“หลายปีมานี้คุณลำบากแย่เลย หัวหน้า ยินดีด้วยนะครับที่ได้กลับบ้าน”
ในงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ ชายหนุ่มที่สวมสูทสั่งตัดพิเศษจ้องมองหลินหลั่งเยี่ยนอย่างอาลัยอาวรณ์
ใบหน้าอ่อนช้อยของหญิงสาวงดงามหมดจด ดวงตาคู่นั้นคมคายราวกับหงส์เย็นชาจนมองไม่เห็นความรู้สึกใด ๆ ในนั้นเลย แม้แต่น้ำเสียงก็เย็นยะเยือก “อืม ฉันไปก่อนนะ”
“หัวหน้า ผมไปส่งครับ” ซูเจิ้งเหวินรีบพูดขึ้นทันที
หลินหลั่งเยี่ยนไม่ได้ปฏิเสธ
พอขึ้นรถ ซูเจิ้งเหวินก็ถามทันที “หัวหน้าครับ คุณกลับไปคราวนี้ เตรียมจะกลับมาบริษัทเมื่อไหร่เหรอครับ? บริษัทของเราไปได้สวยมากเลยนะ”
พวกเขาได้รู้จักกันในโครงการหนึ่ง ซูเจิ้งเหวินรู้ดีว่าหลินหลั่งเยี่ยนในวัยเพียงสิบเก้าปีนั้นมีฝีมือที่น่าทึ่งเพียงใด ดังนั้นจึงชักชวนหลินหลั่งเยี่ยนมาร่วมงานกัน บริษัทที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมาด้วยกันในตอนนี้ได้กลายเป็นอันดับหนึ่งในวงการไปแล้ว
หลินหลั่งเยี่ยนพูดอย่างราบเรียบ “ไว้คิดดีแล้วฉันจะบอกนายอีกที ตอนนี้ฉันแค่อยากกลับบ้านเท่านั้น”
“ได้ครับ ๆ ๆ ผมรู้ว่าคุณคิดถึงน้องสาวของคุณ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ น้องสาวคุณน่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย หลายปีมานี้ ผมมีโครงการดี ๆ ผมก็ยกให้คุณอาของคุณหมดเลยครับ” ซูเจิ้งเหวินทำท่าทางราวกับรอคำชม
หลินหลั่งเยี่ยนและน้องสาวกำพร้าพ่อแม่เมื่ออายุได้หกขวบ หลังจากนั้น คุณอาก็ย้ายเข้ามาดูแลพวกเธอ
หลินหลั่งเยี่ยนพยักหน้า “ขอบคุณมาก”
นิ้วเรียวสวยของเธอสัมผัสจี้รูปดอกซากุระของตัวเอง เมื่อเปิดมันออก ข้างในก็เป็นรูปถ่ายคู่ของพวกเธอ
เธอและน้องสาว
เธอทำหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่บนใบหน้าของน้องสาวเธอกลับมีรอยยิ้มที่สดใสประดับอยู่ เมื่อมองรอยยิ้มของน้องสาว หลินหลั่งเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่ยกยิ้มขึ้นมา
หลังจากพ่อแม่จากไป เธอและน้องสาวก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และน้องสาวก็เป็นเหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อย ๆ ที่คอยให้ความอบอุ่นแก่คนรอบข้าง
ตอนอายุสิบสอง เธอถูกประเทศคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการลับสุดยอด และต้องอยู่ทำงานที่นั่นถึงเจ็ดปี ตอนนี้โครงการเสร็จสมบูรณ์แล้ว ในที่สุดเธอก็จะได้กลับบ้านไปหาน้องสาวเสียที
เงินเดือนส่วนใหญ่ที่ได้จากประเทศเธอก็ส่งไปให้น้องสาวทั้งนั้น น้องสาวของเธอตอนนี้…ก็น่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสุขสบายดีสินะ
ซูเจิ้งเหวินเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของหลินหลั่งเยี่ยน ดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
สาวงามแสนเย็นชาคนนี้ก็ยิ้มเป็นกับเขาด้วยเหรอเนี่ย?
โอ้ พระเจ้า เขาชักจะอยากเห็นหน้าน้องสาวคนนี้แล้วสิ
รถมาถึงหน้าปากซอยหมู่บ้าน
หมู่บ้านนี้สภาพแวดล้อมไม่เลวเลย แต่ละบ้านล้วนมีสวนในตัวด้วย
นี่เป็นมรดกที่พ่อแม่ของหลินหลั่งเยี่ยนทิ้งไว้ให้ ตอนนี้มีคุณอากับน้องสาวอาศัยอยู่
รถที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า หลินหลั่งเยี่ยนจึงไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับรปภ. เธอก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
ที่หน้าบ้านของพวกเธอตอนนี้มีแสงไฟสว่างไสว ทั้งยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะ ๆ
ดูเหมือนว่าน้องสาวจะมีความสุขดี
หลินหลั่งเยี่ยนยังคงมีรอยยิ้มประดับมุมปากขณะที่เดินเข้าไปในลานบ้าน
ในลานบ้านมีบ้านสุนัขหลังหนึ่ง
เธอสังเกตเห็นคนอยู่ข้างบ้านสุนัขได้อย่างรวดเร็ว
ภายใต้แสงสลัวไม่อาจมองเห็นใบหน้าของคนคนนั้นได้ชัดเจน แต่ก็พอจะเห็นได้ว่าเธอกำลังกินอะไรบางอย่างในชามอยู่
ทำไมคนถึงไปอยู่ในบ้านสุนัขได้ล่ะ
หลินหลั่งเยี่ยนขมวดคิ้วฉับ พลางสาวเท้าเข้าไปใกล้
อีกฝ่ายดูเหมือนจะตกใจสุดขีด รีบเข้าไปในบ้านสุนัขทันที
หลินหลั่งเยี่ยนยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก และในวินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาจากคนที่อยู่ข้างใน “อย่าตีฉันอีกเลยนะ ฉะ…ฉันจะไม่ทำผิดอีกแล้ว ฉันจะระวังให้มากกว่านี้……”
เสียงนี้…… คือน้องสาวของเธอ!
ในชั่วขณะนั้น หลินหลั่งเยี่ยนเบิกตาโพลงด้วยความโกรธจนแทบแตกทะลัก เธอรีบดึงคนที่อยู่ข้างในออกมา ในระยะใกล้ แม้จะอยู่ใต้แสงสลัวเธอก็เห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจน
น้องสาวของเธอ หลินรั่วเหมย!
“เธอ……” หลินรั่วเหมยเองก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูคุ้นเคยเช่นกัน ได้แต่จ้องมองเธออย่างตกตะลึง ราวกับว่าไม่กล้าที่จะยอมรับว่าเธอนั้นคือใคร
“เหมยเหมย เป็นเธอใช่ไหม?” คำพูดทุกคำของหลินหลั่งเยี่ยนเปรียบเสมือนคมมีดที่กรีดลงบนหัวใจของเธอ