ช่วงรัชศกเจียซิงปีที่หกสิบ ทหารของแคว้นเป่ยเหลียงได้โจมตีแคว้นเซิ่งถัง จักรพรรดิที่ถูกกักขังอยู่ในวังทรงปลิดชีพพระองค์เอง คนในราชวงศ์ล้มตายกันนับไม่ถ้วน แคว้นเซิ่งถังจึงต้องตกเป็นของแคว้นเป่ยเหลียงนับตั้งแต่นั้นมา
ซึ่งในช่วงเวลาสำคัญนี้ องค์ชายใหญ่ได้ออกมาให้คำมั่นสัญญาว่า หลังจากที่พระองค์ได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว จะรับใช้แคว้นเป่ยเหลียงตลอดไป
ยอมสละดินแดน ชดใช้ค่าเสียหาย แล้วก็ส่งเครื่องบรรณาการให้ทุกปี
ช่วงนั้นเนื่องจากภาระภาษีของแคว้นเซิ่งถังค่อนข้างมาก ประชาชนจึงต้องอยู่กันอย่างทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส
“แอ๊ด……”
หลังจากทหารที่ประตูเมืองผลักประตูที่มีลูกธนูปักอยู่เต็มไปหมดเปิดออก เกี้ยวขนนักโทษคันหนึ่งก็แล่นเข้าไปในเมืองหลวงอย่างช้าๆ
ซูเฉิงอิ้งถูกมัดอยู่ในเกี้ยวขนนักโทษในท่ากางแขนกางขา ผมยาวๆ นั้นกระเซอะกระเซิงไปหมด สายตาก็พร่ามัว
ใบหน้าที่แสนงดงามของนางถูกปกคลุมด้วยฝุ่นโคลนที่เลอะเทอะไปทั้งตัว ผิวหนังและเนื้อที่แผ่นหลังของนางนั้นแตกไปหมด บนแผ่นป้ายระบุโทษที่ยาวสามฟุตเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘กบฏ’
“นางนี่เอง! นางสมคบคิดกับข้าศึกก่อกบฏ ไม่สนใจแคว้นเซิ่งถังเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว!”
“ตอนนั้นที่ตระกูลซูละเมิดคำสั่งทหาร จักรพรรดิองค์ก่อนก็ยังมีพระเมตตา ให้นางรับโทษโดยการสละความบริสุทธิ์ไปแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นเป่ยเหลียง แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะว่า นางจะร่วมมือกับแคว้นเป่ยเหลียง คิดชั่วๆ โดยการพยายามทำให้แคว้นเซิ่งถังไปสู่จุดที่ต้องล่มสลายเช่นนี้!”
“หากไม่ใช่เพราะว่าจักรพรรดิองค์ใหม่กับฮองเฮาทรงยอมรับในข้อเรียกร้องอันไร้เหตุผลเหล่านั้นของแคว้นเป่ยเหลียง แคว้นเซิ่งถังของพวกเราก็คงล่มสลายไปนานแล้ว……”
เหล่าประชาชนต่างก็จ้องมองไปที่ซูเฉิงอิ้งพร้อมกับด่าทอสาปแช่งนางกันด้วยแววตาโกรธเคือง แถมยังปาไข่เน่าและผักเน่าในมือไปที่เกี้ยวขนนักโทษไม่หยุด ประหนึ่งเป็นสายฝนที่ซัดสาดเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น
ที่ตัวของซูเฉิงอิ้งเหม็นคละคลุ้งไปหมด แล้วในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา หัวของนางก็แตกจนมีเลือดไหลออกมา นางพยายามที่จะลืมตาขึ้นและมองดูถนนที่คุ้นเคยในเมืองหลวง มองดูทิวทัศน์ต่างๆ ที่อยู่ในความทรงจำของนาง ร่างกายของนางสั่นเทาไปทั้งตัว ดวงตาที่แห้งผากของนางเริ่มมีน้ำตาคลอขึ้นมาแล้ว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการถูกประชาชนประณาม นางก็ส่ายหัวไปมาอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรง นางไม่ได้ทรยศบ้านเมือง นางไม่ได้ทรยศใครเสียหน่อย……
แต่นางในตอนนี้ แม้แต่เอ่ยปากพูดก็ยังทำไม่ได้แล้วเลย
ริมฝีปากทั้งบนและล่างของนางถูกเย็บปิดสนิทไว้ด้วยด้ายป่านมานานแล้ว
มันปิดสนิทมากจนหนังและเนื้อฉีกขาดเลยทีเดียว
ซูเฉิงอิ้งถูกนำตัวไปยังแดนประหาร เหล่าทหารลากนางลงมาจากรถอย่างป่าเถื่อนมาก แล้วก็กดนางลงบนแท่นประหาร
“ฮ่องเต้เสด็จแล้ว——!”
“ฮองเฮาเสด็จแล้ว——!”
หลังจากมีเสียงตะโกนดังขึ้นมา ประชาชนที่ด่าทอซูเฉิงอิ้งไม่ยอมหยุดในตอนแรกนั้น ต่างก็พากันคุกเข่าลงไปที่พื้น เพื่อให้การต้อนรับจักรพรรดิองค์ใหม่และฮองเฮาองค์ใหม่ที่เสด็จมาถึงแล้ว
ซูเฉิงอิ้งเงยหน้าขึ้นช้าๆ และมองไปยังหญิงสาวที่กำลังเดินลงมาจากราชรถ นางสวมเสื้อคลุมลายนกฟีนิกซ์ที่เป็นประกายระยิบระยับไปทั้งตัว เมื่อเรือนร่างที่งดงามของนางอยู่ใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา มันช่วยเสริมให้นางยิ่งดูงามสง่ามากยิ่งขึ้นไปอีก
นางคือฮองเฮาองค์ปัจจุบันนั่นเอง!
นางมีนามว่าซูเจินเจิน เป็นน้องสาวแท้ๆ ของซูเฉิงอิ้ง!
สายตาของพวกนางทั้งสองคนสบกัน แล้วดวงตาของซูเจินเจินก็สั่นไหว
“ท่านพี่……”
ทันใดนั้นน้ำตาอุ่นๆ ที่คลอเบ้าอยู่ในดวงตาของซูเจินเจินก็ไหลออกมา นางผลักนางกำนัลที่อยู่รอบๆ ตัวออกและเดินโซซัดโซเซเข้ามา แต่แล้วในขณะที่นางกำลังจะเข้าไปใกล้ซูเฉิงอิ้ง จู่ๆ นางก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาและพูดขึ้นว่า “ในที่สุดท่านก็มีวันนี้สักทีนะ”
ซูเฉิงอิ้งกำหมัดแน่น หัวใจของนางเจ็บปวดรวดร้าวอย่างรุนแรง
ซูเจินเจินเอนตัวเข้าไปกอดซูเฉิงอิ้งเอาไว้ แล้วก็กระซิบข้างหูของนาง แสดงท่าทีของผู้ชนะออกมาพร้อมกับพูดว่า “ตอนนั้นที่ตระกูลซูกำลังตกระกําลําบาก ที่องค์ชายใหญ่เลือกให้ท่านพี่ไปแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นเป่ยเหลียง ท่านพี่คิดจริงๆ หรือว่า ที่องค์ชายใหญ่กระทำเช่นนั้นก็เพื่อจะช่วยชีวิตของท่านน่ะ?”
“มันไม่ใช่เลยสักนิด แต่เป็นเพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่องค์ชายใหญ่จะใช้การเขียนจดหมายกับท่านพี่ สอดส่องความเคลื่อนไหวของแคว้นเป่ยเหลียงได้ แล้วองค์ชายใหญ่ก็จะสามารถคิดหาวิธีร่วมมือกับแคว้นเป่ยเหลียงอย่างลับๆ เพื่อโจมตีแคว้นเซิ่งถังอย่างไรเล่า!”
“แคว้นเป่ยเหลียงช่วยให้องค์ชายใหญ่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ส่วนองค์ชายใหญ่ก็ยอมยกที่ดินและจ่ายค่าเสียหายให้”
ขณะที่ซูเจินเจินกำลังพูดอยู่นั้น แขนที่เรียวยาวของนางได้กอดรัดซูเฉิงอิ้งแน่นขึ้น เล็บยาวๆ ของนางก็จิกลึกเข้าไปในบาดแผลที่แผ่นหลังของซูเฉิงอิ้งด้วยเช่นกัน