เขาโทษว่าเป็นความผิดของเธอที่โทรมาตอนเข้ากำลังปั๊มหัวใจคนไข้ ทำให้เขาเสียสมาธิและเสียคนไข้ไป โดยไม่รู้เลยว่าที่เธอโทรหาก็เพราะเธอเองก็กำลังจะเสียบางอย่างไปเช่นกัน
เขาโทษว่าเป็นความผิดของเธอที่โทรมาตอนเข้ากำลังปั๊มหัวใจคนไข้ ทำให้เขาเสียสมาธิและเสียคนไข้ไป โดยไม่รู้เลยว่าที่เธอโทรหาก็เพราะเธอเองก็กำลังจะเสียบางอย่างไปเช่นกัน
“ครูปิ่นคร้าบ ครูปิ่นช่วยด้วยออมสินล้มหัวมีแต่เลือดเลยครับ” ไออุ่นเด็กชายวัยเก้าขวบวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องเรียนในเวลาสิบห้านาฬิกา
“อะไรนะไออุ่น ค่อยๆ พูดแล้วนั่นทำไมเสื้อมีแต่เลือด”
“ออมสินครับครู ออมสินล้มหัวมีแต่เลือดเต็มเลย” เด็กชายตอบพร้อมกับหอบเหนื่อย
“แล้วล้มอยู่ที่ไหน ไออุ่นพาครูไปหน่อย”
“สนามฟุตบอลครับครู”
ปิ่นปินัทธ์ครูสาววัยยี่สิบห้าปีรีบวางการบ้านที่กำลังตรวจอยู่แล้ววิ่งตามเด็กชายไออุ่นไปยังบริเวณสนามฟุตบอลซึ่งตอนนี้เด็กๆ เด็กกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่
“หลบหน่อย ครูปิ่นมาแล้ว”ไออุ่นตะโกนบอกเพื่อน
เมื่อเด็กๆ กระจายตัวกันออกแล้วปิ่นปินัทธ์ก็เห็นว่าตอนนี้เด็กชายออมสินนักเรียนห้องของเธอนั่งอยู่บนพื้นและกำลังร้องไห้ เสื้อสีขาวเปื้อนเลือดเต็มไปหมด
“ออมสินเจ็บตรงไหน เอามือออกก่อนนะขอครูดูหน่อย”
“มันมีแต่เลือดเลยครับครู ผมกลัวผมเจ็บ” เด็กชายร้องไห้จนตัวโยน
“เอาล่ะเด็กๆ ไม่ต้องตกใจนะเดี๋ยวครูจะพาออมสินไปหาหมอพวกเธอก็เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้ว ฝากบอกครูที่อยู่หน้าโรงเรียนด้วยว่าถ้าแม่ของออมสินมารับให้ตามไปที่โรงพยาบาล” ปิ่นปินัทธ์สั่งนักเรียนที่กำลังยืนมุงดูอยู่
“ข้าวฟ่างหนูไปหยิบกระเป๋าและกุญแจรถของครูมาให้หน่อยได้ไหมเดี๋ยวครูจะไปรอที่รถ” เธอสั่งนักเรียนที่เคยใช้งานประจำให้ไปเอาของเพราะข้าวฟ่างจะรู้ว่าเธอเก็บไว้ตรงไหนบ้าง
“ค่ะครูปิ่น”
“ข้าวฟ่างอย่าวิ่งนะเดี๋ยวจะหกล้มอีกคน”
เมื่อสั่งข้าวฟ่างแล้วปิ่นปินัทธ์ก็หันมามองออมสินที่ยังคงร้องไห้อยู่
“ใครมีผ้าเช็ดหน้าบ้างครูขอยืมหน่อย”
“ผมมีครับ” เด็กนักเรียนชายตัวผอมส่งผ้าเช็ดหน้าสีตุ่นๆ ของตนเองให้ครู
“มีผื่นที่มันสะอาดกว่านี้ไหม”
“ใช้ของหนูก็ได้ค่ะครู” เด็กหญิงคนหนึ่งยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ไม่ได้ขาวมากแต่มันก็ยังดีกว่าผืนเมื่อครูให้กับคุณครูสาว
“ขอบใจนะชมพู่ เอาล่ะออมสินเอามือออกเดี๋ยวครูจะกดแผลให้”
“ผมกลัวครับครู เลือดมันจะหมดตัวไหม”
“ไม่หมดตัวหรอกเชื่อครู เอามือออกนะ” ครูสาวค่อยๆ เอามือลูกศิษย์ออกจากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้ากดไปตรงบาดแผล
“เจ็บมากไหม”
“เจ็บครับ”
“เดี๋ยวครูจะพาไปหาหมอนะ ออมสินเดินไหวไหม”
“ผมไม่หาหมอได้ไหมครับครู ผมอยากกลับบ้านอยากไปหาแม่ ไปหายาย”
“ไม่หาหมอได้ยังไงเลือดออกเยอะขนาดนี้ เมื่อกี้บอกว่ากลัวเลือดจะหมดตัวไม่ใช่เหรอไปโรงพยาบาลกับครูก่อน เดี๋ยวครูจะโทรบอกแม่ให้เอง”
“ครับครู”
ปิ่นปินัทธ์พาลูกศิษย์เดินมายังรถของตนเอง ก็พอดีกับข้าวฟ่างถือกระเป๋าและกุญแจรถมาให้
“ขอบใจมากนะข้าวฟ่างหนูก็เตรียมกลับบ้านได้แล้ว”
“หนูขอไปกับคุณครูได้มั๊ยคะ”
“จะไปได้ยังไงล่ะเดี๋ยวแม่ข้าวฟ่างก็มารับแล้ว”
“แต่หนูกลัวออมสินจะตาย”
“ไม่ตายหรอกข้าวฟ่างแค่นี้เองหนู ไปเตรียมกระเป๋ามารอแม่เถอะเดี๋ยวสี่โมงแม่ก็จะมารับแล้ว”
“ค่ะครู”
ระหว่างขับรถมาโรงพยาบาลเด็กชายก็ร้องไห้งอแงจนเธอไม่แทบจะไม่มีสมาธิขับรถ
“ออมสินหยุดร้องก่อนถ้ายังร้องแบบนี้ ครูจะไม่พาไปโรงพยาบาลแล้วเลือดจะไหลหมดตัวนะ”
“ผมเจ็บ ผมกลัวครับครูปิ่น”
“ไม่ต้องกลัวครับ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้วนะ ออมสินเป็นคนเก่งไม่ร้องนะครับ” ปิ่นปินัทธ์ขับรถไปด้วยปลอบลูกศิษย์ไปด้วย ตอนนี้รถติดมากเธอใช้เวลาสิบห้านาทีก็พากันก็มาถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้โรงเรียนมากที่สุด
หญิงสาวจอดรถบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินก็มีเจ้าหน้าที่เข็นรถมารอมารอรับ
“เด็กเป็นอะไรครับครู” เจ้าหน้าที่แผนกรับส่งผู้ป่วยจำได้ว่าเธอคือครูที่ประจำอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งเคยพาเด็กมารักษาที่นี่อยู่บ่อยๆ
“เด็กหัวแตกค่ะ” ปิ่นปินัทธ์บอกแล้วรีบลงจากรถมาช่วยพาลูกศิษย์ของตนเองไปนั่งบนรถเข็น
"ออมสินเข้าไปข้างในก่อนนะครับเดี๋ยวครูเอารถไปจอดแล้วจะตามไปนะ”
“ผมกลัว”
“ไม่ต้องกลัวครับพี่เวรแปลเขาใจดี”
“ไปกับพี่นะครับ เข้าไปหาหมอกันนะ”
“ฝากด้วยนะคะฉันขอเอารถไปเก็บแล้วจะโทรแจ้งผู้ปกครอง เด็กมีประกันโรงเรียนนะคะ ชื่อตามเสื้อที่เขาใส่ค่ะ”
หญิงสาวขับรถไปจอดยังบริเวณด้านหน้าซึ่งโชคดีว่ามันยังมีที่ว่างเหลืออยู่ หลังจากจอดรถแล้วหญิงสาวก็โทรศัพท์ไปบอกแม่ของเด็กชายออมสิน
“คุณแม่น้องออมสินใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ คุณครูมีอะไรหรือเปล่าคะ แม่กำลังจะไปรับออมสินหรือว่าคนอื่นเขากลับหมดแล้ว”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ ครูปิ่นจะโทรมาบอกเรื่องออมสิน”
“ออมสินทำไมคะ”
“คือออมสินเขาหกล้มหัวแตกค่ะ ตอนนี้ครูพามาโรงพยาบาลแล้วค่ะ”
“อะไรนะคะครู” มารดาของออมสินตกใจและเป็นห่วงมาก
“คุณแม่ใจเย็นๆ นะคะตอนนี้ออมสินถึงโรงพยาบาลแล้วครูจะโทรมาบอกให้คุณแม่มารับออมสินที่นี่ค่ะ คุณแม่ขับรถดีๆ นะคะไม่ต้องรีบ”
“แล้วออมสินเป็นอะไรมากไหม เขาสลบหรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ ออมสินยังพูดได้คุยได้เพียงแต่ร้องไห้เพราะกลัวเลือดนิดหน่อยค่ะ คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ”
“ลูกชายของแม่ไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ใช่ไหมคะครูปิ่น”
“ไม่หรอกค่ะเขาแค่มีเลือดออกครูดูแล้วแผลไม่ได้ลึกอะไร คุณแม่ไม่ต้องตกใจนะคะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวแม่จะรีบไปเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะครูที่โทรบอก”
ความผิดพลาดในคืนนั้นทำให้ชีวิตของวิรัลพัชรเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำใครคือผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่เขาจำได้และเมื่อรู้ว่าเธอกำลังท้องลูกของเขาชายหนุ่มก็ก้าวเข้ามาในชีวิตเพียงเพื่อต้องการลูกของเธอเท่านั้น
นานนับปีแล้วที่อรณิชาไม่ได้รับความสุขจากสามี เขาอ้างว่าเพราะงานแต่จริงๆ แล้วเขามีคนอื่นโดยที่อรณิชาไม่รู้ หญิงสาวจึงให้เวลาเขาและเธอหนึ่งเดือนเพื่อจัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตคู่ หญิงสาวจึงกลับมาที่เมืองไทย และได้เจอกับอดีตคน รักความสุขความผูกพัน ทางใจในอดีตกับกลายเป็นความสัมพันธ์ทางกายในปัจจุบัน ความใกล้ชิดในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ทั้งสองเผลอใจก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ไม่สนใจทถูกผิดมองแค่บนเตียงเพียงอย่างเดียว
ความสัมพันธ์ระหว่างนายหัวหนุ่มและนักศึกษาสาว ที่ห่างกันทั้งอายุและระยะทางนายหัวหนุ่มจะทำให้เธอรักเขาได้อย่างที่เขารักเธอหรือไม่คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ในคืนที่โดนแฟนเอายาปลุกเซ็กซ์ใส่เครื่องดื่ม เธอขอให้ชายคนหนึ่งช่วย พอเช้ามาถึงได้รู้ว่าเขาคือเพื่อนสมัยเรียนเขาขู่ให้เธอยอมเป็นคู่นอนของเขาโดยบอกว่ามีคลิปในคืนนั้นเธอยอมเพราะคำขู่แต่เมื่อรู้ว่าเขาไม่มีคลิปทุกอย่างระหว่างเขากับเธอก็จบแต่เขาไม่ยอมจบเพราะตอนนี้คิดกับเธอมากไปกว่าคู่นอนไปแล้ว
สายตาที่ประสานกันมันบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้ชายหนุ่มนั้นลืมคำว่าผู้ปกครองกับเด็กในปกครองไปแล้ว **************** หญิงชายสมัยนี้มันเท่าเทียมกันนะบัว เธอคิดว่าจะนอนกับฉันและทิ้งฉันไปง่ายๆ แบบนั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก เธอต้องรับผิดชอบทั้งตัวฉันและความรู้สึกของฉัน
เพราะคู่หมั้นของเธอเป็นต้นเหตุทำให้น้องสาวของเขาเสียชีวิต เธอจึงเป็นหมากตัวสำคัญในการแก้แค้นของเขา แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด กลายเป็นเขาที่รู้สึกผิดและทำทุกอย่างให้หมากตัวนี้เป็นของตนเอง
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY