน้อยแปลบปลาบหวิวเหมือนจะหลุดลอยไปตามแรงลากดึง อุตส่าห์หลบลี้หนีหน้าไม่ออกไปให้เขาเห็นวายยังถูกตามรังควาญจนได้ และที่สำคัญเขากำลังผลักไสหล่อนออกไปทิ้งข้างถนนหน้าบ้าน "อย่ามาเรียกฉันว่าพี่...ฉันไม่เคยคิดจะนับญาตินับเชื้อกับผู้หญิงกาลกิณีอย่างเธอ อย่าคิดว่ามีคุณแม่ให้ท้ายแล้วจะตีเสมอเป็นเจ้าของบ้านคนนึงได้นะ เพราะต่อไปนี้เธอ! ไม่ต้องเข้ามาเหยียบบ้านฉันอีกแล้ว จะไปไหนก็ไป!!!" ปัง! "ว้าย! พี่อาร์ม!!" ร่างเล็กถูกเหวี่ยงจนกระเด็นติดประตูรั้วที่ยังปิดสนิท แล้วยืนเท้าสะเอวทะมึงถึงจ้องหล่อนราวเป็นสัตว์เดรัจฉานน่ารังเกียจนักหนา "ออกไปซะ...ไม่มีเธอสักคนที่นี่คงสงบสุขมากขึ้น อีกหน่อยฉันจะแต่งงานพาเมียมาอยู่ที่นี่! ฉันไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องเลี้ยงลูกเมียน้อยอย่างเธอไว้เป็นหอกข้างแคร่ทำไม" พรพระจันทร์น้ำตาไหลทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ หัวอกของหล่อนแน่นจุกกับคำถาถางด่าทอต่างๆ นาๆ ที่เขาสรรหามาพ่นพูด ชายหนุ่มจะรู้บ้างไหมว่าหล่อนก็ไม่ได้อยากเกิดมาเป็นแบบนี้ ถ้าเลือกได้หล่อนคงไม่อยากมีชีวิตอยู่เป็นภาระ เป็นตัวปัญหาของใครหรอก....
"รัก" คำที่ไร้ซึ่งตัวตนไม่สามารถจับต้องได้แต่กลับสร้างความสะท้านสะเทือนให้กับทุกคนที่หลงเข้าสู่ห้วงวังวนนั้น ไม่ได้ต่างจากเธอ หญิงสาวซึ่งถูกลวงล่อผูกมัดให้หลงอยู่กับความงดงามเพริดแพร้วหฤหรรษ์ โดยหารู้ไม่ว่าอีกด้านของมันที่มืดมิดทมิฬและเต็มไปด้วยการทำลายล้างจะเผาผลาญเธอให้เหลือเพียงเถ้าธุลีในวันหนึ่ง... เมื่อปฐมบทแห่งการล้างแค้นเปิดฉากขึ้น ความรักอันสวยหรูหวานล้ำ เสน่หาที่ตรึงใจไว้กับร่างกายซึ่งเคยหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกลับกลายเป็นเพียงมายาที่ไร้ซึ่งความความจริงใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวจึงมาเยือน "อรุโณรีย์ วรวงค์นุเดช" หญิงสาวผู้บริสุทธิ์ เพราะเธอเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกชายหนุ่มรูปงามนามทอเลเมียส นิโคไลคัส หลอกใช้เป็นเครื่องมือให้คอยประหัตประหารบิดาของเธอเอง ท่ามกลางความพยาบาทที่ร้อนระอุ แม้แต่เสน่หาที่เคยเพียรป้อนให้กันก็ไม่สามารถดับกระหายความแค้นที่ทับถมอยู่ในใจของชายหนุ่มให้บรรเทาเจือจาง
ผมไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงรักคุณ หัวใจสั่งให้รัก ผมก็รัก ...หรัญย์... ____________ ว่ากันว่า...หากหญิงสาวคนใดได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาว หรือช่อบูเก้ในงานแต่งจะได้สละโสดเป็นคนต่อไป แต่ไม่เคยมีใครบอกหล่อนเลยว่า ผู้หญิงที่รับช่อบูเก้ของหล่อนได้ จะได้ว่าที่ผัวหล่อนไปด้วย!! ชีวิตต้องพลิกผันในชั่วข้ามคืน เมื่อเจ้าสาวหม้ายขันหมากอย่างณธิดาต้องหอบหิ้วหัวใจอันบอบช้ำอุ้มขวดเหล้าทั้งชุดเจ้าสาวซัดเซพเนจรหนีอดีตคนรักสุดโฉดที่ไม่โสดอย่างปากว่า เพราะมีทั้งเมียทั้งลูกมาเดินร่อนรื่นในงานแต่งที่หล่อนควรเด่นหรูที่สุด แต่กลับถูกแย่งซีนจนชุดแพงหมดแสงออร่า แล้วใครจะทน! ความเมาและบ้าบิ่นทำให้ณธิดาพบชายรูปงามท่ามกลางแสงดาวแสงเดือนและคลื่นทะเล หล่อนจึงบอกเขาว่าเมาจนความจำเสื่อมเพื่อให้เขาเอ็นดูอุปการะ ตั้งใจหันหลังให้รักครั้งเก่าที่น้ำเน่าจนเหม็นเขียว หลบลี้หนีหน้าผู้คนมาซบอกพ่อค้าผู้น่ากินกว่าลูกชิ้นปิ้งที่เขาขาย แต่กลายเป็นว่าหล่อนกลับถูกเขากิน! นัวๆ และตั้งชื่อใหม่ตามสินค้าหน้าร้านให้ว่า ‘ลูกชิ้น’ หรัญย์เป็นผู้ชายใจดี รักหมารักแมวและรักโลก ที่สำคัญ...เขาชอบกินลูกชิ้นเป็นชีวิตจิตใจ
เนื้อทองเป็นกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ พออายุได้สามขวบพ่อก็พาเข้ามาทำงานที่ไร่ของนายจ้างเก่าซึ่งผันตัวเองจากผู้รับเหมามาทำปลูกผลไม้ปลูกพืชเกตษรส่งออก เด็กสาวถูกเลี้ยงดูโดยผู้ชายตัวโตๆ ก็คือพ่อเพียงลำพัง ได้รับความเมตตาจาก 'นายใหญ่' และ 'นายผู้หญิง' เป็นอย่างดีเพราะเป็นเด็กฉลาด ช่างพูด พออายุได้หกขวบเจ้าของไร่ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ อัศเวทย์หรือนายแทนลูกชายคนเดียวจึงต้องกลับมาจากเมืองนอกกลางคันทั้งที่ยังเรียนไม่จบเพื่อสานต่อความตั้งใจของบิดามารดา ดูแลไร่แห่งนี้ในฐานะเจ้าของไร่คนใหม่อย่างเต็มตัว เนื้อทองเติบโตมาท่ามกลางสังคมของชาวไร่ชาวสวนที่เป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่ หล่อนจึงไม่ใคร่เรียบร้อยนัก กะโหลกแก่นแก้ว แต่ก็มีความอดทนสูงเหมือนพ่อ หล่อนเรียนรู้ทุกอย่างมาจากผู้ให้กำเนิด จนกระทั่งเมื่ออายุได้สิบสองปี พ่อก็พาหล่อนระหกระเหินไปยังถิ่นฐานอื่นอีกครั้ง เนื้อทองไม่อยากจากไร่ ไม่อยากจากทุกคนที่หล่อนรักไปเลย แต่ก็จำใจต้องตามบิดาที่มีเหตุผลส่วนตัวในการจากไปหนนั้น แต่แล้วหกปีต่อมา 'นายแทน' ก็ตามหาตัวหล่อนและพ่อให้กลับมาทำงานในตำแหน่งหัวหน้าคนงานอีกครั้ง ...พ่อก็ยอมเพื่ออนาคตของหล่อน กลับมาคราวนี้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป นายแทนแต่งงานกับอดีตพยาบาลสาวสวยชื่อพี่หม่อน พี่สาวใจดีที่นิสัยต่างจากนายราวฟ้ากับเหว พี่หม่อน...คือนางฟ้าแสนดีสำหรับเนื้อทอง แต่พี่หม่อนสุขภาพไม่ค่อยดีนายจึงหวงและเป็นห่วงมาก นายรักพี่หม่อน พี่หม่อนก็รักนาย ส่วนเนื้อทอง...เป็นเด็กที่สร้างแต่ความรำคาญหูรำคาญตาให้นายอยู่เสมอจนถูกดุอยู่ร่ำไป แต่ก็ได้พี่หม่อนคอยปกป้องเสมอ การมีพี่หม่อนเป็นช่วงชีวิตที่เนื้อทองรู้สึกมีความสุขที่สุด แต่ความสุขสำหรับหล่อนมันไม่เคยยั่งยืน วันหนึ่งพี่หม่อนก็จากไป...พร้อมๆ กับความเกลียดชังของนายแทนที่มีต่อหล่อนก็ได้ก่อตัวขึ้น เขาพร้อมที่จะทำลายหล่อนเพื่อบรรเทาความคับแค้นในใจอยู่ทุกเวลา... -------------- -------------- “ท้องไส้อยู่ไม่ใช่เหรอ ทำตัวเป็นลิงเป็นค่างให้ดีเถอะ ลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมาเธอเดือดร้อนแน่เนื้อทอง” “...” หล่อนอ้าปากค้าง ใจเต้นระส่ำกับคำพูดของแทน เมื่อคืนหล่อนไม่ได้ถามหมอพงศ์ว่ามีใครบ้างที่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของหล่อนบ้าง แต่ตอนนี้คงไม่ต้องหาคำตอบแล้ว เพราะนอกจากแทน...ก็ไม่มีใครน่ากังวลอีก หรือจะมีก็คงเป็นพ่อของหล่อน ซึ่งเนื้อทองยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อพ่อกลับมา “ถ้ารอดจากกระท่อมร้างท้ายสวนนั้นมาได้...ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ” แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความขมขื่นมากมาย ตลอดสามเดือนที่หล่อนต้องอดทนอยู่ที่นั่น มันเหมือนกับโลกอีกโลกหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนหล่อนไม่ใช่คน... “...” แทนมองด้วยสายตาไม่พอใจนัก แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร “อีกอย่างนะคะนาย ลูกเป็นของเนื้อทองคนเดียวค่ะ” พูดจบหล่อนหันหลังให้เขาแล้วเดินออกจากไป แต่แทนก็คว้าต้นแขนรั้งเอาไว้เสียก่อน “ถึงจะไม่ได้นอนกับเธอแบบนับไม่ถ้วน แต่ฉันก็มั่นใจว่าที่ลูกไปอยู่ในท้องเธอได้เพราะฉันทำ และฉันไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นอย่าแม้แต่คิดทำอะไรโง่ๆ เพราะฉันไม่ยอมแน่”
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เพราะว่า...การช่วยตัวเอง...ในที่ทำงานมันผิด!! “โดนของจริงดีกว่าไหมครับ...แค่นิ้ว...มันคงไม่อาจจะสนองความต้องการของคุณได้” นี่จึงเป็นบทลงโทษที่เธอต้องรับมันไป...โทษฐานที่ทำให้ท่านประธานอย่างเขาจับได้...!!
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
ในคืนวันเกิดอายุยี่สิบสองปี ลี่เฉี่ยนโลว่ถูกแฟนหนุ่มวางยา และไปมีอะไรกันกับซือจิ้นเหิง ผู้ชายลึกลับคนหนึ่งตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นเธอพบว่าครอบครัวเธอถูกทำลายจนไม่มีอะไรเหลือ เธอแต่งงานกับจิ้นเหิง ได้รับการคุ้มครองจากเขา และใช้เขาเพื่อแก้แค้น "ฉันเป็นภรรยาที่ถูกกฎหมายของเขา" แม้ว่าแม่สามีของเธอจะไม่ยอมรับ แม้ว่าแฟนสาวที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาจะตามมาอยู่ด้วยกัน เธอก็ยังคงยืนยันอยู่อย่างนั้น เธอแท้งโดยบังเอิญ แต่เขากลับเข้าใจผิดว่าเธอไม่อยากมีลูกกับเขา และด้วยความเข้าใจผิดต่าง ๆ อีกหลายหย่าง เธอเลือกที่จะกระโดดลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย หลายปีต่อมา เมื่อเธอกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เขาถึงกับตกตะลึง ชายคนนี้ได้สิ่งที่ต้องการจากเธอแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังรังควานและทรมานเธอต่อไป
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด