123
123
ข่าวนักเรียนตีกันมักจะปรากฏในจอโทรทัศน์เสมอหลังการเปิดภาคเรียนใหม่ ใช่ว่าจะมีแต่นักเรียนอาชีวะที่คิดจะเป็นนักเลงหัวไม้ตีรันฟันแทง ยังมีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมีชื่อส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่อริของนักศึกษาต่างสถาบันร่วมด้วย การขัดแข้งขัดขาเกิดขึ้นทั้งจากความตั้งใจและโดยไม่ได้ตั้งใจได้ทุกเมื่อ เหมือนในตอนนี้...
ร่างสูงเพรียวของพยัคฆ์ในชุดนักศึกษาปล่อยชายเสื้อนอกกางเกง ยืนเด่นเคียงข้างนักศึกษาหญิงต่างสถาบันที่เขาเพิ่งจะเจอเธอไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เธอชื่ออั้ม และเขาก็อยากอ้ำเธอตั้งแต่แม่สาวคนงามทิ้งเบอร์โทรไว้ให้ ผู้หญิงให้ท่ากันขนาดนี้มีหรือเขาจะปฏิเสธ เสือก็ย่อมไม่ทิ้งลาย แถมเป็นเสือลายพาดกลอนด้วยแล้วชั้นเชิงการจีบหญิงไม่น้อยไปกว่าใคร ที่สำคัญรูปร่างหน้าตาของเขาดันเป็นที่ดึงดูดสาวๆ ดียิ่งกว่าแม่เหล็ก แบบนี้ถ้าหล่อนจะติดหนึบเขาแจก็ไม่ใช่ความผิดของเขา จริงมั้ย
“เสียดายวันนี้รถพี่พัง ไม่งั้นพี่จะพาอั้มไปนั่งรถเล่น” ชายหนุ่มหยอกเย้าแม่สาวสวยก็ทิ้งสายตาเชิญชวนให้
“นั่นสิคะ วันนี้เราเลยต้องขึ้นรถเมล์เลย ร้อนจะตาย” สาวเจ้าบ่นและโบกสมุดเล่มบางในมือไล่ความร้อน สีหน้าของเธอดูมีความสุขนักเมื่อได้อยู่ใกล้เขา แววตาของเธอเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจที่ได้เดินควงหนุ่มรูปงามอย่างเขา ได้เชิดหน้าผยองให้สาวๆ คนอื่นต้องทิ้งสายตาแห่งความริษยา
“วันหลัง ไม่พลาดแน่คนสวย พี่จะพาเธอเที่ยวให้สนุกจนลืมไม่ลงเลย”
รถเมล์คันหนึ่งจอดลงตรงหน้า พยัคฆ์และอัจฉราพรมองคนที่เดินเรียงแถวลงมาจากรถ หญิงสาวอ้าปากหวอเพราะรู้จักนักศึกษาชายกลุ่มนั้นเป็นอย่างดี ส่วนพยัคฆ์เขาไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าพวกมันทุกคน และท่าทางของมันกวนบาทาของเขาตั้งแต่ก้าวลงมาจากรถ
พวกมันเป็นใคร?
“พี่โต!! พี่เสือหนีเร็ว”
หญิงสาวผลักร่างสูงข้างกายออกห่าง พยัคฆ์ขยับตัวแค่เพียงนิด นักศึกษากลุ่มนั้นก็มาถึงตัวและล้อมวงรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว นักศึกษาหนุ่มหน้าตาดีไม่เคยขาดแคลนเรื่องผู้หญิงจำต้องตั้งหลัก พวกมันกำลังคุกคามเขาด้วยเรื่องอะไรนั้น พยัคฆ์ยังไม่รู้ แต่การล้อมวงรอบตัวเขาเป็นการแสดงบทบาทของหมาหมู่ ห้าต่อหนึ่ง ไม่มีทางที่เขาจะสู้พวกมันได้ แต่งานนี้ถ้าไม่ผิด เขาสู้ตาย
แน่นอน...คนไม่รู้ย่อมไม่ใช่คนผิด
“เฮ้ย!! คิดจะเคลมเด็กกูเหรอวะ ไม่อยากตายดีเสียแล้วมึง” คนที่นำหน้าลงมาก่อนท่าทางคุกคามปรามาสใส่พยัคฆ์ แววตาจ้องจะเอาเรื่องเขาโดยที่เขาไม่เคยแม้แต่จะรู้จักหรือจำได้ว่าไปขัดแข้งขัดขามันไว้ตอนไหน แต่คำว่า ‘เด็กกู’ ทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากมันเพื่อมองผู้หญิงข้างตัวใหม่
“ไหนว่าไม่มีแฟนไงล่ะอั้ม แล้วไอ้พวกหมาหมู่นี่มันเป็นใคร”
ฝ่ายหญิงออกอาการลุกลี้ลุกลนสุดท้ายก็ปล่อยมือจากแขนของพยัคฆ์แล้วปรี่เข้าไปเกาะแขนผู้ชายที่รุดหน้าเข้ามาใกล้
“พี่โต อั้มไม่รู้จักมันเลยนะ มันมาจีบอั้มเอง”
ประโยคโบ้ยความผิดของผู้หญิงใจง่ายทำให้พยัคฆ์ถึงกับขบริมฝีปากแล้วยืดอกขึ้น ผู้หญิงคือเพศแม่ที่อ่อนแอและน่าทนุถนอม แต่ผู้หญิงบางคนก็พิษร้ายยิ่งกว่างูเห่า พยัคฆ์ประจักษ์แจ้งแก่ใจในตอนนี้ แท้จริงแล้ว ‘ตอแหล’ สะกดอย่างนี้นี่เอง
ผู้ชายที่เธอเรียกมันว่า ‘พี่โต’ ปลดมือบางออกจากแขน สาวอั้มถอยหลังหนีไปอยู่มุมหนึ่งปิดฉากการช่วยเหลือใดๆ แก่เขา นี่แหละพิษสงของนางอสรพิษอย่างเธอ พยัคฆ์ถอยหลังเมื่อไอ้โตคุกคามเข้ามาใกล้ และก่อนที่มือของไอ้โตจะคว้าคอเสื้อของเขา ชายหนุ่มก็ปัดมือหยาบออกแล้วเตะสวนหน้าแข้งที่มันสะบัดเข้าใส่ พยัคฆ์ตัวสูงใหญ่กว่าเพียงแต่ไอ้โตมันท้วมกว่า แต่ความแข็งแรงของพยัคฆ์ที่มีมากกว่าทำให้ไอ้โตหน้าเปลี่ยนสีไปนิด หน้าแข้งปะทะหน้าแข้งใครบอกว่าไม่เจ็บ
“ไอ้ห่าเอ๊ย แล้วพวกมึงยืนมองอะไรกันวะ จัดการมันสิโว้ย”
คำสั่งของลูกพี่อย่างไอ้โตทำให้ลูกน้องข้างถนนกรูกันเข้ามารุมพยัคฆ์ ชายหนุ่มไม่เคยมีเรื่องกับใคร ไม่ชอบทะเลาะวิวาทกับใคร แต่เรื่องหมัดมวยเขาก็พอจะมีฝีมืออยู่บ้างเพราะชอบเตะต่อยกระสอบทรายที่บ้านอยู่เป็นประจำ มันเป็นการออกกำลังกายที่ฝึกฝนชั้นเชิงการป้องกันตัวได้ดี และตอนนี้พยัคฆ์ก็เอาฝีไม้ลายมือที่ทำให้กระสอบทรายถูกเปลี่ยนมาหลายใบแล้ว ขาแข้งแกร่งไปด้วยกล้ามเนื้อฟาดใส่ลำตัวคู่ต่อสู้ มือกำหมัดซัดผัวะใส่หน้าใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ ล็อกคอตีเข่าจนมันผู้นั้นหงายเก๋ง
ห้ารุมหนึ่ง ต่อให้หนึ่งคนจะมีฝีมือดีขนาดไหนก็มีพลาดกันได้ ยิ่งนักเลงหัวไม้ที่สวมชุดนักศึกษากลุ่มนี้พกพาอาวุธอย่างมีดด้วยแล้ว คนที่เสียเปรียบเห็นจะเป็นพยัคฆ์ ชายหนุ่มรูปงามถูกล็อกหลังจากใครบางคนที่หาจังหวะได้ แล้วใครอีกคนก็ตุ้ยท้องเขาหลายทีชนิดที่เขาไม่ทันตั้งตัว พยัคฆ์เลือดสาด แต่ยังฮึดสู้ด้วยการสปริงตัวกระโดดถีบขาคู่ใส่พวกมันที่กำลังชกเขา มันหน้าหงายอีกคนก็แทรกเข้ามา แล้วคมมีดก็จ้วงแทงร่างของพยัคฆ์ ดีที่เขาเอี้ยวตัวทัน คมมีดก็เลยเฉือดสีข้างของเขาแทน แต่แค่นี้ความเจ็บก็พุ่งปราด ร่างสูงทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
“เฮ้ย!!! หมาหมู่แบบนี้ไม่น่าเกิดเป็นคนเลยนะพวกมึง”
ไตรภาคเพิ่งจะออกจากมหาวิทยาลัยเห็นพยัคฆ์ถูกรุมก็จำได้ว่าเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาทนเห็นคนถูกรุมไม่ได้ แม้จะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแต่ก็ไม่รอช้ารีบเข้ามาช่วยด้วยสายเลือดของนักสู้ใจเด็ดที่มีอยู่ในตัวของผู้ชายตัวจริง
“มึงเสือกอะไรด้วยวะ”
“กูจะไม่เสือก ถ้าพวกมึงไม่เล่นหมาหมู่แบบนี้”
“หนอย...อยากเสือกนักใช่ไหม ได้...จัดการมันเลย”
พวกไอ้โตละจากพยัคฆ์ไปหาไตรภาค ชายหนุ่มตั้งหลักรอรับอยู่แล้วอย่างไม่กลัว ไตรภาคเองไม่เคยมีเรื่องกับใครมาก่อน แต่ศิลปะการป้องกันตัวก็พอเรียนรู้มาไม่น้อย ถ้าจะงัดเอาทฤษฎีมาใช้ในเชิงปฏิบัติบ้างก็คงได้ผลพอสมควร ร่างสูงพอๆ กับพยัคฆ์ป้องกันตัวจากการถูกคุกคาม ทั้งหมัดมวยก็มีชั้นเชิงพอตัว ไม่ถึงขั้นน็อคเอาท์อีกฝ่ายแต่ก็พอทำให้พวกมันเซถลา ถ้าไม่ติดที่เขาไม่มีอาวุธนอกจากมือเปล่าแล้วล่ะก็ ไตรภาคต้องล้มพวกมันได้แน่
“ปี๊ดดดด” เสียงตำรวจจราจรที่ต้องละจากหน้าที่เพื่อมาหยุดเหตุนักเรียนตีกันเป่านกหวีด อีกฝั่งตำรวจจำนวนหนึ่งก็กระโดดลงจากรถแล้วเข้ามาล็อกตัวกลุ่มตะลุมบอนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่พยัคฆ์และไตรภาค ทุกคนถูกจับ
“ให้เป็นนักเรียนดีๆ ไม่ชอบ ชอบจะเป็นนักเลง ไปๆ นำตัวไปโรงพักเดี๋ยวนี้”
“เดี๋ยวครับ เพื่อนผมบาดเจ็บ” ไตรภาคทักท้วงเมื่อตำรวจลากตัวพยัคฆ์ที่บาดเจ็บและมีเลือดไหลออกจากสีข้าง จนเสื้อขาวเปลี่ยนเป็นสีแดง พยัคฆ์มองไตรภาคอย่างขอบใจ เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นหน้าไอ้หนุ่มคนนี้ที่ไหนมาก่อน แต่จากเข็มนักศึกษาที่ปักบนอกเสื้อทำให้รู้ว่าไอ้หนุ่มคนนี้เรียนที่เดียวกันกับเขา
“ไหนดูซิ แผลแค่นี้ไม่ตายเร็วหรอกมั้ง ไปโรงพักก่อนแล้วค่อยไปโรงพยาบาล ไป!”
ไตรภาคอดคิดเหน็บแนมตำรวจไม่ได้ ตำรวจดีก็มีแต่ตำรวจเลวก็มาก หรือเพราะต้องทำหน้าที่ก่อนเรื่องอื่นไว้ทีหลังก็ไม่รู้ ‘ชีวิตคนมีค่ามากกว่าผักปลาที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดนะเว้ย’ ไตรภาคแอบค่อนขอดตำรวจอยู่ในใจ พยัคฆ์ยืดตัวขึ้นสีหน้าของเขาบอกว่าเจ็บไม่น้อย แต่รอยยิ้มบางๆ นั่นทำให้ชายหนุ่มรุ่นน้องต้องถอนใจ มันคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งๆ ที่เลือดก็ออกจนเสื้อชุ่ม ในเมื่อคนเจ็บยังยิ้มออก เขาก็จำต้องหุบปากและเดินขึ้นรถตำรวจไป
เมื่อพยัคฆ์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้วกลับมาที่โรงพักอีกครั้ง ไตรภาคที่นั่งเงียบอยู่มุมหนึ่งในห้องขังโดยอีกด้านหนึ่งเป็นกลุ่มของไอ้โต เมื่ออยู่ในห้องขังไม่มีใครทำกร่าง ทุกคนกอดเข่าเงียบมองร่างสูงที่ถูกผลักเข้ามาในห้องขัง ไตรภาคลุ้นว่าพวกมันจะทำอะไรพยัคฆ์แต่พวกมันก็ยังนิ่งเฉย เขาจึงขยับตัวเปิดทางให้พยัคฆ์ทรุดตัวลงข้างๆ
กลางป่าเขาเขียวขจี ระหว่างการหลบหนีไล่ล่า กองเพลิงแห่งไฟสวาท นั้นเร่าร้อนแผดเผา สองร่างดื่มด่ำรสสวาท สองหัวใจผูกพันยึดมั่น เร่าร้อน...รุนแรง… หากแต่แม้นออกจากป่า เปลวไฟสวาทนั้นก็ยังไม่มอดไหม้
เขา...พ่อเลี้ยงดรัณ พัชรอมรินทร์ ผู้ชายที่เกิดมาบนกองเงินกองทองแต่มีอดีตสุดแสนจะเจ็บปวด บาดแผลที่ทิ่มแทงหัวใจมาตลอดระยะเวลาหลายปีมันกำลังจะกลัดหนอง ถ้าไม่ทำการรักษาให้หาย เธอ...พลับพลึง โรจนศุภเกียรติ สาวน้อยวัยใสผู้มีโลกส่วนตัวที่แสนจะงดงาม และหลงรักผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งมาตลอด ‘ความรักคือการให้’ นี่คือนิยามความรักของเธอ เรื่องราวคงไม่วุ่นวายถ้าเธอไม่กลับมารับรู้ว่าเขาเป็น ‘หม้าย’ และเรื่องราวก็คงไม่วุ่นวายกว่า ถ้าเธอกับเขาไม่ต้องเปลี่ยนสถานะจาก ‘น้าเขยกับหลานเมีย’ มาเป็น ‘สามีกับภรรยา’ มันอาจจะเป็นความสมหวังถ้าเธอจะได้แต่งงานกับผู้ใหญ่ใจดีที่หลงรักมาตลอด แทนการแต่งงานกับผู้ใหญ่ใจร้ายที่ไม่รู้สาเหตุว่าอะไรถึงเปลี่ยนให้เขาเป็นคนละคน เถื่อนและไร้เหตุผลสิ้นดี “เมียของฉันต้องเก่งเรื่องบนเตียง ต้องทำกับข้าวอร่อย ต้องทำงานในไร่ได้ไม่ต่างจากคนงาน ที่จริงจะต้องทำงานบ้านเป็นทุกอย่าง ขยัน ไม่นิ่งดูดายปล่อยให้แม่บ้านทำเอง เธอก็ต้องเป็นแบบนั้น” “ก็ได้ พลับทำให้ได้” “เริ่มเลย” “ปล่อยสิคะ ไม่ปล่อยแล้วจะทำได้ไง” ถ้าเขายังกอดเธอแน่นแบบนี้ ยังหายใจรดใบหน้าเธอแบบนี้ แล้วจะออกไปทำทุกอย่างที่ต้องการได้ยังไง “หน้าที่แรกที่บอก จำได้ไหม”
“เจ้านายอย่าคิดว่า ความคิดความรู้สึกของเจ้านายนั้นถูกหมดทุกอย่างนะคะ” สาวน้อยเริ่มไม่พอใจ ที่เขาหาเรื่องรวนเธอ ชวนนท์ยืนขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหยุดอยู่หน้าหญิงสาว ห่างกันแค่มือเอื้อมถึง ความสูงใหญ่ของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองยิ่งเล็กลงไปอีก “เธออย่าปฏิเสธฉันเลยดลลดา ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามา ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าเธอกลัวฉัน” “ดิฉันไม่มีเหตุผลอะไรต้องกลัวคุณ” หญิงสาวเชิดหน้าตอบ “แน่ใจเหรอ” “ค่ะ” แล้วลำแขนเรียวกลมกลึง ก็ถูกมือใหญ่กระชากเข้าหาตัวชายหนุ่ม จนทรวงอกนุ่มหยุ่นแนบชิดกับอกกว้างแข็งแรงของเขา ดลลดาขืนตัวเอาไว้เต็มกำลังที่มี แม้จะเหลืออยู่น้อยนิดก็ตาม ดวงตาคู่สวยมองสบดวงตาคมกริบด้วยความหวาดกลัว “นั่นไง เธอกลัวฉันจริงๆ” ชวนนท์เห็นความกลัวในดวงตาของหญิงสาว “เจ้านาย ปล่อยค่ะ” เสียงใสๆ นั้นสั่นระรัว
เนื้อตัวเต้นเร่าเตลิดเพลิดไปตามสัมผัสร้อนแรง เธอบังคับให้หยุดคิดถึงคนอื่นนอกจากคุณวายุ แต่เมื่อริมฝีปากของวายุแตะเข้ากับกลีบกาย พร้อมทั้งตวัดลิ้นเลียไปทั่วซอกหลืบ กลีบเนื้อบอบบางแต่อวบอูมของ 'หมูชมพู' จึงกระดิกแอ่นหยัดบั้นท้ายกระดกซอกหลืบสวนทางกับเรียวลิ้นของวายุ "คุณอุ่น และหอมมากหมูชมพู" พรรณชมพูส่ายวนโคกเนินที่เบียดบดไปกับริมฝีปากหนา ลิ้นของเขาปาดไปมาบนติ่งกระสันเหมือนกับปาดหน้าเค้ก เธอดิ้นพรวดพราดกัดริมฝีปากจนเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ลิ้นสากๆ ห่อม้วนชำแรกเข้าไปในร่องสาวอันชุ่มฉ่ำ เมื่อนั้นริมฝีปากที่ถูกกัดจะห้อเลือดก็แยกอ้า พรรณชมพูเผลอกรีดร้องครวญครางถึงใครบางคน ที่จมอยู่ในห้วงความคิดไม่เคยเลือนหาย "อ๊า พี่เสือ" วายุผงกหัวขึ้นมองคนที่กำลังแอ่นลำคอและลำตัวทอดโค้ง แววตาของเขาไหววาบเป็นไฟ และเขาก็กัดกลีบกายบางๆ สีชมพูจนหมูชมพูของเขาสะดุ้งเฮือกสุดตัว "อ๊ะ เฮือก" เธอถูกกัด
‘กาย’ หนุ่มใหญ่ผู้ไม่เคยมีศรัทธาในความรัก เขากระหายในความเจ็บปวด ยิ่งเธอทรมาน ก็ยิ่งมีความสุข เสียงครวญครางของเธอเป็นเหมือนอาหารรสเลิศที่ขาดไม่ได้ ทว่า...เธอกลับเรียกแรงศรัทธาในความรักให้เดินเข้าหาเขา ‘มารียัน’ เด็กสาวผู้ที่ตกหลุมพรางของผู้ใหญ่ กลายเป็นทาสของซาตานผู้ไร้หัวใจ เป็นชู้กับน้าเขยตัวเอง บทรักของเขาเรียกน้ำตาจากเธอทุกครั้ง ทว่า...มันกลายเป็นยาเสพติดที่เธอขาดไม่ได้ จะทำยังไงให้ซาตานที่รักตอบแทนความรักอันเจ็บปวดของเธอได้บ้าง
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
ความรักที่ซ่อนเร้นของสาวน้อยเริ่มต้นในวันที่ทั้งสองได้พบกันในการพบกันที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนาน ทว่าเด็กสาวที่ครอบครัวรับมาเลี้ยงกลับแย่งชิงครอบครัวและเด็กหนุ่มไปโดยไม่รู้สึกเกรงกลัว เมื่อโตขึ้น เธอใช้โอกาสการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์เพื่อแย่งชิงตำแหน่งภรรยาของชายคนนั้น ไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว ฟู่เป่ยชวนกอดพี่สาวของเธอไว้ในอ้อมแขน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เธอทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียน” ซูชิงเฉินรู้สึกปวดท้องเหมือนมีบางอย่างในร่างกายของเธอค่อยๆ เลือนหายไป เธอยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงแน่วแน่ “แน่นอน ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือ ถึงจะต้องตายก็ตาม” ไม่นานนัก ซูชิงเฉินก็เหมือนจะหายไปจริงๆ จากนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในยามค่ำคืน ฟู่เป่ยชวนมักจะได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “ถ้าฉันไม่เคยรักเธอเลยก็คงจะดี” ห้าปีต่อมา ซูชิงเฉินกลับมาพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง กลับมาในสายตาของคนทั่วไปอีกครั้ง ...
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
【สาวน้อยผู้มีความรักในใจกลายเป็นหญิงสาวที่มีสติปัญญา vs ซีอีโอผู้ตามรักอย่างบ้าคลั่ง】 ในปีที่ห้าของการแต่งงานแบบลับๆ ของเธอ เสิ่นจาวหนิงเห็นสามีของไปเปิดห้องที่โรงแรมกับรักแรกของเขากับตาตนเอง จากนั้นเธอเพิ่งรู้ว่าลี่เยี่ยนซิวแต่งงานกับเธอเพราะเธอดูคล้ายกับรักแรกของเขา เสิ่นจาวหนิงตายใจและหลอกให้ลี่เยี่ยนซิวเซ็นสัญญาหย่า หนึ่งเดือนต่อมา เธอประกาศต่อหน้าผู้คนว่า “ลี่เยี่ยนซิว ฉันไม่ต้องการคุณอีกแล้ว อให้คุณกับรักแรกของคุณจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ลี่เยี่ยนซิวกอดเธอพร้อมน้ำตาคลอเบ้า “เสิ่นจาวหนิง คุณเป็นคนที่เข้ามาหาผมก่อน แล้วตอนนี้คุณจะทิ้งผมง่ายๆ ได้ยังไง?” ****** หลังจากที่เสิ่นจาวหนิงหย่า งานของเธอไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บริษัทก็เตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในงานเลี้ยงฉลอง ลี่เยี่ยนซิวก็เข้าร่วมด้วย เขามองอดีตภรรยาที่จับมือผู้ชายอื่นด้วยความหึงหวงอย่างแรง ขณะที่เสิ่นจาวหนิงเตรียมเปลี่ยนชุด เขาก็ตรงเข้ามาหาเธอในห้องลองเสื้อ “ผู้ชายคนนั้นดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสิ่นจาวหนิงถึงสังเกตเห็นว่าลี่เยี่ยนซิวร้องไห้แล้ว น้ำตาของเขาตกลงบนกระดูกไหปลาร้าของเธอและมันรู้สึกร้อนๆ “เสิ่นจาวหนิง ผมเสียใจแล้ว เราคืนดีกันได้ไหม?”
เพราะเพื่อน..เธอจึงต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ เป็นเหตุให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอแอบชอบ ในขณะเดียวกัน เธอเองก็คิดว่าเขาเป็นเกย์ เพราะสถานการณ์บางอย่างเช่นกัน แล้วความวุ่นวายก็บังเกิด เมื่อเธอดัน…หลงรักเกย์ ‘ฮื่อ! เป็นเกย์นะเว้ยไม่ได้เป็นหวัด รักษาวันเดียวจะหายได้ไง สู้ต่อไปศิศิรา ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มีผัวเป็นตัวเป็นตน เพราะงั้นฉันก็ยังมีหวัง เฮ้อ! อย่างมากก็แค่ผิดหวังล่ะน่า’ ***“สาบานได้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่หยุด จนกว่าเรา…จะเป็นของกันและกัน” เขาบอกก่อนจะผละลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขณะที่สองมือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อ สองตาก็ยังไม่ยอมเลื่อนไปจากเรือนร่างขาวโพลนตรงหน้า และไอ้สายตาคมกล้าประหนึ่งเสือรอตะครุบเหยื่อของเขาก็ทำให้เธอหนาวๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก “ไม่! เราพวกเดียวกัน เรากินกันไม่ได้” เธอพยายามเตือนสติ เพราะคิดว่าเขาอาจจะกำลังขาดสติ “แต่ผมเคยกินคุณแล้ว แล้วผมก็ชอบกินคุณ” เขาพูดพลางหลุบตามองไปที่แพนตี้ของเธอ ทำเอาเจ้าของแพนตี้ทำตาโต ไม่แน่ใจในคำว่ากินของเขา ที่สำคัญ…กะๆ กินอะไร “มะหมายความว่าไง”
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY