เขาคือเจ้าของฟาร์มนกกระจอกเทศที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนเธอคือหญิงสาวที่เขารับมาทำงานด้วยเพราะถูกน้องชายขอร้อง อะไรจะเกิดขึ้น? เมื่อคนที่เขาคิดว่าขี้เหร่นักหนากลายเป็นนางฟ้าเดินดินที่อยากครอบครอง
เขาคือเจ้าของฟาร์มนกกระจอกเทศที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนเธอคือหญิงสาวที่เขารับมาทำงานด้วยเพราะถูกน้องชายขอร้อง อะไรจะเกิดขึ้น? เมื่อคนที่เขาคิดว่าขี้เหร่นักหนากลายเป็นนางฟ้าเดินดินที่อยากครอบครอง
บทที่ 1
จิระรีบลุกจากม้านั่งหิน เมื่อเห็นรถของเพื่อนสนิทเลี้ยวเข้ามาภายในบริเวณลานวัด ใกล้กับที่เขานั่งคอยอยู่ เขารีบเดินเข้าไปเปิดประตูรถ แล้วขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ
“นึกว่านายจะไม่มาซะแล้ว”
“รับปากแล้วก็ต้องมาสิวะ” ธีรสิทธิ์ตอบเพื่อนรัก มองหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของอีกฝ่าย “ไปหาที่คุยกันดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก คุยที่นี่แหละ ถ้าตกลงจะได้ไม่เสียเวลา”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงรีบให้ฉันมาหาวะ” คำพูดมีนัยยะของเพื่อนรักทำให้เขาสงสัย
จิระพยักหน้ารับ มองเพื่อนอย่างลังเล ก่อนตัดสินใจขอความช่วยเหลือ
“ฉันฝากน้องสาวไปทำงานกับนายสักปีสิวะขัน”
“ทำไมวะ หรือว่าแกจะไปไหน”
“อือ ฉันถูกบริษัทส่งตัวไปสิงคโปร์ว่ะ ที่นั่นเงินเดือนและสวัสดิการค่อนข้างดี อยู่ฟรีกินฟรี ไปอยู่ที่นั่นฉันคงลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่ฉันก็ไม่กล้าทิ้งให้เกลมันอยู่คนเดียว นายก็รู้ว่าน้องฉันสวยขนาดไหน แล้วนายก็เห็น ๆ อยู่ว่าแถวที่ฉันอยู่เป็นยังไง ฉันเป็นห่วงมันว่ะขัน”
“แค่นั้นเหรอที่แกห่วง” ธีรสิทธิ์หยั่งเชิง เพราะรู้ว่าเพื่อนรักเล่าไม่หมด
“นายก็รู้ ๆ อยู่”
“ฉันถึงบอกให้แกเอาเงินฉันไปใช้เจ้าหนี้พวกนั้นก่อน แล้วค่อยมาผ่อนให้ฉันทีหลัง” เขาเต็มใจช่วยเหลือเพื่อนรักคนนี้ เพราะรู้ว่าหนี้ที่มันเป็นอยู่ เกิดจากการหาเงินส่งเสียค่าเล่าเรียนตัวเอง และน้องสาวที่เป็นลูกของอาที่เสียชีวิตไปแล้ว และยังต้องหาเงินรักษาอาการป่วยของบิดา ที่เพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีที่ผ่านมา
“ที่นายช่วยฉันมาก็เยอะแล้วไอ้ขัน ฉันเอาจากนายอีกไม่ได้หรอก ฉันละอายแก่ใจว่ะ”
“แล้วแกจะให้เจ้าหนี้ตามทวงอยู่แบบนี้เหรอ แต่ละเดือนจ่ายได้แต่ดอก ผ่อนต้นบางส่วนก็ไม่ได้ ต้องจ่ายเป็นก้อนเหมือนตอนที่ยืม ไอ้พวกนี้มันฉลาด มันจะกินแต่ดอกจากแกไง”
“ฉันถึงต้องไปนี่ไง”
“แล้วแกจะจ่ายดอกพวกมันยังไง”
“เรื่องนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แค่ตอบรับเรื่องน้องสาวฉันก็พอ”
“แล้วนายไว้ใจฉันเหรอ” ธีรสิทธิ์ถามหยั่งเชิงเพื่อนรัก
“เออ” จิระตอบอย่างไม่ลังเล “นายกับฉันกินนอนมาด้วยกันตั้งแต่เข้ามหาลัย นายก็สนิทกับน้องฉันมาตั้งแต่สมัยนั้น ฉันดูออกว่านายคิดกับเกลมันยังไง” เขามั่นใจในตัวเพื่อนรัก รู้ดีว่าธีรสิทธิ์เห็นน้องสาวของเขาเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น
“ฉันให้น้องเกลไปอยู่กับฉันที่ฟาร์มก็ได้ แต่แกต้องเอาเงินจากฉันไปใช้หนี้พวกมันให้หมดก่อน เพราะไม่อยากให้เจ้าหนี้ของนายโผล่ไปทวงหนี้เกลถึงที่ฟาร์มของฉัน เกลมันไม่รู้เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ” ธีรสิทธิ์ให้เหตุผล และถามตบท้ายอย่างไม่แน่ใจ
“รู้แค่ว่าใช้หนี้หมดแล้ว”
“ถ้านายเป็นห่วงเกล นายต้องทำอย่างที่ฉันบอก ไปคิดมาก็แล้วกันว่าเป็นหนี้ทั้งหมดอยู่อีกเท่าไหร่ ฉันจะได้โอนให้ แล้วนายก็ไปตั้งหน้าตั้งตาทำงาน กลับมาได้เอาเงินมาใช้หนี้ฉัน ลงจากรถไปได้แล้ว ฉันมีนัดกับสาวเว้ย”
“แล้วเรื่องน้องฉันล่ะ”
“แจ้งยอดหนี้ให้ฉันเมื่อไหร่ ฉันก็มารับน้องนายเมื่อนั้นแหละ คุยกับเกลมันให้รู้เรื่องก็แล้วกัน”
“เรื่องเงิน ฉันคิดไว้ว่าจะลองยื่นกู้ที่บริษัทดูน่ะขัน ฉันไม่อยากรบกวนนายจริง ๆ”
“เอาที่ฉันไปนี่แหละ ไม่ต้องเสียดอก ไม่ต้องมีประวัติที่บริษัท ทำตามที่ฉันบอกดีที่สุดแล้ว”
จิระครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้ารับ “อือ ขอบใจมากนะไอ้ขัน แล้วฉันจะรีบติดต่อกลับไป”
“โอเค ลงไปให้ไว ฉันรีบ ฝากบอกน้องเกลด้วยว่าพี่ขันคิดถึง พรุ่งนี้บ่าย ๆ จะมารับไปกินโอมากาเสะ มึงก็ไปด้วยล่ะ”
“อือ เดี๋ยวจะบอกให้” แล้วจิระก็เปิดประตูลงจากรถของเพื่อนรัก...
ตุลฎาเปิดประตูออกมาจากห้องพักพนักงาน ส่งยิ้มให้เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาต่อกะพร้อมโบกมือลา
“กลับก่อนนะ อย่าหลับล่ะ”
“จ้ะ วันนี้กลับบ้านเลย หรือว่าไปทำพิเศษที่อื่นต่อล่ะ” เพื่อนร่วมงานสาวทักทายกลับ
“สองทุ่มแล้วนะ จะให้ไปทำพิเศษอีกเหรอ”
“ก็บีเห็นเกลทำงานต่อเนื่องอย่างกับหุ่นยนต์”
“ตอนนี้เรียนจบแล้วจ้ะ ก็เลยลดงานลงบางส่วน แต่ก็มีรับงานจากคนรู้จักไปทำที่บ้านบ้าง”
“ทำอะไรเหรอ”
“ทำดอกไม้จันทน์ สนใจไหม”
“หึ ไม่ทำดีกว่า” เพื่อนร่วมงานหัวเราะคิกคักเมื่อพูดจบ
“เกลกลับก่อนนะ พี่ชายมารับแล้ว” ตุลฎาบอกลาเพื่อน เมื่อเห็นพี่ชายมาจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าร้าน
“จ้ะ ฝากบอกพี่ชายด้วยนะว่าอย่าหล่อให้มาก สาวเซเว่นใจละลายหมดแล้ว”
“จ้ะ ไปก่อนนะ” หญิงสาวโบกมือให้เพื่อน แล้วรีบเดินออกไปจากร้าน
“ซื้อข้าวไปกินที่บ้านไหม หรือว่าจะกินจากที่ร้านไปเลย” จิระถามน้องสาวเมื่อเธอเดินมาถึงที่รถ
“เกลซื้อกะหล่ำปลีกับมาม่าไว้แล้ว ตั้งใจจะทำผัดมาม่าใส่ไข่กับผัก แต่ถ้าพี่จิระไม่อยากกิน ก็กินข้าวก็ได้” แม้จะเรียนจบปริญญาตรีแล้ว และลุงซึ่งเป็นพ่อของจิระจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่หญิงสาวก็รู้ว่าหนี้สินที่พี่ชายเป็นอยู่ยังมีอีกมาก ถึงแม้เขาจะบอกว่าใช้หมดแล้ว แต่เธอรู้ว่ามันไม่จริง ดังนั้นอะไรที่ช่วยประหยัดได้เธอจึงอยากช่วย
“ผัดมาม่าก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้กินนานแล้ว ของพี่ใส่ผักเยอะ ๆ นะ”
“ได้ค่ะคุณพี่” ตุลฎาโค้งกายรับคำสั่งอย่างนอบน้อม
จิระหัวเราะกับความขี้เล่นของน้องสาว “ขึ้นรถเร็ว ท้องพี่เริ่มร้องแล้ว” แล้วชักชวนน้องสาวเพื่อรีบกลับบ้าน ส่งหมวกกันน็อกให้เธอ...
กลับถึงบ้านเธอก็รีบทำอาหารทันที ไม่นานผัดมาม่าสองจาน ในปริมาณที่ไม่เท่ากันก็เสร็จเรียบร้อย
อิ่มจากอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว จิระจึงเริ่มพูดถึงเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้
“เกล”
“จ๋า”
“ไม่ต้องหางานแล้วนะ พี่ฝากงานให้เราเรียบร้อยแล้ว”
“ทำไมต้องฝากให้เกลด้วยล่ะพี่จิระ เกลอยากใช้ความสามารถของตัวเองมากกว่า”
“เส้นเสิ้นที่ไหนล่ะ ไอ้ขันมันบอกพี่ว่าอยากให้เราไปเป็นผู้ช่วยของมันที่ฟาร์ม”
“ทำไมต้องให้เกลไปทำงานกับพี่ขันด้วยล่ะ เกลหางานทำแถวนี้ก็ได้นี่ เมื่อกี้ผู้จัดการก็เรียกเกลไปคุย บอกว่าจะให้เกลรับตำแหน่งผู้จัดการสาขา เพราะรู้ว่าเกลเรียนจบแล้ว”
“แล้วจะอยู่ยังไง เกลก็รู้ว่าพี่ต้องไปสิงคโปร์เป็นปี พี่ไม่กล้าทิ้งให้เราอยู่ที่นี่คนเดียวหรอก ไปอยู่กับไอ้ขันน่ะดีแล้ว พี่ไว้ใจมันที่สุด เพราะมันก็รักเกลเหมือนน้องเหมือนนุ่ง เชื่อพี่นะ” จิระให้เหตุผลพร้อมกับคำขอร้อง
วิโมกข์คือชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดที่ผิดหวังจากความรักอย่างรุนแรง เขากลายเป็นคนอ่อนแอไร้หลัก หมกมุ่นอยู่กับสุรานานนับเดือน แต่หลังจากนั้นก็ได้สติเพราะคำพูดแทงใจของเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง เจ็ดปีต่อมาเขาได้กลายเป็นนายหัวผู้ทรงอิทธิพลในธุรกิจค้าหอยเป๋าฮื้อ และต้องเผชิญหน้ากับอดีตคนรักที่เข้ามาอยู่ในบ้านของเขาอีกครั้ง... ชาร์มมิ่งในวัยยี่สิบสี่ปีเดินทางจากนิวยอร์กสู่สงขลาอีกครั้งหลังจากเจ็ดปีผ่านไป เพราะถูกเพื่อนรักขอร้องให้มาแสดงละครขัดขวางอดีตคนรักของพี่ชาย เธอไม่อยากทำแบบนี้เลยเพราะพอใจที่จะแอบรักเขาไปแบบนี้มากกว่า แต่จะทำไงได้ล่ะ.. ในเมื่อเธอก็ถูกผู้เป็นย่าคอยจับคู่อยู่เรื่อยไป จึงตัดสินใจเลือกในสิ่งที่หัวใจปรารถนา... การแสดงที่มาจากส่วนลึกของจิตใจจริงๆ จึงเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่วินาทีที่เธอเจอหน้าเขา
เธอสุขจนไม่รู้จะสุขยังไง เสียวจนไม่รู้จะเสียวยังไง สุขแล้วสุขเล่า เสียวแล้วเสียวเล่า สุขเสียวจนแทบจะไร้แรงยืนหยัด ต้องโอบแขนกับรอบลำคอแกร่งเพื่อเป็นหลักยึด “คืนนี้จะตามใจฉันทั้งคืนใช่ไหมยอดรัก” “ค่ะ” คำตอบของเธอทำให้เขาพึงพอใจที่สุด จึงจูบปากที่บวมเจ่อนิดๆ นั้นซ้ำอีกหนักๆ ลวนลามร่างนุ่มนิ่มนั้นอย่างย่ามใจ... กว่าจะได้ถูหลังขัดขี้ไคลให้เขา เธอก็ถูกเขาจับขัดดอกไปก่อนจนแทบจะหมดแรง นับเป็นการอาบน้ำที่นานและเสียวสะท้านที่สุดเท่าที่เคยอาบมา…
เขาเหลือบสายตามองแก้มบางที่อยู่ไม่ห่างจากปาก จมูกน้อย ๆ ของนางคลอเคลียอยู่ที่ลำคอของเขาเมื่อก้าวเดิน เขาไม่คิดให้เสียเวลา ลดฝีเท้าในการเดินให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วคิดกำไรด้วยการจูบมุมปากและหอมแก้มของเธออย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็แผ่วเบานุ่มนวล เพราะไม่อยากทำให้นางตื่นจนเสียโอกาส มือไม้ก็ลูบไล้ความนุ่มเนียนจนลื่นมือของผิวแท้ ที่มีเพียงผ้าผืนน้อยปิดกั้นไว้ “สตรีขี้เมามันไม่งาม แต่ข้าก็ชอบถ้าเป็นเจ้า” เขาพึมพำชิดริมฝีปากอวบอิ่ม ประทับจูบลงไปแนบแน่นเมื่อวางร่างของนางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว...
มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดก็คือยมทูตรับส่งวิญญาณ เขารีบตามหาวิญญาณของเธอเพื่อพากลับเข้าร่างโดยเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างก็สายเกินแก้เพราะเขาเจอเธอเมื่อร่างของเธอถูกเผาไปแล้ว ทางเดียวที่จะแก้ไขความผิดก็คือต้องส่งเธอกลับไปในร่างของคนอื่นที่เพิ่งหมดลมหายใจ และด้วยเหตุผลที่เธอเรียกร้องบางประการ จึงทำให้เธอได้กลับไปเกิดใหม่ในรัชสมัยของราชวงศ์หมิง ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีนามว่า "เฟิ่งต้าชวี่" แต่ "เฟิ่งต้าชวี่" ไม่ใช่ดรุณีแรกแย้มไร้เจ้าของ นางเป็นพระชายาที่แสนบริสุทธิ์ของแม่ทัพผู้เกรียงไกร "อ๋องใหญ่เกาหรงซาน" พระชายาที่เขาเขียนหนังสือหย่าทิ้งไว้ในห้องหอตั้งแต่วันแรกที่แต่งงาน แต่เพราะความรักและหน้าที่ของสตรีชาวฮั่น นางจึงทนอยู่อย่างปวดร้าวในตำหนักของเขาตลอด 2 ปีก่อนจะตรอมใจตาย
“เหล่ากง..” หญิงสาวยกมือปิดหน้าอก ชันเข่าขึ้นซ่อนสิ่งที่บ่งบอกความเป็นสตรี ตะแคงตัวหนีสายตาหยาดเยิ้มของเขา “สายตาของท่านทำซินเอ๋อร์ขัดเขินแทบขาดใจแล้ว” “เช่นนั้นเหล่ากงให้มองคืนบ้าง” เขาดึงนางมาสู้สายตา “ซินเอ๋อร์ไม่กล้าหรอก” นางเผลอมองไปแล้ว แม้จะเห็นความใหญ่โตของมันแค่ครึ่งลมหายใจ แต่ก็ทำให้นางตกใจจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
【สาวน้อยผู้มีความรักในใจกลายเป็นหญิงสาวที่มีสติปัญญา vs ซีอีโอผู้ตามรักอย่างบ้าคลั่ง】 ในปีที่ห้าของการแต่งงานแบบลับๆ ของเธอ เสิ่นจาวหนิงเห็นสามีของไปเปิดห้องที่โรงแรมกับรักแรกของเขากับตาตนเอง จากนั้นเธอเพิ่งรู้ว่าลี่เยี่ยนซิวแต่งงานกับเธอเพราะเธอดูคล้ายกับรักแรกของเขา เสิ่นจาวหนิงตายใจและหลอกให้ลี่เยี่ยนซิวเซ็นสัญญาหย่า หนึ่งเดือนต่อมา เธอประกาศต่อหน้าผู้คนว่า “ลี่เยี่ยนซิว ฉันไม่ต้องการคุณอีกแล้ว อให้คุณกับรักแรกของคุณจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ลี่เยี่ยนซิวกอดเธอพร้อมน้ำตาคลอเบ้า “เสิ่นจาวหนิง คุณเป็นคนที่เข้ามาหาผมก่อน แล้วตอนนี้คุณจะทิ้งผมง่ายๆ ได้ยังไง?” ****** หลังจากที่เสิ่นจาวหนิงหย่า งานของเธอไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บริษัทก็เตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในงานเลี้ยงฉลอง ลี่เยี่ยนซิวก็เข้าร่วมด้วย เขามองอดีตภรรยาที่จับมือผู้ชายอื่นด้วยความหึงหวงอย่างแรง ขณะที่เสิ่นจาวหนิงเตรียมเปลี่ยนชุด เขาก็ตรงเข้ามาหาเธอในห้องลองเสื้อ “ผู้ชายคนนั้นดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสิ่นจาวหนิงถึงสังเกตเห็นว่าลี่เยี่ยนซิวร้องไห้แล้ว น้ำตาของเขาตกลงบนกระดูกไหปลาร้าของเธอและมันรู้สึกร้อนๆ “เสิ่นจาวหนิง ผมเสียใจแล้ว เราคืนดีกันได้ไหม?”
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY