เพราะต้องการช่วยเหลือน้องสาวของเพื่อน ทำให้ธราเทพต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “เกร็ดแก้ว” เพื่อให้เปรมมิกาได้สมหวังกับคนที่รัก โดยลืมคิดถึงผลที่ตัวเองจะได้รับ เรื่องยุ่งๆ ของเธอและเขาจึงเกิดขึ้น
เพราะต้องการช่วยเหลือน้องสาวของเพื่อน ทำให้ธราเทพต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “เกร็ดแก้ว” เพื่อให้เปรมมิกาได้สมหวังกับคนที่รัก โดยลืมคิดถึงผลที่ตัวเองจะได้รับ เรื่องยุ่งๆ ของเธอและเขาจึงเกิดขึ้น
ตอนที่ 1
ชายหนุ่มร่างหนานามว่า “ธราเทพ” ยืนเอนกายอิงเสาเหล็ก ทอดสายตามองไปยังหญิงสาวร่างสูงโปร่งใส่เดรสสีเงิน ปล่อยชายยาวลงไปตามลำขาเสลา เนื้อผ้าผ่าเล็กน้อย เพื่อคนในจะได้โชว์ผิวนวลลออ บางส่วนของตัวเสื้อและกระโปรงประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กเรียงกันเป็นแถวยาว สะท้อนกับแสงไฟที่ส่องมาขับเน้นความสวยและน่ารักของคนใส่
ธราเทพมองเค้าโครงหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม ปากนิดจมูกหน่อยรับกันไปเสียหมด ตั้งแต่พวงแก้มอิ่มเต็มเป็นสีชมพูด้วยผิวเนื้อนาง ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอน จมูกโด่งได้สันรับกับริมฝีปากรูปกระจับอิ่มเต็มเคลือบด้วยลิปสติกสีชมพูระเรื่อ เรียกได้ว่าหนุ่มใดเดินผ่านจะต้องหยุดและเหลียวมองกลับมาทุกราย
มุมปากหนายกขึ้นเล็กน้อย ‘สวยอย่างนี้นี่เอง เปรมมิกาถึงได้ตกกระป๋อง’
ธราเทพปาบุหรี่ทิ้งทั้งที่เริ่มต้นอัดควันร้ายเข้าปอดได้เพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง ปกติแล้วเขาไม่เคยแตะต้องของเสพติดพวกนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นเหล้ายาหรือบุหรี่ ยกเว้นว่าเครียดจัดจริงๆ ถึงจะใช้มันเพื่อช่วยผ่อนคลายและหาทางออกให้กับตัวเอง ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งดี แต่บางครั้งก็ช่วยให้เขามีทางออกได้เหมือนกัน
ธราเทพอัดลมหายใจเข้าปอดเต็มรัก ก่อนจะเดินไปหาสาวสวยที่ออกอาการรำคาญหนุ่มจอมเจ้าชู้ที่คอยแทะโลม และความจอแจในห้องโถงของโรงแรมที่ใช้จัดงานโชว์อัญมณีเลื่องลือชื่อของประเทศ ซึ่งคราวนี้เลือกที่จะมาจัดงานยังเกาะภูเก็ต จังหวัดที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรื่องของความสวยงามทางทะเลและธรรมชาติ อีกส่วนเพราะต้องการดึงเอานักช็อปให้มาท่องเที่ยวภายในประเทศ
“สวัสดีครับคุณเกร็ดแก้ว”
เมื่อหญิงสาวหันมาตามเสียงเรียก ธราเทพถึงกับตกตะลึง ดูไกลๆ และจากภาพถ่ายที่ได้มา เขาว่าผู้หญิงตรงหน้าสวยแล้ว แต่พอได้เจอหน้าจังๆ เขาถึงกับร้องครางในลำคอ รู้สึกหิวกระหายขึ้นมาอย่างกะทันหัน ผู้หญิงตรงหน้าช่างสวยงามเหมือนกับนางฟ้าที่อยู่บนสวรรค์ ปากคอคิ้วคางช่างเหมาะเจาะกันราวกับรูปปั้นนางอัปสรก็ไม่ปาน
“คะ...คุณเรียกฉันหรือคะ?”
แม้กระทั่งหน้าตามยามที่เธอไม่แน่ใจ คิ้วโก่งได้รูปขมวดเข้าหากัน จมูกโด่งได้รูปเชิดขึ้น ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอแย้มน้อยๆ ทำเอาเขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือก ร่างกายเกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ที่สะกดกลั้นได้อย่างยากเย็นเหลือเกิน
ธราเทพค่อนข้างแปลกใจ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ปลุกความต้องการที่หลับใหลอยู่ในตัวเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายและรวดเร็ว หรือจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงมานาน เกือบจะเป็นปีเห็นจะได้ เพราะมัวแต่ทำงาน แต่...ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะมีผู้หญิงหลายคนหาทางใช้เสน่ห์มารยา ชนิดแอบเข้าไปในห้องนอนเปลื้องผ้าหมายยั่วยวนจับเขาเป็นสามีก็ทำมาแล้ว ความรู้สึกที่เขามีในตอนนั้นคือความรังเกียจและรำคาญ
ชายหนุ่มโกรธตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์เบื้องล่างมามีอำนาจเหนือสติ ขณะที่หญิงสาวเองก็หงุดหงิดจนเก็บอาการไม่ไหว ใบหน้าเริ่มบูดบึ้งหงิกงอ ดวงตาออกแววรังเกียจรำคาญ เหมือนกับเขาเป็นไส้เดือนกิ้งกือ
“คุณเรียกฉันหรือเปล่า”
ถึงเขาจะรู้สึกพึงใจในรูปโฉมที่ชวนมอง สัดส่วนชวนให้เกิดความปรารถนา แต่คำพูดกลับไม่ชวนฟังเลยนิดเดียว
ชายหนุ่มมองใบหน้านวลเนียน เรือนกายโปร่งบาง ก่อนจะสบกับดวงตากลมโตที่เริ่มส่งประกายเกรี้ยวกราดออกมาเรื่อยๆ
ดูท่าผู้หญิงตรงหน้าจะเป็นคนอารมณ์ทั้งร้อนและร้ายใช่ย่อย ดูตาซิ...เขียวปั้ดเชียว ดูงานนี้เขาคงจะต้องรับศึกหนัก ไม่รู้ว่าจะเหนื่อยซะก่อนหรือเปล่า กว่าที่จะปราบแม่เจ้าประคุณจนอยู่หมัด
“เรารู้จักกันหรือคะ” เกร็ดแก้วถามเสียงขุ่น เธอยกมือขึ้นกอดอก รู้สึกแปลกๆ ขนกายลุกชันกับการมองเหมือนไม่ให้เกียรติของชายตรงหน้า เธอถลึงตาใส่ให้รู้ว่ากำลังโกรธนะ แต่ยังไม่อยากด่าให้มันเสียปาก
ธราเทพยิ้มตรงมุมปาก ขนาดแม่เจ้าประคุณขึ้นเสียงใส่เขานะ เสียงยังใสเหมือนกับระฆังเชียว ดีกว่าเสียงแหลมๆ เล็กๆ ราวกับลำโพงงานวัดของผู้หญิงสองสามคนที่คอยตามตื้อเข้าอยู่ที่บ้านเสียอีก
แล้วธราเทพก็เกิดความคิดดีๆ ขึ้น ใบหน้าคมกร้านแดดเพราะทำงานหนักมีรอยยิ้มแต้ม ดวงตาเปล่งประกายวาววับ
อืม...ถ้าเขาทำอย่างที่เพื่อนแนะนำ หากอยากจะไล่พวกสาวน้อยสาวใหญ่ที่หัวใจไม่พึงประสงค์ คนที่ตามติดเหมือนกับแมลงหวี่แมลงวันตามตอมอึพวกนั้นออกไปจากวงจรชีวิตได้ละก็...คุ้มค่าอยู่นะ
“ว่างไงคุณ มัวแต่ยืนยิ้มเหมือนกับคนบ้าอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่มีอะไรฉันจะได้ไปเสียที ป่านนี้คนในงานคงจะคอยแย่แล้ว” เกร็ดแก้วถามและบ่นพึมพำไปในตัว
ตอนแรกเข้าใจว่าพี่สตาฟให้ลูกน้องมาตามไปเปลี่ยนชุด เพราะหลังจากเดินแฟชั่นเสร็จ ด้วยความที่เธอมีอาการปวดหัวเป็นไข้อยู่ก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นมาอย่างฉับพลัน จนต้องรีบหนีความจ้อกแจ้กจอแจออกมาสูดอากาศภายนอก แต่กลับถูกขัดจังหวะจากใครก็ไม่รู้ ดูท่าทางห่ามๆ และเถื่อนๆ ชอบกล คงเป็นเพราะเค้าโครงหน้าที่ดูเข้มอย่างชายไทยแท้ ไหนจะรูปร่างที่บึกบึนแข็งแกร่งนั่นอีก เล่นเอาใจสั่นไหวอย่างไม่ทันจะรู้ตัว แต่พอพูดขึ้นเท่านั้นแหละ อย่างกับพวกบ้านนอก มีแต่กลิ่นโคลนสาบควายหลงมาในเมืองใหญ่ที่มีแต่ความเจริญ ทำให้ขัดลูกหูลูกตาเสียจริงๆ
“จะรีบไปไหนละครับคุณเกร็ดแก้ว อยู่คุยกับผมสักครู่ก่อนซิครับ”
ธราเทพยื่นมือไปคว้าแขนเรียวยาวและดึงเข้าหาตัว เขาสอดแขนรัดเข้าที่สะเอวเล็กคอด โน้มใบหน้าลงไปปิดเรียวปากอวบอิ่มก่อนที่เกร็ดแก้วจะร้องขอความช่วยเหลือ
“อื้อ...อื้อ... (ไอ้บ้า ปล่อยฉันนะ ไอ้คนสกปรก...) ” เกร็ดแก้วเบี่ยงหน้าหนี แต่ริมฝีปากหนาก็ยังตามติด มือที่ยังไม่ถูกจับเอาไว้พยายามยกขึ้นทุบตีและดันกายแกร่งออก เธอพยายามกระทืบเท้าลงไปบนเท้าใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าจะถูกรู้ทันไปเสียทุกทาง ชายหนุ่มสอดขาแข็งแกร่งแทรกระหว่างขาเรียวยาว ชายหนุ่มยังจับมือเรียวไพล่ไปด้านหลัง
‘อืม...หวานดีแฮะ’
ชายหนุ่มขบเม้มกลีบปากนุ่ม พยายามซอกซอนปลายลิ้นล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปากหวังจะขอชิมรสหวานนุ่ม แต่เกร็ดแก้วก็ขัดขืนหนัก นอกจากจะพยายามทำร้ายร่างกายเขา เธอยังพยายามเอาคืนด้วย แต่ธราเทพก็ไม่ยอมแพ้ เขามีวิธีการทำให้หญิงสาวยอมเปิดปากได้
ชายหนุ่มลูบไล้แผ่นหลังเนียนนุ่มที่ปราศจากอาภรณ์ปกปิด เพราะชุดที่หญิงสาวใส่นั้นเว้าลงไปจนถึงบั้นท้าย แต่ก็ยังไม่ทำให้เกร็ดแก้วยอมเผยอปาก เขาจึงเคลื่อนมือด้านหน้าอย่างช้าๆ เพียงถึงเนินเนื้ออกสร้าง...
“อื้อ”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เผลอเผยอปากด้วยตกตะลึง กายสั่นสะท้าน ท้องน้อยเหมือนกับมีลูกไฟร้อนวิ่งวนอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกใครจูบมา แต่ไม่เคยรู้สึกเหมือนเจอแสบวับวาวแบบนี้ แต่...เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น เกร็ดแก้วก็รู้สึกอึดอัดเมื่อเจอกับกลิ่นหอมเอียนๆ ที่แตะบนจมูก ทำ มันชวนให้ง่วงนอน ก่อนดวงตากลมโตจะปิดลง กายโปร่งบางตัวอ่อนระทวย เอนหน้าซบกับบ่ากว้าง
ธราเทพมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขาและเกร็ดแก้ว ส่วนหนึ่งเพราะมันอยู่ลึกเข้ามาด้านใน และอีกหนึ่งคือทุกคนมัวแต่มองอัญมณีตามแท่นที่วางไว้ เมื่อสบโอกาสเขาก็รีบช้อนร่างโปร่งบางเดินลัดเลาะสุมทุมพุ่มไม้ไปทางด้านหลังของโรงแรมที่ใช้จัดงาน ที่ซึ่งเขาจอดรถแอบซ่อนไว้ จัดแจงวางร่างโปร่งบางทำให้ดูเหมือนหญิงสาวกำลังหลับ
‘ขอโทษด้วยนะเกร็ดแก้ว แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ น้องสาวเพื่อนผมก็ไม่สามารถเคลียร์ปัญหาส่วนตัวได้’
ชายหนุ่มปิดประตูรถและรีบอ้อมไปยังฝั่งคนขับ นำรถออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีใครมาเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไรอยู่และแผนการที่วางไว้ก็จะถูกขัดขวาง
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY