เมื่อความผิดพลาดของเขาและเธอ ทำให้ทั้งสองได้เด็กมาเลี้ยง เขาได้เลี้ยงเด็กผู้ชาย ส่วนเธอได้เลี้ยงเด็กผู้หญิง แล้วทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งสี่ปีผ่านไป ทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้ง ด้วยเงื่อนไขวุ่นๆของครอบครัว
เมื่อความผิดพลาดของเขาและเธอ ทำให้ทั้งสองได้เด็กมาเลี้ยง เขาได้เลี้ยงเด็กผู้ชาย ส่วนเธอได้เลี้ยงเด็กผู้หญิง แล้วทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งสี่ปีผ่านไป ทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้ง ด้วยเงื่อนไขวุ่นๆของครอบครัว
เรื่อง...ดวงใจคุณหมอ
โปรย
เมื่อความผิดพลาดของเขาและเธอ ทำให้ทั้งสองได้เด็กมาเลี้ยง เขาได้เลี้ยงเด็กผู้ชาย ส่วนเธอได้เลี้ยงเด็กผู้หญิง แล้วทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งสี่ปีผ่านไป ทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้ง ด้วยเงื่อนไขวุ่นๆของครอบครัว
แนะนำตัวละคร
คู่ที่ 1
นาธาน // คุณหมอหนุ่มสุดหล่อ นิสัย ขี้เล่น อารมณ์ดี ขี้อ่อย ปากกับใจตรงกันสุดๆ คิดอะไรก็ดูออกไปแบบนั้น รักลูก รักเมีย รักครอบครัว
น้ำผึ้ง // หญิงไทย ตัวเล็กใบหน้าหวานสวย นิสัย ใจแข็ง ปากร้ายแต่ใจดี
คู่ที่ 2
ลูคัส // พี่ชายของนาธาน เขาเป็นผู้ชายสุขุม ไม่เจ้าชู้ เพราะเงื่อนไขของผู้เป็นบิดาจึงทำให้เขายอมแต่งงานกับแฟนสาวที่คบกันมาถึงสองปี เพียงเพราะแค่อยากจะรักษาแชมป์
มุกดา // เธอสวย น่ารัก ขี้อาย ผู้หญิงธรรมดาแถมบริสุทธิ์ผุดผ่อง ฐานะดี ครอบครัวเพียบพร้อม
คู่ที่ 3
โซเฟีย // เพลย์บอยตัวพ่อ เจ้าของผับหรู ไม่คิดจะมีแฟน ชอบซื้อผู้หญิงกินเป็นที่สุด แต่ในเช้าวันหนึ่งที่เขาตื่นขึ้นมา เขากลับรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกผู้หญิงซื้อ...
ริตา // ชีวิตคู่ที่ไม่สมหวังอยากที่ตั้งใจ มันทำให้เธอตัดสินใจทำเรื่องบางอย่างลงไปเพราะความเมา แล้วการตัดสินใจของเธอในครั้งนั้น มันกลับทำให้เธอได้เจอกับรักแท้
------------------
ตอนที่ 1 เมา
@ผับหรูชื่อดังกลางใจเมือง
นาธาน ชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วนใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เดินเข้ามาด้านในสถานบันเทิงด้วยท่าทางเคยชินเหมือนทุกครั้งที่เขามักจะแวะเวียนมาเที่ยวที่นี่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน
สถานบันเทิงแห่งนี้ เจ้าของชื่อโซเฟีย สถานะของทั้งสองคือเพื่อนกัน ในยามที่นาธานรู้สึกเบื่อหน่ายหรือเหนื่อยล้าจากการทำงาน ที่นี่ก็คือที่ผ่อนคลายความเครียดชั้นดี เขามักจะมานั่งเล่นที่สถานบันเทิงแห่งนี้เป็นประจำ
“ไอ้หมอทางนี้โว้ย” โซเฟียโบกไม้โบกมืออยู่ไกลๆ นาธานจึงเดินเข้าไปหาเพื่อนที่โต๊ะนั้น พอไปถึงเขาก็ทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาอีกตัวทันที
“สบายดีนะ” นาธานยกคิ้วทักทายเพื่อนนิดหน่อย จากนั้นเขาก็กระดิกนิ้วเรียกเด็กเสิร์ฟ
“ไงมึง ลมอะไรหอบมึงมาที่นี่ได้วะ หายหน้าไปนานเลยนะ” โซเฟียเอ่ยขึ้น พร้อมกับนิ้วที่คีบบุหรี่ควันฉุย
“ก็แค่เบื่อๆ” นาธานตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“น้อง...เหมือนเดิม” นาธาน ดีกรีคุณหมอหนุ่มสุดหล่อลูกชายคนเล็กของเจ้าของโรงพยาบาลพ่วงด้วยตำแหน่งผู้บริหารและอาจารย์หมอสุดเท่ แถมยังโสดสนิท อายุตอนนี้อยู่ที่ยี่สิบเก้าปี ถึงเขาจะทำงานแล้ว แต่เขาก็ยังรักสนุก ชีวิตยังต้องการสีสันเสมอ
“ค่ะ” เด็กเสิร์ฟเมื่อได้รับออเดอร์จากแขกเจ้าประจำ เพื่อนสนิทของผู้เป็นเจ้านาย เธอก็เดินออกไป แล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง ในมือถือถาดที่มีเหล้าน้ำแข็งและกับแก้มมาวางลงบนโต๊ะ แล้วจัดการบริการชงให้ด้วย ก่อนที่จะเดินออกไปอีกครั้ง
“ไม่พาไอ้ลูคัสมาด้วยวะ” ลูคัสก็คือพี่ชายของนาธาน อายุห่างกันไม่มากแค่สองปีเท่านั้น
“ขี้เกียจชวน เห็นมันยุ่งๆ” นาธานตอบตัดบท เขากับพี่ชายไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งนาธานและลูคัสต่างชอบแข่งขันกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือเรื่องงาน
จนบางครั้งนาธานแอบรู้สึกเหม็นขี้หน้าพี่ชายอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะส่วนมากคนที่ชนะก็คือลูคัส ส่วนนาธานเองน้อยครั้งมากที่เขาจะเอาชนะพี่ชายได้ ถึงคนอื่นจะมองว่านาธานทั้งเก่งและยังหน้าตาดี แต่ลูคัสกลับดีกว่านาธานทุกเรื่องไม่ยกเว้นแม้แต่หน้าตา
เรื่องพวกนี้จึงทำให้นาธานไม่ค่อยอยากจะญาติดีกับพี่ชายสักเท่าไหร่นัก แต่ทั้งสองพี่น้องต่างก็รู้กันดีว่ารักกันมากขนาดไหน แต่เรื่องศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย มันยอมแพ้กันไม่ได้ ถึงนาธานจะเป็นผู้แพ้มาตลอด แต่เขาก็แพ้อย่างมีศักดิ์ศรี เพราะทุกครั้งที่แข่งขันกันนาธานมักจะทำเต็มที่เสมอ
@ อีกมุมหนึ่งของผับแห่งนี้
มีหญิงสาวใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อยมองรวมๆแล้วเธอสวยน่ารักเลยทีเดียว กำลังเมามายเพราะว่าเธอเพิ่งจะอกหักมาหมาดๆ ตอนนี้เธอกำลังเสียใจมาก คนรักของเธอที่คบกันมานาน ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น ต่อหน้าต่อตา เพียงเพราะเธอปฏิเสธไม่ให้เขามีอะไรกับเธอ เพราะอยากจะเก็บพรหมจรรย์อันแสนมีค่าของผู้หญิงไว้ให้เขาในคืนวันแต่งงาน
“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย สักวันพี่จะต้องโดนทิ้งบ้าง ฮึก…” คนอกหักที่เริ่มจะเมามาก เริ่มพูดจาเลอะเทอะ ทั้งบ่น ทั้งด่า แล้วเธอก็กำลังร้องไห้ไปด้วย
เธอชื่อน้ำผึ้ง อายุยี่สิบสามปี ชีวิตของเธอมีพี่ชายคนเดียว ที่เป็นญาติของเธอคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่บนโลกใบนี้ แต่พี่ชายของเธอมีภรรยาแล้ว และตอนนี้พี่สะใภ้ของเธอก็กำลังท้องแก่ใกล้คลอด โดยตัวของเธอเองก็พักอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังเล็กๆหลังนั้นด้วยกัน
“น้ำผึ้ง แกจริงๆด้วย แกมากับใครเนี่ย แล้วทำไมถึงได้เมามากขนาดนี้” ริตาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของน้ำผึ้ง เดินเข้ามาในสถานบันเทิงแห่งนี้ เห็นน้ำผึ้งพอดีจึงรีบแวะเข้าไปทักทายทันที สภาพของน้ำผึ้งตอนนี้ที่ริตาเห็น ดวงตาแดงกล่ำเหมือนคนกำลังร้องไห้อยู่ด้วย ท่าทางเมามากพอสมควร
“ริตา...เหรอ ฉันมาคนเดียว...” น้ำเสียงของน้ำผึ้ง บ่งบอกว่าตอนนี้เธอกำลังเมา เธอดื่มไปได้แค่สองสามแก้วเธอก็เมามากแล้ว เพราะเธอไม่เคยดื่มของพวกนี้มาก่อนเลย
เพราะความเสียใจที่เธอรู้สึกแย่อยู่ตอนนี้ ทำให้เธอตัดสินใจดื่มมัน เพราะคิดว่ามันจะสามารถช่วยให้เธอลืมเรื่องที่เธอกำลังทุกข์ใจออกไปได้ ถึงมันจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆหรือได้แค่ชั่วพักชั่วครู่แต่เธอก็อยากจะลืม
ผู้ชายที่เธอรักและไว้ใจเขาที่สุด กลับพาผู้หญิงคนอื่นไปนอนด้วย ซึ่งเธอเห็นเองมากับตา มันทำให้เธอรับไม่ได้ แล้วเธอก็บอกเลิกกับเขาทันที พอบอกเลิกแล้วก็คิดว่าตัวเองน่าจะดีขึ้นแต่เปล่าเลย เธอจึงต้องพาตัวเองมานั่งอยู่ที่ผับแห่งนี้ เพราะว่ามันกลุ้ม แต่ถึงความรู้สึกของเธอจะทุกข์มากขนาดไหน เธอก็ไม่มีวันกลับไปหาผู้ชายมักมากคนนั้นอีกแน่
“แล้วเป็นอะไร ทำไมถึงได้ดื่มหนักขนาดนี้ แล้วนี่ร้องไห้ด้วยเหรอ” ริตารีบนั่งลงข้างๆเพื่อนทันที แล้วส่งสายตาบอกให้แฟนของเธอที่มาด้วยกัน เดินไปนั่งตรงอื่นก่อน เธอขอคุยกับเพื่อนของเธอสักพักแล้วจะตามไป
“ฮึก…พี่ชาญเขาไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น ฉันเห็นมากับตาเลย ฮึก...ฮึก” น้ำเสียงของคนเมาปนกับเสียงสะอื้น ทำให้ริตาสงสารเพื่อนเข้าไปอีก
“เฮ้ยจริงดิ ใจเย็นๆก่อนนะแก ดื่มไปมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาหรอก ก็ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่าผู้ชายน่ะ ร้อยทั้งร้อย มันก็อยากได้เรื่องนั้นกันทั้งนั้นนั่นแหละ” ริตาพอจะรู้สาเหตุของเรื่องแล้ว เพราะริตากับน้ำผึ้งสนิทกันมาก เธอสองคนคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ริตาจะไม่โทษว่าเป็นความผิดของน้ำผึ้ง ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษผู้ชายที่เห็นแกตัวคนนั้นมากกว่า
“แต่ฉันจะเก็บไว้ให้พี่เขานะ ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจฉันบ้าง ฮึก…” คนเมาพูดออกมาอย่างต้องการระบายความในใจ
“แกน่ะมันโลกสวยเกินไป เรื่องคืนวันแต่งงานอย่างที่แกคิดน่ะ สมัยนี้มันไม่มีอยู่จริงแล้ว” ริตาเอ่ยบอกเพื่อนเป็นครั้งที่ร้อย แต่น้ำผึ้งก็ยังคงยืนยันคำเดิมมาตลอด ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่ผู้หญิงจะคิดแบบนั้น แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งสองคนศีลไม่เสมอกัน หรือผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ได้รักน้ำผึ้งจริง แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เลิกกันก็อาจจะดีกว่าไปกันต่อก็ได้
“ฉันผิดด้วยเหรอวะ” เสียงสะอื้นกับคำพูดตัดพ้อบ่นอู้อี้อยู่ในลำคอ แต่ริตาก็พอฟังออกว่าเพื่อนพูดอะไร
“แกไม่ได้ผิดหรอกเพื่อน” ไหนๆเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว อาการอกหักแบบนี้ ถ้าจะให้ดีขึ้นคงต้องใช้เวลาอย่างเดียวเท่านั้น ถึงจะรักษาแผลใจได้
“แล้วยังไง ได้เคลียร์กันหรือยัง เขาจะเลือกแกต่อหรือเปล่า” ริตาเป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนมาก ดูจากอาการตอนนี้แล้วน่าจะหนักพอสมควร
“ผู้ชายเฮงซวยแบบนั้น ต่อให้พี่เขาเลือกฉัน ฉันก็คงไม่เอาแล้วแหละ เลวขนาดนั้นใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ!” เมื่อริตาได้ยินในสิ่งที่เพื่อนพูด ริตาเชื่อว่าอีกไม่นานเพื่อนของเธอก็คงจะเข้มแข็งขึ้นและหายเศร้าได้ไม่ยาก
“เออ…คิดได้แบบนี้ก็ดี แล้วแกจะมานั่งร้องไห้ทำไมวะ” ดูเหมือนน้ำผึ้งจะเข้มแข็งกว่าที่ริตาคิดเอาไว้มาก ไม่ว่าใครที่อกหักมาใหม่ๆก็คงเป็นแบบนี้กันทุกคนนั่นแหละ
“ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่ามันเจ็บ มันเจ็บตรงนี้เลยแก...” น้ำผึ้งใช้นิ้วชี้ ชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเองให้เพื่อนดู อยากระบายความในใจให้เพื่อนรู้ ว่าเธอรู้สึกเจ็บตรงนี้มากขนาดไหน
“เอาเถอะ เดี๋ยวแกก็หายแต่มันอาจจะต้องใช้เวลา” ในขณะที่ริตานั่งคุยกับน้ำผึ้งอยู่นั้น สายตาของริตาก็มองไปทางที่แฟนหนุ่มของเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไปไกลพอสมควรอยู่บ่อยครั้ง
“แล้วแกมากับใคร” น้ำผึ้งเอ่ยถามเพื่อน เพราะเมื่อสักครู่น้ำผึ้งไม่ทันได้มองว่าริตามากับใคร น้ำผึ้งรู้สึกว่าริตากำลังมองไปที่ใครสักคน
“ฉันมากับแฟน เขานั่งอยู่โต๊ะโน้นไปนั่งด้วยกันไหม” ริตาเอ่ยชวนเพราะเห็นว่าเพื่อนนั่งอยู่คนเดียว แล้วก็ยังเมามากอีกด้วย
“ไม่ล่ะ แกไปเถอะ ฉันไม่อยากจะไปเป็น กขค.”
“แล้วแกจะนั่งอยู่คนเดียวนี่นะ” ริตายังคงรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนอยู่มาก แต่คนที่มากับเธอก็สำคัญเช่นกัน
“เถอะน่า อีกแป๊บเดียวฉันก็จะกลับแล้ว แกไปเถอะ” ตอนนี้น้ำผึ้งรู้สึกมึนหัวมาก เธอกะว่านั่งอีกแป๊บเดียว เธอก็จะกลับแล้ว ส่วนเพื่อนของเธอนั้นเพิ่งมา เธอไม่อยากไปนั่งร้องไห้ ให้มันเสียบรรยากาศของคู่รักเขา
“อยู่คนเดียวได้แน่นะ” ริตาเองก็รู้สึกเกรงใจแฟนของเธอที่มาด้วยกันอยู่มาก เพราะเธอทิ้งให้เขานั่งอยู่คนเดียวนานแล้ว เธอจึงตัดสินใจให้เพื่อนนั่งคนเดียว เพราะน้ำผึ้งบอกว่ากำลังจะกลับแล้ว
“ไปเถอะฉันอยากนั่งคนเดียว ไปๆ” น้ำผึ้งรีบไล่เพื่อนให้ลุกขึ้น เธอเองก็เคยมีแฟนจึงเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี
“เออๆ ถ้าอย่างนั้นฉันไปนะ”
“อือ ก็บอกว่าให้ไปก็ไปสิ” หลังจากที่ริตาเดินออกไปแล้ว น้ำผึ้งก็ดื่มเหล้าเข้าไปอีก เมามากจนแทบจะไม่มีสติ เธอจึงเดินโซเซออกมา หวังว่าจะออกมาเรียกแท็กซี่เพื่อที่จะกลับบ้าน แต่เธอยังเดินไปได้ไม่ทันถึงไหน เธอก็สะดุดเข้ากับขาเก้าอี้ซะก่อน จนเธอเซไปนั่งอยู่บนตักของผู้ชายคนหนึ่งเข้าพอดี
คืน One Night Stand ของมาเฟียอิตาลีกับยัยขี้เมา เช้าวันนั้นเธอหายไป เขาจึงออกตามหา แต่เมื่อได้เจอกันเธอกลับจำหน้าเขาไม่ได้
เรื่อง...คุณหมอสะดุดรัก คำโปรย พริ้งพราวเพื่อนลากให้ไปเที่ยวผับแต่เธอดันถูกยาปลุกเซ็กเข้า แล้วบังเอิญมาเจอกับเขา คุณหมอหนุ่มวัย35ปี แล้วคุณหมอจะมีวิธีช่วยเธออย่างไร... แนะนำตัวละคร วายุภักษ์ ภักดีวัฒนากุล (วายุ) อายุ 35 ปี เขาเป็นผู้ชาย ขี้เล่น อารมณ์ดี และที่สำคัญเขายิ้มเก่งมากๆ วายุเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลสาขาที่เชียงใหม่และยังพ่วงด้วยตำแหน่งคุณหมอโรคหัวใจ เขาเป็นลูกชายคนโตของ เจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่มีสาขาอยู่หลายแห่งของประเทศไทย วายุมีความจำเป็นต้องย้ายมาจากสาขาที่เชียงใหม่ เพราะน้องชายที่ประจำอยู่เกิดอุบัติเหตุ วายุเลยมาประจำอยู่สาขาที่กรุงเทพแทนเป็นการชั่วคราว กมลเนตร ธนพัฒน์ธาดา (พริ้งพราว) หญิงสาวบริสุทธิ์ อายุ 24 ปี ทำงานในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ และเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เธอกับเขาอยู่ด้วยกันและค่อยๆ สนิทกัน เหนือเมฆ ภักดีวัฒนากุล (เมฆ) น้องชายคนเดียวของวายุ ตั้งแต่เขาประสบอุบัติเหตุเดินไม่ได้ เขาก็กลายเป็นคนอารมณ์ร้อน พยาบาลพิเศษที่จ้างมาดูแล ไม่มีใครสามารถอยู่กับเขาได้ จนได้มาเจอกับ...ข้าวหอม ศศินาทิพย์ คงเจริญ (ข้าวหอม) พยาบาลจบใหม่ เธออยู่ในช่วงทดลองงาน ถูกทางโรงพยาบาลขอร้องให้ไปดูแลคนป่วยที่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีเงื่อนไข และเงื่อนไขนั้นทำให้เธอยอมตอบตกลงรับทำงานนี้ @@@@@@
เรื่อง...พ่อม่ายกับยัยพี่เลี้ยง คำโปรย...นักธุรกิจหนุ่มลูกติด มีปมชีวิตความใสซื่อและความดีของเธอทำให้เขาสนใจ ส่วนลูกชายที่ไม่ยอมไปโรงเรียนเพราะโดนเพื่อนล้อว่าไม่มีแม่ อยากได้เธอมาเป็นแม่ซึ่งเขาก็เห็นด้วยกับลูกชายเช่นกัน แนะนำตัวละคร คุณอาทิตย์ เจริญเดชาพงษ์ (คุณอาทิตย์) หนุ่มหล่อรวย เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้ากลางใจเมือง และยังมีธุรกิจ ผลิต นำเข้า และส่งออก เกี่ยวกับสิ่งอิเล็กทรอนิกส์ รายใหญ่ที่สุดในประเทศอีกด้วย แต่อาทิตย์เขามีลูกติดชื่อน้องเกียร์เป็นเด็กผู้ชายอายุสามขวบ แม่เสียชีวิตตอนคลอดน้องเกียร์ออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เพราะเธอเสียเลือดมาก นันทิชา มงคลสวัสดิ์ (มิรา) หญิงสาวที่พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ เธอตกงาน ที่บ้านกำลังลำบาก เธอออกหางานทำเพราะต้องส่งน้องเรียน น้องเธออยู่มัธยมต้น เป็นผู้หญิงชื่อลิลิน พ่อแม่เสียไปนานแล้ว เหลือกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านถึงรอดมาถึงทุกวันนี้ได้
ความสวยสะดุดตา ความสดใสสะดุดใจ ปากที่บอกว่ายังไม่อยากมีใคร แต่ในใจกลับอยากได้เธอมาครอบครอง
เรื่อง...อลเวงหัวใจพบรัก คำโปรย รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแค่การแสดง แต่ทุกครั้งที่เธอถูกเนื้อต้องตัว นอกจากเขาจะเสียเงิน ยังเหมือนถูกเธอลวนลามอีกด้วย (เรื่องราวจะอลเวงขนาดไหน ใครได้กำไร ใครขาดทุน ติดตามได้ในเรื่องนะคะ) แนะนำตัวละคร ปราโมทย์ (ปราชญ์) อายุ 32 ปี เจ้าของโรงแรมชื่อดังของจังหวัด เขาหล่อ รวย จึงไม่แปลกที่จะมีสาวๆเข้ามามากมาย แต่เขาไม่ต้องการ จึงอยากหาไม้กันหมาสักคน มากันผู้หญิงพวกนั้นออกไป เมธาวี (เมล์) อายุ 22 ปี พนักงานใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามาทำงานในโรงแรม เธอสวย น่ารัก ขี้งก ความสามารถเรื่องงานไม่มี แต่เรื่องใช้ปากเธอถนัด @@@@@@ นิยายรัก ฟีลกู๊ด ฟินๆ เหมือนเดิมค่ะ
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY