แผนการอันแยบยล ถูกอำพรางเอาไว้ด้วยคำว่าผิดพลาด
แผนการอันแยบยล ถูกอำพรางเอาไว้ด้วยคำว่าผิดพลาด
ต้องตาต้องใจ
เช้าวันต่อมาที่คฤหาสน์ของตระกูลดัง
“แกมากรุงเทพกี่วันแล้ว” ผู้ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหาลูกชาย ร่างหนาที่มีความสูงที่ไม่ต่างจากลูกชายนั่งลงบนโซฟาหนังราคาแพง ผู้ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อลูกชายยังคงปิดปากเงียบ และทำเป็นไม่ได้ยินคำถามที่ถามออกไป ร่างหนายังคงนั่งนิ่งและไม่สนใจการมาของเขา
“ตกลงเรื่องงานที่บริษัทแกจะว่ายังไง” เปลี่ยนเป็นพูดถึงบริษัทส่งออกของครอบครัว ขุนพลเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล เขาก็เลยอยากให้ลูกชายมาดำรงตำแหน่งแทนคนที่อยากวางมือคิดในใจ
“ก็เมียเด็กของคุณไงให้มาทำงานบ้างสิ ไม่ใช่วันๆเอาแต่ปรนนิบัติผัวอย่างเดียว” ส่งสายตาแห่งความเกลียดชังไปให้กับหญิงสาวที่เดินเข้ามา
“ฉัน” เสียงหวานอึกอักอยู่ในลำคอ ผู้ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นมาห้าม
“คงจะใช้เงินเป็นอย่างเดียว” กระตุกยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ เมื่อเห็นว่าใบหน้าสวยซีดเผือด ร่างหนาที่นั่งกระดิกขาอยู่เปลี่ยนเป็นลุกขึ้นยืน
“นั่นแกจะไปไหน”
“เรื่องแค่นี้ใช่ไหมที่คุณจะให้ผมทำ” ถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
“แล้วตกลงแกจะว่ายังไง ฉันอยากวางมือเต็มที”
“อย่าเพิ่งวางมือสิครับ เดี๋ยวคุณหมดผลประโยชน์ก็โดนเมียทิ้งหรอก เมียของคุณยิ่งหน้าเงินอยู่ด้วย” พูดเสียงหยัน พลางตวัดสายตามองไปที่หญิงสาว
“ไอ้ต่อ” เรียกลูกชายเสียงเข้ม ร่างสูงของคนที่ถูกเรียกกลับไม่คิดที่จะสนใจน้ำเสียงที่แข็งกระด้างของคนที่เป็นพ่อ
“ผมขอตัวและทีหลังอย่าส่งคนไปวุ่นวายที่เหมืองอีก ส่วนเรื่องงานผมไม่อยากยุ่ง” พูดจบก็ก้าวเท้าเดินออกไปและไม่หันมามองคนที่อยู่ข้างหลังอีก
“เดี๋ยวฉันไปคุยกับเขาเองค่ะ” ร่างบางรีบเดินแกมวิ่งไปหาร่างหนา เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาของคนที่เดินมาจากทางด้านหลัง ทำให้คนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ต้องปล่อยควันสีขาวออกมาจากปากและจมูก
“ต่อ” เสียงหวานเรียกชื่อของอดีตแฟนหนุ่ม ร่างหนาที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำคู่กับกางเกงยีนส์ยืนนิ่ง เท้าหนาที่อยู่ในรองเท้าหนังกำลังจะก้าวเท้าออกไปแต่แล้วคนตัวโตก็ต้องกัดฟันกรอด เมื่อเอวสอบถูกตรึงไว้ด้วยอ้อมแขนของใครบางคน ใบหน้าหวานซบลงที่แผ่นหลังกว้าง
“ต่อ ฉันขอโทษนะคะ ฉันขอโทษ” เสียงหวานเจือสะอื้นแผ่วเบา น้ำตาร้อนๆไหลซึมลงบนเสื้อตัวหนา
“เอาแขนของเธอออกไป” เค้นเสียงรอดไรฟันด้วยความเดือดดาล
“ฉันไม่ได้ต้องการให้เรื่องของเราเป็นแบบนี้” พูดยังไม่ทันจบ ร่างบางก็ถูกผลักให้ล้มไปกับพื้น
“กรี๊ด” หวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำตามองหน้าของอดีตคนรักด้วยความเจ็บปวด
“ฉันไม่มีวันยกโทษให้กับเธอ ผู้หญิงเห็นแก่เงิน” พูดจบก็ปล่อยบุหรี่ที่สูบอยู่ลงบนพื้น ตามด้วยเท้าใหญ่ที่เหยียบบุหรี่จนแหลกเป็นผุยผง
“ไอ้เดชากลับ” เสียงห้าวตะโกนเรียกชื่อของลูกน้องหนุ่ม ไม่ถึงนาทีรถกระบะคันเก่าก็แล่นเข้ามาจอดลงตรงหน้าของเจ้านาย
“เดี๋ยวกูขับเอง” กระชากประตูรถให้เปิดออก ร่างหนาเข้าไปนั่งในตำแหน่งของคนขับ เท้าใหญ่เหยียบเข้าที่คันเร่งและเบิ้ลเครื่องรถเสียงดัง
“บรื้น บรื้นนนนนนนน” ควันสีดำลอยพวยพุ่งเต็มหน้าบ้าน ก่อนที่รถคันเก่าจะกระชากตัวออกไปด้วยความเร็ว หญิงสาวที่ยืนอยู่มองตามอดีตคนรักด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ว่าเธออยากจะขอโทษและขอโอกาสมากแค่ไหน แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อตอนนี้เธอเป็นภรรยาของบิดาของชายหนุ่มนั่นเอง
“ฉันขอโทษ ที่ทำให้เธอกับเจ้าต่อต้องเลิกกัน” ผู้ชายวัยกลางคนพูดขึ้น หลังจากที่แอบดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ หญิงสาวที่ได้สติรีบยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างลวกๆ
“ทุกอย่างเป็นความผิดของฉันค่ะ ไม่ใช่ความผิดของคุณ” หญิงสาวรีบเดินเข้าไปในบ้านทันทีที่พูดจบ โดยมีสายตาแห่งความเป็นห่วงมองตามไปอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา
ร่างสูงที่ไม่ต่างจากลูกชายเดินไปยังห้องทำงานที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่ ร่างทรงพลังนั่งลงบนโซฟาตัวยาว ศีรษะได้รูปพิงเข้ากับพนักโซฟา ดวงตาคู่คมหลับตานิ่งและคิดถึงวันเก่าๆ
ภายในงานแต่งงานของลูกสาวของเพื่อนสนิท ขุนศึกนักธุรกิจรุ่นใหญ่ที่อยู่ในชุดสูทสีเข้มเดินก็มาร่วมงานวันนี้ด้วย เมื่อสาวสวยที่เป็นเจ้าสาวเป็นลูกสาวของเพื่อนรัก ร่างสูงใหญ่เดินเข้มาในงานและส่งยิ้มมีเสน่ห์ให้กับเหล่าบรรดาสาวสวยที่ส่งยิ้มมา ถึงแม้ว่าอายุจะเข้าสู่เลขห้าไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยหน้าตาที่ยังคงความหล่อเหลา บวกกับร่างกายที่บึกบึนทำให้สาวๆต่างก็มองมาอย่างให้ความสนใจ ตั้งแต่ที่ภรรยาคู่ชีวิตจากไปเขาก็ไม่คิดที่จะรักใครอีก ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาก็แค่บำเรอความใคร่เท่านั้นเขาไม่คิดที่จะจริงจังกับใครอีก คนรักสนุกแต่ไม่คิดผูกพันคิดในใจ เท้าหนาเดินเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยง แต่แล้วดวงตาที่ทรงเสน่ห์ก็มองเห็นหญิงสาวที่เป็นเจ้าสาวของงาน ริมฝีปากหยักระบายยิ้มอบอุ่นออกมา
“หนูฟ้า” เสียงทุ้มเรียกเจ้าสาวแสนสวย
“คุณอา สวัสดีค่ะ ฟ้านึกว่าคุณอาจะไม่มางานของฟ้าเสียแล้ว” ฟ้าใสพนมมือไหว้เพื่อนรักของบิดาด้วยความนอบน้อม
“งานแต่งงานของหลานสาวทั้งคนอาจะไม่มาได้ยังไง นี่ของขวัญสำหรับเจ้าสาวคนสวยจ้ะ” ยื่นกล่องของขวัญให้กับเจ้าสาว
“ขอบคุณค่ะ คุณอา” ยกมือขึ้นมาไหว้อีกรอบพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ
“แล้วพ่อของเราไปไหนล่ะ” ชะเง้อหาเพื่อนรักที่นัดกันเอาไว้
“อยู่ในงานค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปในงานกันดีกว่านะ” ชวนเจ้าสาวแสนสวย
“ฟ้ารอเพื่อนอยู่ค่ะคุณอา ไม่รู้ว่ามาถึงหรือยัง” มอ’หาเพื่อนสาวไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวอาจะรอเป็นเพื่อน” พูดอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“นั่นไงคะ เพื่อนของฟ้ามาแล้วค่ะ” บอกกับชายหนุ่มพร้อมกับมองไปที่เพื่อนสาว ร่างสูงใหญ่มองตามสายตาของเจ้าสาวคนสวยก็พบเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง หญิงสาวอยู่ในชุดราตรีสีชมพูเรียบหรู ชุดที่หญิงสาวสวมใส่ช่วยขับผิวให้กระจ่างใสมากขึ้นไปอีก ร่างสูงมองหญิงสาวรุ่นลูกราวกับต้องมนต์
“คุณอาคะนี่ปิ่นเพื่อนรักของฟ้าค่ะ ส่วนนี่คุณอาขุนศึกจ้ะ” เจ้าสาวคนสวยแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน
“สวัสดีค่ะคุณอา” ยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมและอ่อนหวาน เสียงหวานใสพร้อมกับริมฝีปากที่คลี่ยิ้มทำให้คนตัวโตแทบจะละสายตาไปจากดวงหน้าหวานไม่ได้เลยทีเดียว ใจดวงแกร่งเต้นรัวราวกับคนหนุ่มที่เจอหญิงสาวที่ถูกใจ
“แล้วแฟนของแกล่ะไม่มาด้วยเหรอ” ฟ้าใสถามเพื่อนสาว
“อย่าไปสนใจเลย” ตอบกลับด้วยความน้อยใจ งานแต่งงานของเพื่อนสาวในวันนี้ คนที่มีแฟนเขาก็ต่างพาแฟนของตัวเองมาด้วยกันทั้งนั้น จะมีก็แต่เธอนี่แหละที่ไม่มีใครมาด้วย คิดแล้วก็อดที่จะน้อยใจแฟนหนุ่มไม่ได้
“ฉันก็อยากเห็นแฟนของแกเหมือนกันนะ” เจ้าสาวคนสวยเย้า
“เอาไว้ถ้าเขาขึ้นมากรุงเทพฉันจะรีบนัดแกเลย” บอกปัดอย่างขอไปที และยังไม่รู้เลยว่าขุนพลจะมากรุงเทพเมื่อไหร่ หรืออาจจะไม่มาเลยก็ได้
“โอเค โอเค คุณอาฟ้าว่าเราเข้าไปในงานกันดีกว่านะคะ” พูดกับเพื่อนสาวเสียงใส ก่อนที่จะหันไปหาผู้ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ไปสิ” รับคำและเดินตามหลังของหญิงสาวทั้งสองคนไป
ภายในงานแต่งงานของไฮโซสาว หญิงสาวที่เป็นเพื่อนสนิทยืนมองเพื่อนสาวที่อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องและระบายยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ฟ้าใสเป็นลูกคนรวยก็จริงแต่ก็ไม่เคยรังเกียจเธอเลยสักครั้ง ร่างบางยืนมองเพื่อนสาวและดื่มน้ำพั้นซ์ไปพลางๆ หญิงสาวที่อยู่ในชุดราตรีตัวยาวหมุนตัวเพื่อจะออกไปรับอากาศข้างนอก แต่ด้วยไม่ทันระวังก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่ง แก้วน้ำพั้นซ์หกรดเสื้อผ้าของผู้ชายคนนั้น
“อ้ะ ฉันขอโทษค่ะ ฉันทำเสื้อของคุณเปียกหมดเลย” รีบคว้ากระดาษที่อยู่ใกล้มือมาซับน้ำที่เปียกเสื้อราคาแพง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเสื้อก็ได้” พูดอย่างอารมณ์ดี แต่สายตากลับจ้องที่เหยื่อสาวด้วยสายตาที่แพรวพราว
“ฉันขอโทษจริงๆนะคะ ให้ฉันเอาเสื้อของคุณไปซักดีกว่านะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมซักเองดีกว่า” มองเหยื่อสาวอย่างมีเลศนัย ด้านคนที่ถูกมองรู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆ
“แต่ถ้าคุณอยากขอโทษผมจริงๆ ดื่มเป็นเพื่อนผมสักแก้วนะครับ” หยิบเหล้าที่เด็กเสิร์ฟถือมา
“ได้ค่ะ” รับแก้วเหล้ามาถือไว้
“ดื่มครับ” เอาแก้วของตัวเองไปแตะที่แก้วของหญิงสาว ดวงตาที่วาววับมองหญิงสาวที่ดื่มเหล้าทีเดียวจนหมดแก้วพร้อมกับรอยยิ้มร้าย
เมื่อความรักที่เคยสวยงามเปลี่ยนไป ความแค้นและความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ หญิงสาวที่หอบหัวใจและร่างกายที่บอบช้ำจากมาก็พร้อมที่จะเอาคืนทุกคนอย่างสาสม โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้น
หญิงสาวที่แสนซื่อและแสนดีถูกทำร้ายและลงทัณฑ์ เพียงเพราะเธอคือน้องสาวของผู้หญิงคนนั้น
คำว่ารักของเธอ เปรียบเสมือนสายน้ำที่ไม่มีวันไหลกลับ ไม่ว่าวันและเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน คนที่ไม่รักก็ไม่มีวันรักอยู่วันยังค่ำ
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
“เหล่ากง..” หญิงสาวยกมือปิดหน้าอก ชันเข่าขึ้นซ่อนสิ่งที่บ่งบอกความเป็นสตรี ตะแคงตัวหนีสายตาหยาดเยิ้มของเขา “สายตาของท่านทำซินเอ๋อร์ขัดเขินแทบขาดใจแล้ว” “เช่นนั้นเหล่ากงให้มองคืนบ้าง” เขาดึงนางมาสู้สายตา “ซินเอ๋อร์ไม่กล้าหรอก” นางเผลอมองไปแล้ว แม้จะเห็นความใหญ่โตของมันแค่ครึ่งลมหายใจ แต่ก็ทำให้นางตกใจจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เซียวหลิ่นตาบอดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูกสาวคนรวยทุกคนต่างหลีกเลี่ยงเขา มีแต่สวี่โยวหรานยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเล สามปีต่อมา เซียวหลิ่นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้รเขา็ยื่นข้อตกลงการหย่าเพื่อยุติการแต่งงานนี้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า "ฉันพลาดกับชิงชิงมานนานมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอต้องรอนานกว่านี้!" สวี่โยวหรานลงนามในข้อตกลงการหย่าโดยไม่ลังเล ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอตลอด - หัวเราะเยาะว่าที่เธอแต่งเข้าตระกูลเซียวถือว่าเกาะผู้มีอิทธิพลเข้า จากนั้นก็มาหัวเราะเยาะเธอที่ถูกทอดทิ้ง เป็นหญิงที่ไร้ค่า แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่า เธอคือหมออัศจรรย์ที่รักษาดวงตาของเซียวหลิ่นให้หายดี เป็นผู้ออกแบบเครื่องประดับมูลค่าหลักร้อยล้าน ผู้เป็นมือหนึ่งแห่งหุ้นที่ครองตลาดหุ้น และแม้แต่แฮกเกอร์ระดับแนวหน้าและลูกสาวแท้ๆ ของผู้มีอิทธิพล อดีตสามีมาขอร้องขอคืนดี ซีอีโอผู้เผด็จการก็โยนเซียวหลิ่นออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา "ดูดีๆ นี่ภรรยาของผม"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด