“เราเลิกกันเถอะ” เขาบอกเธอเช่นนั้น เมื่อถามถึงเหตุผล รมิตาก็ได้รับคำตอบเพียงว่า "พี่เบื่อ"
“เราเลิกกันเถอะ” เขาบอกเธอเช่นนั้น เมื่อถามถึงเหตุผล รมิตาก็ได้รับคำตอบเพียงว่า "พี่เบื่อ"
บทนำ
“เราเลิกกันเถอะ”
เสียงนุ่มทุ้มราวกับไม่รู้สึกอะไรในคำพูดของขุนศึกบอกคนตรงหน้าด้วยท่าทางปกติ ไม่ต่างกับการถามเรื่องสภาพอากาศวันนี้เลยแม้แต่น้อย
ดวงตากลมใสสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองคนพูด พลางย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก คำพูดเมื่อครู่เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม
เขาบอกเลิกเธอ
รมิตากลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคออย่างยากเย็น มือที่เพิ่งหยิบของบางอย่างในกระเป๋าออกมาถือชะงักนิ่ง ของที่เธออยากจะให้เขาเห็นที่สุด
“เคทอยากได้เหตุผล”
หญิงสาวพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นตามความรู้สึกที่กำลังตีตื้นขึ้นมา วันนี้เธอมีเรื่องสำคัญจะบอกเขา และเขาก็นัดเธอออกมาก็เพื่อบอกเลิก...นี่หรือคือเรื่องสำคัญที่เขาบอก
“พี่เบื่อ”
สั้น ง่าย ไม่ซับซ้อนหรือยุ่งยากอะไรเลยแม้แต่น้อยในความรู้สึกของคนพูด แต่มันช่างซับซ้อนและยุ่งยากเหลือเกินในความรู้สึกของคนฟัง รมิตาพยายามนึกตามและหาเหตุผล แต่นึกเท่าใดเธอก็ยังนึกไม่ออก เมื่อในที่สุดเธอไม่สามารถให้คำตอบได้ หญิงสาวก็ทำเพียงเงยหน้ากลับขึ้นมามองคนที่ได้ชื่อว่าคนรักที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นอดีตคนรักในไม่กี่นาทีต่อจากนี้
“อย่างนั้นเหรอคะ”
ไม่มีคำร้องโวยวายอย่างที่เขาอยากให้เธอทำ มีเพียงน้ำเสียงเรียบหวานเย็นเฉียบเท่านั้นที่เอ่ยออกมา น้ำเสียงที่ราวกับไม่รับรู้อะไรในประโยคที่เขาบอก
“ถ้าอย่างนั้นเคทขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เมื่อไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ สิ้นคำหญิงสาวในชุดเดรสสายเดี่ยวกระโปรงสั้นลายดอกไม้สีชมพูสดระบายอยู่ทั่วตัวก็ลุกขึ้นยืน มือบางซุกของชิ้นนั้นเข้ากระเป๋าถือใบเล็กดังเดิม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องตากับเขาอีกครั้ง ก่อนจะข่มความรู้สึกที่มีเพื่อเอ่ยลา
“ลาละค่ะ”
“เดี๋ยว!” คนถูกเอ่ยลาเรียกเอาไว้ก่อนที่เธอจะผละจาก ร่างโปร่งบางอย่างลูกเสี้ยวชาวออสซี่ชะงักกึก ขุนศึกผุดลุกขึ้นมายืนมองตามหลังบางอย่างขลาดๆ
“เคทไม่โกรธพี่ใช่ไหม”
แทนคำตอบ หญิงสาวที่ยืนหันหลังให้ส่ายหน้าจนผมสีน้ำตาลเข้มยาวเลยสะโพกไหวกระเพื่อม
“เคทไม่มีสิทธิ์โกรธพี่ขุนหรอกคะ”
“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม” เขาถามขึ้นอีก หวังใช้มันยื้อเธออีกสักนิด แต่มันคงไม่มีค่าพอที่จะให้เธออยู่ เมื่อคำพูดที่ตอบกลับมานั้นตัดรอนเขาอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่โกรธ ไม่อาละวาด และพร้อมจะเข้าใจทุกอย่างได้ชัดเจน
มือบางข้างที่ว่างยกขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาก่อนที่มันจะหล่นลงให้เขาได้เห็นว่าเธออ่อนแอแค่ไหน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เขาจะได้เห็น รมิตาไม่อยากให้เขารู้สึกสมเพชเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งที่เฝ้ารักเขามานานหลายปี ผู้หญิงที่ชอบจุ้นจ้านกับชีวิตของเขาจนถูกหาว่ารำคาญครั้งแล้วครั้งเล่า และหลายครั้งที่ถูกมองข้ามความรู้สึก ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งไม่เคยชัดเจนได้เท่าครั้งนี้ ร่างสมส่วนหันกลับมามองเขาอีกครั้ง รอยยิ้มหวานถูกส่งให้ แต่ดวงตากลับอ่อนแสงลงจนคนมองสบนิ่งไป
“ได้สิคะ ยังไงพี่ขุนก็เป็นรุ่นพี่ แล้วก็ลูกค้าคนสำคัญของที่ร้านเคทนี่นา” ว่าแล้วก็เสมองไปทางอื่น ไม่อยากให้เขาเห็นว่าเธอกำลังจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แล้วที่เคทบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกพี่ล่ะ”
ดวงตาคมมองเธอนิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นเมื่อทางที่เขาเลือกเองตอนนี้เป็นได้แค่ลูกค้าคนสำคัญ สิ่งที่ถามออกไปจึงเป็นเพียงแค่การยื้อเวลาให้เขาได้มองเธอเต็มตาอีกสักครั้ง ขอเพียงเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างมันจะว่างเปล่า...ว่างเปล่าเหมือนบางสิ่งหลุดหาย อกข้างซ้ายกำลังรู้สึกเบาโหวงราวกับบางอย่างไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิม ตำแหน่งที่เคยมีต่อแต่นี้จะไม่มีอีกต่อไป แต่ไม่เป็นไรหรอก...เขาเต็มใจ หากสุดท้ายมันจะทำให้เธอมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่
“มันไม่สำคัญแล้วละค่ะ”
รมิตาตอบกลับเสียงเยาะ ใบหน้าเรียวเงยขึ้นสบตาเขานิ่ง อยากจะจำผู้ชายคนนี้ให้ลึกเข้าไปสุดหัวใจ ไม่สนใจว่าน้ำตาเม็ดหนึ่งกำลังร่วงหล่นลงมาให้เขาได้เห็นหรือไม่ เพราะอย่างไรทุกอย่างมันก็จบอย่างที่เขาอยากให้เป็นอยู่ดี
“ลาก่อนนะคะ”
สิ้นคำลาคำรบสอง ร่างบางก็หมุนตัวเดินกลับออกไป ขาเรียวยาวภายใต้กระโปรงบางพลิ้วก้าวออกไปอย่างไม่มั่นคงนัก แต่เธอต้องทำเป็นเก่งเพื่อไม่ให้เขาดูถูกเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ มือข้างที่ว่างล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบแว่นกันแดดสีชาขึ้นมาสวมปกปิดไม่ให้ใครต่อใครที่เดินผ่านมาเห็นว่าเธอกำลังร้องไห้ ก่อนจะล้วงหยิบวัตถุบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง เผยรอยยิ้มหยันให้กับตัวเองเมื่อก้มมองมัน
แล้วตัดสินใจยื่นของในมือทิ้งลงในถังขยะข้างบันไดระหว่างที่ก้าวออกจากร้านอาหารบรรยากาศร่มรื่นที่มันเป็นร้านโปรด ร้านที่เขาเลือกขอคบหากับเธอในครั้งแรกและบอกเลิกในครั้งล่าสุด แท่งตรวจการตั้งครรภ์ที่มีขีดสีแดงถึงสองขีดอยู่คั่นกลางร่วงหล่นจากมือบางลงถังได้อย่างแม่นยำ
มันจบแล้ว...
ตอนที่ 1 ความรักในความลับ
แลนด์โรเวอร์สี่ประตูสีดำมันปลาบแล่นออกจากเขตรั้วอธิรักษ์โยธินในเวลาเกือบเที่ยงคืน บ้านหลังใหญ่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ก่อจากหินอ่อนสีขาวมุกทั้งหลังค่อยๆ เล็กลงตามระยะทางที่ห่างออกไป
ขุนศึก อธิรักษ์โยธิน บุตรชายคนที่สามของคุณภาวิน อธิรักษ์โยธิน ประมุขแห่งอาณาจักรอธิรักษ์โยธินกรุ๊ป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศกับคุณพัตรา วงศ์สกุล ภรรยาคนที่สาม
‘ลูกเมียน้อย’ นั่นคือความจริงที่กัดกินก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจมาตั้งแต่จำความได้
แม้ว่าความอบอุ่นที่ได้รับจากภรรยาทุกคนของบิดาจะทำให้เขาและน้องสาวฝาแฝดอย่างแก้วกานต์ อธิรักษ์โยธิน เติบใหญ่ขึ้นมาจนกระทั่งอายุยี่สิบหกปีบริบูรณ์ แต่ขุนศึกก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเกลียดชังสายเลือดที่ไหลเวียนในตัวนี้มากเหลือเกิน สายเลือดของผู้ชายมักมาก ผู้ชายที่ไม่เคยรักใครจริงนอกจากตนเอง คำหวานละมุนแผ่วกระซิบเป็นเพียงคำลวงให้คุณพัตราในตอนนั้นตายใจ และนั่นทำให้เขาเกลียดคำว่า ‘รัก’ เพราะมันไม่เคยสำคัญเท่า ‘การกระทำ’ และเกลียดชังคำว่า ‘การแต่งงาน’ เพราะมันไม่เคยสำคัญหากว่าคนสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ใบหน้าคมคายออกไปทางเข้มขรึมเพราะผิวกร้านแดดจากการทำงานกลางแจ้งเป็นประจำจ้องมองถนนเบื้องหน้านิ่ง มือทั้งสองข้างยังคงทำหน้าที่กุมพวงมาลัยเอาไว้มั่น ขณะที่ขาทั้งสองข้างก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่าทางไม่สนใจใครทำให้คนที่นั่งมาด้วยหน้าม่อยลงอย่างเห็นได้ชัด
รมิตา อัศวกุล ถอนหายใจแผ่วเบาเมื่อถูกคนที่ได้ชื่อว่า ‘คนรัก’ แสดงท่าทีเฉยเมยใส่ ทั้งที่เขาเพิ่งพาเธอไปงานของครอบครัวเป็นครั้งแรกแท้ๆ แม้ว่าความจริงแล้วคนที่เชิญเธอไปจะเป็นสี่ทิศ อธิรักษ์โยธิน พี่ชายคนโตของเขาก็ตาม แต่การได้ออกงานด้วยกันครั้งแรกในฐานะคนรัก เธอควรจะได้รับสีหน้าที่ยินดีมากกว่าใบหน้าบึ้งตึงไม่ใช่หรือ
ดวงตากลมหวานสีน้ำตาลของสาวลูกเสี้ยวออสเตรเลียเหลือบมองช่อบูเก้สีขาวในมือด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาคงโกรธที่เธอขัดคำสั่งลุกออกไปรับช่อดอกไม้เจ้าสาวจากภีมชญา ภรรยาคนสวยของสี่ทิศ และนั่นคือต้นเหตุที่ทำให้เธอถูกลากกลับบ้านทันทีที่ส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอเรียบร้อย
‘น้องเคทได้ช่อดอกไม้แบบนี้ สงสัยจะเป็นรายต่อไปที่ได้แต่งงานนะคะเนี่ย’
คำสัพยอกจากเพื่อนในกลุ่มของขุนศึกเอ่ยล้อเมื่อเธอเดินกลับมาที่โต๊ะหลังจากไปร่วมพิธีการโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาว และเธอคือผู้โชคดีที่รับช่อดอกไม้ได้ ตั้งแต่นั้นใบหน้าที่ยุ่งอยู่เป็นนิจก็ยิ่งขรึมลงไปอีก เพราะเธอขัดคำสั่งของเขาหลายอย่างเหลือเกิน จากที่เพียงแค่มองและเอ่ยห้ามบ้างกลายเป็นนิ่งเงียบ เฉยชา และไม่คุยกับเธออีกเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้
“พี่ขุนคะ” รมิตาเอ่ยเรียก แต่คนที่มีหน้าที่ขับรถกลับยิ่งเพิ่งความเร็วมากยิ่งขึ้นจนเธอสัมผัสได้ ความเร็วคือสิ่งที่เธอหวาดกลัวและเขารู้ดี แต่ที่ชายหนุ่มกำลังทำกลับตรงกันข้าม นี่อาจเป็นบทลงโทษของคนไม่เชื่อฟังเช่นเธอก็เป็นได้
“เคทกลัว”
น้ำเสียงสั่นไหวทำให้เท้าที่กดหนักบนคันเร่งถอนออก การจราจรในเวลาเกือบเที่ยงคืนเช่นนี้ถนนค่อนข้างโล่ง และนั่นเหมือนจะเป็นตัวเรียกสติคนโมโหจนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
“เคทขอโทษค่ะ”
“รู้ตัวด้วยเหรอว่าผิด” เสียงทุ้มตอบกลับแทบจะทันทีที่ประโยคนั้นจบลง
รมิตาก้มหน้าคล้ายเด็กที่กำลังสำนึกผิด ความจริงเธอควรจะเชื่อเขา อยู่ในที่ของตนเองโดยไม่ยุ่งวุ่นวายกับเขา และที่สำคัญไม่ควรไปวุ่นวายกับครอบครัวของเขา
“เคทแค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์เท่านั้น”
“ประโยชน์ของเคทคือการประกาศให้คนทั้งงานรู้ว่ากำลังคบอยู่กับพี่สินะ”
คนฟังน้ำตาเอ่อคลอหน่วย เธอผิดหรือที่อยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ครอบครัวของเขาบ้าง และเธอผิดหรือที่จะบอกใครต่อใครว่าเธอมากับใคร
“ก็เราคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ แต่ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ก็ได้”
“แต่เราคบกันมานานแล้วนะคะ” เธอท้วงกลับ เขาและเธอคบกันตั้งแต่สมัยเรียนซึ่งมันก็เจ็ดปีมาแล้ว หลายคนเคยบอกเลขเจ็ดคือเลขอาถรรพ์ แต่เธอเชื่อการกระทำและความรู้สึกของตนเองมากยิ่งกว่า สายตาของรมิตามีเพียงขุนศึกไม่ว่าจะวันนี้หรือพรุ่งนี้ ไม่มีใครทำให้ความรักที่เธอมีต่อเขาลดน้อยลงได้ เพราะนับวันมันยิ่งเพิ่มมากขึ้น
จากที่คบหากันลับๆ บางครั้งเธอก็นึกอยากที่จะประกาศให้ใครต่อใครได้รับรู้เช่นเดียวกัน แต่มีเพียงเหตุผลเดียวที่เธอไม่สามารถทำอย่างนั้นได้คือขุนศึกไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็เลือกที่จะยอมทำตามที่เขาต้องการ
“และมันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“พี่ขุน” รมิตาครางเรียกชื่อคนข้างกายเบาหวิว “พี่ขุนไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังคบอยู่กับเคทเหรอคะ”
“ทำไมเคทไม่เข้าใจ” เขาหันมาตวาด “เราก็มีความสุขกันดีไม่ใช่เหรอที่เป็นแบบนี้”
‘คำถาม’ แต่มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นที่เขาต้องการ และนั่นทำให้รมิตาต้องกล้ำกลืนก้อนแข็งที่จุกอยู่กลางอกให้กลับลึกลงไปสุดหัวใจ
“ค่ะ มีความสุขดี” เธอโกหก
รมิตาคือผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อยากได้คำหวานจากคนรัก เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อยากจะบอกใครต่อใครว่าเขาคือคนพิเศษ และเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อยากจะเป็นผู้ได้รับการยอมรับไม่ใช่ผู้หลบซ่อน แต่สิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงแค่เดินตามทางที่เขาขีดไว้ ทางที่เธอไม่เคยต้องการแต่มันก็ดีกว่าการที่ต้องทะเลาะกันจนสุดท้ายต้องเลิกรากันไป เพราะหากว่าถึงเวลานั้นเธอคงไม่มีแม้แต่แรงที่จะหายใจ
“เข้าใจอะไรง่ายๆ ก็ดี ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก พี่ไม่ชอบ”
“ค่ะ”
รมิตารับคำเหมือนที่ทำมาตลอด เธออาจจะอ่อนแอและหวาดกลัวความเสียใจมากเกินไปจนไม่กล้าแม้แต่จะขัดใจเขา และทุกครั้งที่ทะเลาะกันก็เป็นเธอเองที่ต้องเป็นฝ่ายยอม เพราะต้องการประคับประคองให้ความรักงอกงามเพื่อเฝ้ารอว่าสักวันหัวใจด้านชาของเขาจะเปิดออกและช่วยเธอดูแลต้นรักต้นนี้ไปด้วยกัน
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY