จากยมทูตสู่หัวหน้าแก๊งมาเฟีย ผู้วางแผนยึดครองกะลาแลนด์ด้วยอำนาจแห่งความกาว ภาคต่อของเมื่อผมตาย... แล้วกลายเป็นยมทูต ที่ไม่จำเป็นต้องอ่านต่อกัน
จากยมทูตสู่หัวหน้าแก๊งมาเฟีย ผู้วางแผนยึดครองกะลาแลนด์ด้วยอำนาจแห่งความกาว ภาคต่อของเมื่อผมตาย... แล้วกลายเป็นยมทูต ที่ไม่จำเป็นต้องอ่านต่อกัน
บทนำ
"ยมทูตเจนเก่ากำลังจะไปเกิด ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นยมทูตเจนใหม่ คอยรับดวงวิญญาณมาส่งที่ยมโลก และนำตัวพวกมารมาตัดสินโทษ"
สิ่งที่ท่านยมตรัสบอก ทำให้ผมชะงักไปด้วยอาการนิ่วหน้า เพราะไม่เคยรู้จักมาร รวมทั้งไม่เคยรู้ว่ายมทูตต้องรับผิดชอบถึงสองหน้าที่
"พวกมารคือใครขอรับ?" ผมทูลถามทันทีโดยไม่เก็บไว้ ในเมื่อมันคือสิ่งที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างผมควรต้องรู้
"เหล่าคนชั่วที่หลบหนีไปตั้งกลุ่ม โดยอ้างว่าพวกตนทำความดีมาตลอดชีวิต" คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมนิ่งเงียบไปหลายวินาที
...ผมเคยสงสัยว่าคนอย่างผมเกิดมาทำไม เรื่องราวของผม ชีวิตของผม และลมหายใจของผม เคยถูกทำให้เลือนหายไปในเรือนจำของประเทศที่ผมเรียกมันว่า 'กะลาแลนด์'
อาจโชคดีกว่าคนอื่นนิดหน่อย ที่ผมได้คืนชีพอีกครั้งในฐานะยมทูต เหล่าคนชั่วผู้เคลือบเปลือกนอกด้วยความดีในกะลาแลนด์ ถูกผมส่งลงไปรับโทษในนรกคนแล้วคนเล่า แต่นั่นก็ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนพวกมัน... ทำยังไงพวกมันถึงจะพ้นหูพ้นตาผมไปเสียที!!
...สักวัน... ถ้าผมมีโอกาสได้ไปเกิดใหม่อีกครั้ง และมีอำนาจในมือมากพอจะทำให้พวกมันหายไปจากโลกล่ะก็
"ข้าจะส่งเจ้าขึ้นไปสะสางเรื่องหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์"
และแล้วคำบัญชาล่าสุดของท่านยม ก็เป็นเหมือนแสงแห่งความหวังตรงปลายอุโมงค์ โชคชะตากำลังนำพาผมไปสู่อำนาจ ที่ผมมั่นใจว่าจะเอามาใช้ส่งคนพวกนั้นไปสู่นรกบนดินได้ เหล่าอมนุษย์ในคราบมนุษย์ทั้งหลาย เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ นรกของพวกแก... กำลังจะเริ่มต้น!!
บทที่ 1
ผู้คนในนรกต่างรู้จักผมในนาม 'ยมทูตไมเคิล' แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ชื่อจริงจากบัตรประชาชนตอนเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่มีใครข้องใจว่าเหตุใดผมจึงเปลี่ยนชื่อ พวกเขารู้แค่ว่า ใครที่มันบังอาจเรียกชื่อเก่าของผม เสี้ยววินาทีนั้นคือเวลาตายของมัน
"ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งที่ร้อยแล้วล่ะมั้ง... มานะ จงจำไว้ให้ดีว่า เมื่อไหร่ที่ข้าเห็นเจ้าทำเกินกว่าเหตุ เจ้าจะไม่ได้รับการให้อภัยอีก"
ผมลืมบอกไปว่าที่พูดนั่น ไม่ได้หมายรวมท่านยม หรือถ้าใครคิดว่าไม่เห็นเป็นไร บอสไม่ใช่พ่อ ก็ลองไปทำกันดู
"กระหม่อมให้สัตย์สาบานว่า มันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วขอรับ" ผมทูลสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พูด ไม่ใช่เพราะเกิดสำนึกผิด แต่เพราะนี่คือวันสุดท้ายที่ผมจะได้ใช้ชีวิตยมทูต
"ยูพูดอย่างกับว่า จบภารกิจนี้แล้ว ยูจะไม่กลับมาเป็นยมทูตอีกอย่างงั้นแหละ" หัวหน้านับเงิน หนึ่งในคนที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นของผม ถามขึ้นหลังจากที่ผมถอยออกมาจากหน้าบัลลังก์
...เธอเป็นหัวหน้ายมทูตโซนกะลาแลนด์ เอ่อ... ผมหมายถึงประเทศไทย และเป็นยมทูตเพียงคนเดียวในยมโลกที่สวมเชิ้ตดำสูทดำรัดรูป กับปล่อยผมยาวถึงก้น เป็นสัญลักษณ์ที่แค่มองไกลๆ จากระยะร้อยเมตร ก็รู้ว่าต้องทำตัวยังไงเวลามีชนักติดหลัง
"ไอพูดเผื่อไว้เฉยๆ" ผมทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่ความจริงแล้วคำพูดที่ว่านั่น มีความหมายอื่นแฝงอยู่
"คนอย่างยูเนี่ยนะจะพูดเผื่อไว้ เดี๋ยวๆ แล้วนี่อะไร ภารกิจใหญ่พรุ่งนี้แล้ว จะปล่อยพวกมารสูทขาวให้คนอื่นจัดการบ้างไม่ได้เลยรึไง ยูพึ่งให้สัตย์สาบานกับท่านยมเมื่อกี๊เองนะ ว่าจะไม่ก่อเรื่องอีก" มือซ้ายของหัวหน้านับเงินเอื้อมมาตะปบไหล่ผม และถ้าสั่งให้เล็บมือเล็บเท้างอกยาวได้ดั่งใจ เธอคงผลิตเล็บออกมากระซวกร่างผมตรึงไว้กับพื้นนรกไปแล้ว
"ไอก็แค่อยากไปดูว่าหมอนั่นจะจัดการพวกมารยังไง" ผมตอบด้วยน้ำเสียงปกติ เพราะถึงแม้จะสวมแว่นดำอยู่ แต่ถ้าอีกฝ่ายจับได้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในดวงตาของผมล่ะก็...
"งั้นไอจะไปด้วย ไอก็อยากรู้เหมือนกัน" หัวหน้านับเงินยื่นหน้าเข้ามาจ้องหน้าผม แม้เธอจะสวมแว่นดำที่เป็น 1 ในแอสเซสเซอรี่ของยมทูตเจนใหม่อยู่เหมือนกัน แต่นั่นไม่ได้เป็นเครื่องการันตีความปลอดภัยว่าความลับของผมจะไม่รั่วไหลผ่านลูกนัยน์ตา
"เอาที่ยูสบายใจเลย" ผมยักไหล่ แล้วเบี่ยงตัวเดินนำออกไปด้วยท่าทางปกติ โดยมีหัวหน้านับเงินจ้ำตามมาติดๆ เหมือนกลัวลูกน้องจะหลบหนี
"วันนี้เคสใครนะ นายหิวแสงตาตี่หูกางอะไรนั่นใช่มะ?" หัวหน้านับเงินพูดเหมือนกำลังบอกใบ้เหยื่อรายใหญ่ของพวกเรา ทั้งที่ความจริงแล้ว เธอแค่จำชื่อหมอนั่นไม่ได้
"นายสีสดตลอดวันธรรมดา" ผมบอกชื่อที่เธอจำไม่ได้ชื่อนั้น
"คนบ้าอะไรชื่อสีสดตลอดวันธรรมดา!?"
เสียงทะลุทะลวงแก้วหูของหัวหน้าที่ดังสวนกลับมา ทำให้ผมต้องนึกทบทวนใหม่ว่า เหยื่อรายนี้ชื่ออะไรกันแน่
"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง" ผมไม่สารภาพตรงๆ ว่าคิดไม่ออก แต่ตีเนียนไปตลอดทางที่เราวาร์ปจากนรกขึ้นมายังโลกมนุษย์
...เวลานี้ผมและหัวหน้ากำลังยืนอยู่ตรงทางเข้าตึกแลนด์มาร์คหลังคารั่วแห่งหนึ่ง ที่มักเป็นข่าวว่าเจ้าหน้าที่ต้องเอาถังมารองน้ำฝน ทั้งที่สร้างด้วยเงินหลักหมื่นล้าน... ช่างน่าสมเพช
"พวกมารยังไม่มากันเลย หมอนั่นก็ยังไม่มา" กิริยาเหลียวซ้ายแลขวามองหาเป้าหมายของหัวหน้า ทำเอาผมอดยิ้มมุมปากไม่ได้
"ยังไม่มาหรอก อีกตั้งชั่วโมง กว่าจะถึงเวลาส่งวิญญาณ" คำตอบของผมทำเอาคนฟังหันขวับมาจ้องหน้า แถมยังถลึงตาใส่ชนิดที่มีรังสีอำมหิตส่งผ่านแว่นดำออกมาด้วย
"แล้วยูพาไอมารอตั้งแต่ตอนนี้ทำไมมิทราบยะ!!" เสียงนั้นดังทะลุทะลวงกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อไหร่เธอจะรู้ตัวสักทีว่าถูกผมปั่นหัว
"ยูตามมาเองนะ ไอแค่อยากมาซึมซับความทรงจำเก่าๆ ในประเทศนี้... ก็แค่นั้น" ผมนั่งลงบนสนามหญ้าให้เหมือนกับว่า กำลังพาตัวเองมาพักผ่อนในวันสุดท้ายของการเป็นยมทูต
"คนอย่างยูเนี่ยนะ มาซึมซับความทรงจำเก่าๆ" เธอก้มตัวลงมาดึงแว่นตาดำของผมออก พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาจ้องตา
"เสียใจด้วยนะ ไอไม่หวั่นไหวกับผู้หญิงหรอก" ผมจ้องตอบด้วยแววตาว่างเปล่า เป็น 1 ในวิธีเก็บซ่อนความลับดำมืดที่ไม่อยากให้ใครรู้ และแน่นอนว่ายังไม่เคยมีใครล้วงเอามันออกไปได้
"โอ๊ย!! รู้แล้วล่ะย่ะ อย่าให้ไอจับได้แล้วกันว่ายูตั้งใจจะมาทำอย่างอื่น นอกจากมาดูนายก้อนหินจับพวกมารสูทขาว ไม่งั้นล่ะก็..." หัวหน้าหยุดคำพูดไว้แค่นั้น แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็รู้ดีว่าประโยคต่อท้ายของมันคืออะไร
"เอาที่ยูสบายใจนั่นแหละ" ผมตัดบทด้วยการเอนตัวลงนอนบนพื้นหญ้า แม้ไม่อาจรับรู้ได้ถึงความชื้นเย็นของดินและหยดน้ำบนยอดหญ้า กลิ่นเขียวๆ ของใบหญ้า หรือความอ่อนนุ่มของต้นหญ้า แต่ผมก็รู้ดีว่ากว่าจะมาเป็นสนามหญ้าสวยๆ แบบนี้ คงมีเรื่องราวมากมายระหว่างทาง
...ว่ากันว่าบางครั้งก็ไม่สำคัญว่าปลายทางจะเป็นยังไง เพราะถ้าระหว่างทางมีเงินหกเจ็ดหลักให้สูบเอาไป ก็ถือว่าคุ้มแล้วที่เราตัดสินใจออกเดินทาง
"ยูต้องกลับมานะ กัมพูชาไม่มีอะไรให้ไปลั้นลาหรอก" จู่ๆ หัวหน้าก็พูดเหมือนจะอ่านอะไรบางอย่างจากข้างในดวงตาของผมออก
"ไอก็ไม่ได้ไปลั้นลานี่ ไปทำงานต่างหาก" ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด พร้อมกับสะกดจิตตัวเองไปด้วยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมจะทำหลังจากวันพรุ่งนี้ มัน... คือการทำงาน
ใช่! ก็แค่... เปลี่ยนสถานที่ทำงานในการจัดการพวกอมนุษย์ในคราบมนุษย์
"สังหรณ์ไอบอกว่ายูจะไปทำมากกว่านั้น"
สิ่งที่หัวหน้านับเงินพูดสวนขึ้น ทำเอาผมนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง และเพื่อไม่ให้เธอนึกสงสัย การเนียนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยกลุ่มเมฆสีเทาแก่ คือวิธีที่ผมใช้กลบเกลื่อน
"ยูจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ไมเคิล?"
นี่ถ้าเป็นพวกรุ่นน้อง คงโดนผมเอ็ดโทษฐานเซ้าซี้เรื่องที่ผมไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดไปแล้ว แต่เพราะเป็นหัวหน้า...
"เดี๋ยวฝนก็ตกแล้ว แล้วหลังคานั่น... ก็จะรั่ว" ผมเบนสายตาไปตรงแลนด์มาร์คอลังการงานสร้างชิ้นนั้น โชคดีที่นายสีสดตลอดวันอะไรนั่น กำลังเดินนำบรรดานักข่าวเข้าไปภายในอาคาร เป็นโอกาสให้ผมเปลี่ยนเรื่องพูด
"เหยื่อมาแล้ว อีกเดี๋ยวพวกมันก็คงมา" ผมผุดลุกขึ้นคว้าแว่นดำจากมือหัวหน้ากลับมาสวม ในขณะที่สีหน้าท่าทางของเธอดูจะยังติดค้างอยู่กับคำพูดเรื่องหลังคารั่วของผม
"เป็นอะไร นอนน้อยเหรอ" ผมตัดสินใจหาคำพูดมาเรียกสติเธอ แทนการปล่อยให้เธอยืนครุ่นคิดเรื่องหลังคารั่วอยู่ตรงนี้
"ยมทูตที่ไหนเค้านอนกันล่ะ ยูนั่นแหละ มีเวลาอ่านข่าวหรือไง ถึงได้รู้ว่าหลังคามันรั่ว?" ในที่สุดเธอก็หลุดปากถามออกมาจนได้ ดีแล้ว... ผมเองก็คงไม่สบายใจสักเท่าไหร่ ถ้าหัวหน้าจะไม่เป็นอันทำอะไรด้วยเรื่องนี้
"เปล่า... ประสบการณ์ตรง ไอมารับเหยื่อที่นี่บ่อยจะตาย เข้าไปรอพวกมารข้างในก็ได้ ถ้ายูอยากเห็นเหมือนที่ไอเห็น" ผมไม่พูดเปล่า แต่วาร์ปนำหน้าหัวหน้านับเงินเข้าไปภายในแลนด์มาร์คแห่งนั้น
แน่นอน... ต้องเป็นตรงที่หลังคารั่วอยู่แล้ว ผมจำมันได้ดีทุกจุด
ซ่าาาาาา... ซ่าาาาาา...
ดูฝนฟ้าจะเป็นใจในการอวดโฉมผลงานแลนด์มาร์คหมื่นล้าน เพราะทันทีที่เราเข้ามาภายในอาคาร สายฝนก็ตกกระหน่ำลงมาไม่ลืมหูลืมตา ราวกับอยากให้หลังคารีบสำแดงอภินิหารให้หัวหน้ายมทูตได้เห็นเป็นอัปมงคลลูกตา
ซ่าาาาาาา...
คราวนี้ไม่ใช่เสียงฝนด้านนอก แต่เป็นเสียงน้ำตกจากฝ้าเพดาน... ผมหมายถึงน้ำฝนที่รั่วลงมาเป็นน้ำตกนั่นแหละ
"นะ... นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!?" หัวหน้ายมทูตโซนประเทศไทยยืนอ้าปากค้างให้กับภาพตรงหน้า ราวกับพึ่งได้เปิดหูเปิดตาเห็นอะไรใหม่ๆ ทั้งที่ตัวเธอเองก็มักจะพูดอยู่เสมอว่า... อะไรก็เกิดขึ้นได้ในไทยแลนด์แดนสนธยา
"เรื่องธรรมดาต่างหาก ยูเองก็อยู่ยมโลกมานานกว่าไอ น่าจะชินได้แล้วมั้ง" ผมยืนมองน้ำตกในร่มที่กำลังเพิ่มปริมาณน้ำบนพื้น จนมันไหลนองใกล้เข้ามาถึงจุดที่ผมยืน เป็นเวลาเดียวกับที่ใครคนหนึ่งเดินใกล้เข้ามา
"ผมไม่ห่วงหรอกครับ เรื่องรถทัวร์จะมาลงผม ทำไมผมจะต้องแคร์ ในเมื่อสิ่งที่ผมทำมันถูกต้องแล้ว" คนคนนั้นเดินยิ้มกริ่มนำหน้านักข่าว ผ่านผมกับหัวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และถึงแม้จะพยายามเบี่ยงตัวหลบน้ำฝนที่รั่วลงมา แต่ทั้งเส้นผม แขนเสื้อ และรองเท้าของเขาก็ยังถูกน้ำฝนกระเซ็นใส่
...หึ! ไม่ต้องแคร์ใครเพราะสิ่งที่ทำมันถูกต้องงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เรื่องน่าสมเพชเกิดขึ้นตำตาตรงหน้า ยังไม่เป็นเดือดเป็นร้อน แกมันก็แค่พวกตาชั่งเอียง แค่คนบาปในคราบนักบุญที่พยายามชุบตัวด้วยคุณธรรมจอมปลอม
"คุณไมเคิล มารอตรวจงานผมเหรอครับเนี่ย?"
เสียงของใครอีกคนเบนความสนใจของผมกับหัวหน้าให้หันไปมอง ผู้ชายตัวสูงผิวเข้มในชุดสูทดำแบบยมทูตเจนใหม่ เจ้าของใบหน้าทรงสามเหลี่ยม คางหนา จมูกโด่ง ปากรูปกระจับบาง กับดวงตากลมโตทรงพลังภายใต้กรอบแว่น หมอนั่นคือก้อนหิน ยมทูตที่ผมวางตัวให้มาจัดการพวกมารสูทขาวแทน
"ก็... ทำนองนั้น" ผมตอบสั้นๆ แล้วเหลือบตามองอีกคนที่พึ่งวาร์ปตามมาติดๆ
"รุ่นพี่ไมเคิล เอ่อ... สวัสดีครับ" ยมทูตฝึกหัดดาวเหนือ เจ้าของร่างเล็กกับผิวขาวซีดตัดกับสูทดำที่สวม ยิ้มเจื่อนๆ ให้ผม ก่อนที่ปากเล็กๆ จะกระตุกเป็นเส้นตรง คิ้วหนาปานกลางบนใบหน้ารูปไข่ขมวดเข้าหากันนิดหนึ่ง จมูกเล็กย่นขึ้นอัตโนมัติ ประกายในดวงตาเรียวยาวภายใต้แว่นดำหายไปแทบจะในทันที บ่งบอกความรู้สึกอึดอัดที่ต้องเจอผม
"อืม..." ผมพยักหน้า แล้วเบนสายตากลับไปมองทางนายสีสดตลอดวัน ไม่ใช่เพราะอยากให้คนตรงหน้าหายอึดอัด แต่เพราะไม่อยากพลาดตอนจบของเหยื่อรายสุดท้ายในชีวิตการเป็นยมทูต
"อ๊ากกกกก!!"
เสียงร้องลั่นของคนคนนั้นเรียกให้ทั้งหัวหน้านับเงิน ก้อนหิน และดาวเหนือ หันขวับมามองต้นเสียงตามผมกันเป็นตาเดียว หมายรวมถึงบรรดานักข่าวที่ต่างยืนชะงักตาค้างไปกับภาพคนโดนไฟดูดที่กำลังชักดิ้นชักงออยู่ตรงหน้าด้วย
"ทะ... ทำไงดี ทะ... ท่านสีสดโดนไฟดูด!!"
"ตะ... ตัดไฟ ต้องรีบตัดไฟก่อน!!"
"คัทเอาท์อยู่ไหน ระบบตัดไฟไม่ทำงานเหรอ!?"
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังประสานกับเสียงฝีเท้า รอบข้างเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง วุ่นวาย สะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง และกว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย คนที่เคยนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นอันเจิ่งนองไปด้วยน้ำ... ก็หัวใจวาย สิ้นชีพในสภาพใบหน้าบิดเบี้ยว บ่งบอกความทรมาน
แต่... ไม่ทันที่ก้อนหินจะพาเหยื่อในความรับผิดชอบของผมลงไปรับการพิจารณาโทษในนรก
"ถึงจะมากันเยอะ ข้าก็ไม่กลัวหรอกจะบอกให้ พวกหมาหมู่!" ผู้ชายผิวเข้มหัวเกรียนวัยยี่สิบต้นๆ ในชุดสูทขาววาร์ปมาขวางหน้าพวกเราไม่ให้เข้าไปควบคุมตัวดวงวิญญาณที่กำลังหลุดจากร่างของนายสีสด ในมือของมันถือเลื่อยยนต์ที่ยังไม่ได้สตาร์ท แทนที่จะถือดาบหรือหอกเหมือนอย่างทุกที
ไม่แน่... เจอกันคราวหน้าพวกมันอาจจะเปลี่ยนมาถือเครื่องตัดหญ้า หรือไม่ก็แส้สายยางสีเขียวก็เป็นได้
"อะไรๆ อย่างนาย... แค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว" ก้อนหินเรียกเคียวออกมาควง พร้อมกับพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงนาน ตรงข้ามกับหัวเกรียนสูทขาวที่ยังยืนสตาร์ทเลื่อยยนต์
"บัดซบล้าว... ลืมเติมน้ำมัน" มันเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะขำเหมือนไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเท่าไหร่ ซ้ำยังตั้งท่าจะวิ่งหนี ทั้งที่ยังไม่ทันได้เริ่มสู้ อ้อ... พวกมือใหม่สินะ ถึงลืมว่าตัวเองวาร์ปได้
"จะไปไหนไม่ทราบครับ!!" ดาวเหนือวาร์ปไปยืนดักหน้า ทำเอามันชะงักที่มีคนรู้ทัน เปล่าหรอก... แค่ยมทูตฝึกหัดนั่นเคยลืมว่าตัวเองวาร์ปได้เหมือนกันก็เท่านั้น
"ถอยไปนะเฟ้ย!! ยังไงข้าก็ต้องพาวิญญาณนี่กลับฐานตามคำสั่ง" หัวเกรียนยกเลื่อยขึ้นบังหน้าเหมือนจะใช้ป้องกันตัวเฉยๆ ดูเหมือนหลังการกวาดล้างแก๊งมารสูทขาว พวกมันจะหาสมาชิกรุ่นใหม่ไม่ได้ ถึงขั้นที่ต้องเที่ยวว่าจ้างให้ดวงวิญญาณเร่ร่อนมาเป็นสมัครพรรคพวก ผลที่ได้เลยออกมาเป็นแบบนี้
...แก๊งมารสูทขาวคือใคร? พวกมันก็คือเหล่าคนชั่วที่หลบหนีการส่งวิญญาณของยมทูต ไปตั้งกลุ่มโดยอ้างว่าพวกตนทำความดีมาตลอดชีวิตยังไงล่ะ
"นายไม่กลัวเหรอ ว่าทำแบบนี้แล้วบัญชีหนังหมาของตัวเอง มันจะบันทึกกรรมชั่วยาวเป็นหางว่าวหนักขึ้น อาจจะต้องใช้กรรมในนรกไม่ได้ผุดได้เกิดเลยก็ได้ โทษฐานขัดขวางยมทูตในการปฏิบัติหน้าที่"
คราวนี้คำพูดของก้อนหินทำเอามันชะงัก
"จะ... จะ... จริงดิ!?" ชายหัวเกรียนย้อนถามตะกุกตะกัก พลางหันรีหันขวางมองผมที มองก้อนหินที มองดาวเหนือที มองหัวหน้านับเงินที แต่ไม่ทันที่ใครจะได้ตอบอะไร
"เจ้าโง่! ปล่อยให้พวกมันหลอกอยู่ได้ แกกำลังทำความดี ช่วยวิญญาณคนดีให้หลุดพ้นจากนรก จะไปตกนรกได้ยังไง"
แสงสีรุ้งสว่างวาบขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของป้าหน้ากลมผมหยักศก ในชุดสูทขาวแบบของผู้หญิง นางคือ 1 ในสมาชิกแถวหน้าของพวกมารสูทขาวที่ยังหลงเหลือ ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะเกิดวิกฤตขาดแคลนกำลังคนจริงๆ ก็จะยังคงทำหน้าที่ปลุกระดมเหล่าคนเขลาผู้หลงผิดอยู่เบื้องหลังเท่านั้น
"คนดีจะไปตกนรกได้ยังไงล่ะครับคุณป้า เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?" ดาวเหนือโพล่งสวนขึ้นเหมือนทนไม่ได้ที่จะต้องฟังคำพูดที่กลั่นออกมาจากตรรกะวิปริต
"ใครเป็นป้าแก ไอ้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!!" ยัยป้าสูทขาวสวนกลับทันควัน นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงลงสนามไปด้วยอีกคนแล้ว
"ยูจะไปไหน?" หัวหน้านับเงินหันขวับมาถาม ทันทีที่สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของผม
"หาที่นั่งดู" ผมตอบสั้นๆ แล้วเดินไปหลบมุมรอชมผลงานของรุ่นน้องยมทูตที่จะมาเป็นตัวตายตัวแทนในวันที่ผมไม่อยู่
"ยูเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย" เธอยังอุตส่าห์เดินตามมายืนทำตาโตใส่ผม เหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พึ่งได้ยินกับหู
"ก็แล้วแต่จะคิด" ผมตอบยิ้มๆ และยังคงมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนไปเลย... แม้แต่นิดเดียว
"ตรงนี้ฉันจัดการเอง นายเตรียมส่งวิญญาณตาลุงนั่นได้เลย" ก้อนหินร้องบอกดาวเหนือ เหมือนจงใจยั่วโมโหยัยป้าสูทขาว ซึ่งก็ดูจะได้ผล
"ข้ามศพฉันไปให้ได้ก่อนเถอะไอ้พวกเด็กเวร!" ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างคนที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ดูตัดกับชุดที่ใส่ดี
"งั้นป้าก็เตรียมตัวตายทั้งเป็นในนรกได้เลยครับ" ก้อนหินฉีกยิ้มปิดท้ายประโยค ขณะที่ดาวเหนือวาร์ปเข้าประชิดวิญญาณของนายสีสดที่ยังนั่งมึนงงกับการโดนไฟดูดตายไม่หาย
"ไอ้ดำ! มัวทำอะไรอยู่ จัดการมันสิ!" ยัยป้าหันไปตวาดใส่ลูกน้องหัวเกรียนที่ยังยืนงงอยู่กลางดงยมทูต นี่คือตัวอย่างบอสที่ควรหมดไปจากโลก
"ผมลืมเติมน้ำมันเลื่อยยนต์ครับ" ชายหัวเกรียนยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับสตาร์ทเครื่องให้ดูเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าที่ตนพูดนั้นเป็นความจริง
"แกนี่มันโง่ซ้ำโง่ซาก โง่ไม่มีแผ่วเลย!" เสียงตวาดของนางทะลวงแก้วหูยิ่งกว่าเสียงของหัวหน้ายมทูตโซนประเทศไทยหลายเท่า
"ขอโทษครับป้า" คนใต้บัญชาเกาหัวหน้ามึน มิหนำซ้ำยังเผลอใช้สรรพนามตามพวกยมทูต ยิ่งทำให้นางโกรธจัดแผดเสียงอาละวาด
"ใครเป็นป้าแก!! ไปเลย! จะไปไหนก็ไป ฉันจะจัดการเอง ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก กลับไปเป็นวิญญาณเร่ร่อนอย่าง ดะ..."
"โป๊กกกกก!!"
ด้ามเคียวยมทูตในมือก้อนหินหมุนคว้างลอยมากระแทกหน้าเจ้าของเสียงหนวกหู ทำเอายัยป้าภาพตัด ล้มลงไปนอนสลบอยู่กับพื้น ที่มีวงเวทย์สำหรับเคลื่อนย้ายร่างลงสู่ปรโลกรออยู่แล้ว
"คอนเฟิร์มเคส"
เสียงของยมทูตฝึกหัดดาวเหนือที่ดังแว่วมาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า การส่งวิญญาณนายสีสดลงไปรับโทษในนรกเรียบร้อยดี
"อยากชำระความอะไรกันก่อนไหมครับ เผื่อเคยมีความแค้นส่วนตัว?" ก้อนหินหันมาถามผมกับหัวหน้า ก่อนจะเบนสายตาไปทางชายสูทขาวหัวเกรียน คล้ายจะเป็นเชิงบอกกล่าวเชื้อเชิญอีกฝ่ายด้วย
"ไม่" ผมกับหัวหน้าตอบสั้นๆ พร้อมกัน ยกเว้นก็แต่คนคนนึงที่ให้คำตอบต่างออกไป
"เอ่อ... ได้เหรอ บัญชีหนังหมาข้าจะยาวเพิ่มหรือเปล่า?" นายหัวเกรียนถามขึ้นอย่างหวาดระแวง เหมือนกลัวจะถูกยมทูตต้มตุ๋นให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในนรกนานขึ้น
"ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะต่อให้ป้าแกจะไม่มีบุญคุณอะไรกับนาย แต่มันก็เป็นการทำร้ายสัตว์โลกน่ะนะ" ก้อนหินอธิบายระหว่างที่เขียนวงเวทย์พันธนาการทับลงไปบนร่างสัตว์โลกที่ว่าอีกครั้ง
"เซ็งเลย งั้นก็รีบๆ จับข้าไปเหอะ กลับฐานไปมีหวังถูกส่งไปเกิดเป็นเหลือบไรแหงๆ" อดีตสูทขาวกลับใจทรุดนั่งลงด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
"เป็นไง... ผ่านไหมล่ะ เด็กปั้นของยูน่ะ?" หัวหน้านับเงินเขยิบเข้ามากระซิบถาม ท่าทางเหมือนอยากลากผมกลับนรกเต็มแก่แล้ว
"ยูให้ผ่านไหมล่ะ?" ผมย้อนถามแทนคำตอบ แล้วเดินนำออกมาจากจุดที่เคยยืน
"จัดการคนเดียวได้ใช่ไหม?"
คำถามของผมเรียกให้ทั้งก้อนหินและนายหัวเกรียนหันขวับมาหา
"สบายครับ" หมอนั่นฉีกยิ้มให้ผมที่จงใจเดินผ่านไปตรงนั้น... ตรงที่มั่นใจว่าจะมีแค่ทั้งคู่ที่ได้ยินมัน
"ถ้าให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ จนกวาดล้างพวกสูทขาวสิ้นซาก โทษหนักอาจจะเบาลง" คำพูดที่ผ่านการวางแผนและไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีของผม ทำเอาเป้าหมายตาลุกวาวตามคาด
ใช่... ไม่ว่าเมื่อไหร่ จุดหมายของผมก็คือการถอนรากถอนโคนพวกมันให้หมดไปจากกะลาแลนด์!!
เขาคืออดีตมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงแสนแพงใน กทม. และวันนี้เขากลับมายังประเทศไทยในฐานะ... ยมทูต!! เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับการก่อตัวขึ้นของระเบิดเพลิงลูกมโหฬารตระการตา แบบที่ดาวเหนือไม่มีโอกาสจะได้พบเห็นง่ายๆ ในชีวิตการเป็นมนุษย์ ทำเอาหนุ่มน้อยถึงกับวิ่งสี่คูณร้อยหนีตายเอาชีวิตรอด ราวกับหลงลืมว่าตัวเองเป็นยมทูต และตายไปนานแล้ว "กลับมานี่เด็กใหม่ เอาเหยื่อนั่นไปส่งสูทแดงซะ!"
กี่ภพชาติจะผ่านไป แต่ข้าก็ไม่อาจลืมได้ว่าจะมีชีวิตเพื่อจะได้พบและรักเจ้าอีกสักครั้ง... เรื่องราวการระลึกชาติของอดีตองค์ฟาโรห์หนุ่ม เจ้าของพีระมิดบนทะเลทรายขาว ผู้ไม่เคยปรากฏพระนามบนจารึกใด กับหญิงสาวสามัญชนผู้กุมหัวใจของพระองค์
4Pเหล่ามาเฟียทั้งสามมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงในการรับเธอมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
"เธอคือผู้ฝึกสัตว์ร้ายที่มีดวงตาสีม่วงอันเป็นเอกลักษณ์ในศตวรรษที่ 24 เมื่อเธอเกิดใหม่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ดวงตาของเธอถูกขุดออก การฝึกฝนของเธอถูกทำลาย ตัวตนของเธอถูกพรากไป และลูกชายของเธอถูกไอ้สารเลวและผู้หญิงใจร้ายแย่งชิงไป! จะทนกับสิ่งนี้ได้อย่างไร! จากนั้นเธอใช้ชีวิตกับลูกสาว ปราบสัตว์ร้ายทั้งหมดด้วยดวงตาสีม่วงของเธอ จัดการทุกคนที่หาเรื่องพวกเขา และในที่สุดก็พบกับราชาเทพชั่วร้ายที่พาลูกชายของเธอไปจนได้ ลูกตัวน้อย ""แม่ มีผู้ชายคนหนึ่งที่บอกว่าตราบใดที่หนูเรียกเขาว่าพ่อ เขาจะมอบภูเขาทองคำให้หนู"" ผู้หญิง ""ถามเขาหน่อยว่าเขามีอีกไหม ฉันสามารถเรียกเขาว่าพ่อได้ด้วยนะ"" ราชาเทพกัดฟัน ""สาวน้อย ลูกทั้งสองเป็นของฉัน และตัวเธอก็เป็นของฉันด้วย"""
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เธอเฉิ่ม เธอเชย และเธอเป็นเลขาของเขา หน้าที่ของเธอคือเลขาหน้าห้อง แต่หลังจากความผิดพลาดในค่ำคืนนั้นเกิดขึ้น สถานะของเธอก็เปลี่ยนไปจากเดิม จากเลขาหน้าห้อง กลับกลายเป็นเลขาบนเตียงแทน... “เวลาทำงาน คุณก็เป็นเลขาหน้าห้องของผม แต่ถ้าผมเหงา คุณก็ต้องทำหน้าที่เลขาบนเตียง...” “บอส...?!” “ผมรู้ว่าคุณตกใจ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันกับสถานะของพวกเรา แต่มันเกิดขึ้นแล้ว จะทำยังไงได้ล่ะ” “บอสคะ...” หล่อนขยับตัวพยายามจะออกจากอ้อมแขนของเขา แต่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย “ว่าไงครับ” “แก้ว... แก้วว่าให้แก้วทำเหมือนเดิมดีกว่าค่ะ หรือไม่ก็ให้แก้วลาออกไป...” “ผมให้คุณลาออกไม่ได้หรอก คุณเป็นเลขาที่รู้ใจผมที่สุด อย่าลืมสิแก้ว” “แต่แก้ว...” หล่อนอยู่ในฐานะนางบำเรอของเขาไม่ได้ หล่อนทะเยอทะยานต้องการมากกว่านั้น แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีวันจะได้สิ่งที่หวังมาครอบครอง “ทำตามที่ผมบอก ไม่มีอะไรยากเย็นเลย”
ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY