ก็คนมันชอบ ก็ไอ้ฉลามดุหัวโจกอาชีวะคนนี้มันชอบเธอ จะให้ทำไง
ก็คนมันชอบ ก็ไอ้ฉลามดุหัวโจกอาชีวะคนนี้มันชอบเธอ จะให้ทำไง
“เค้าว่าช่วงนี้มีเด็กอาชีวะมาตีกันหน้ามหาลัยของเราบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“เอ้ะ น่ากลัวอ่ะ” ฉันทำสีหน้าหวาดหวั่นเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมคณะที่มักจะเดินกลับด้วยกันบ่อยๆ โพล่งขึ้นมาในระหว่างที่เก็บกระเป๋าจากม้านั่ง เธอชื่อส้มหวาน เป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ถึงแม้ว่าเธอจะชอบทำตัวเหมือนผู้ชายไม่เข้ากับชื่อหวานๆ นั่นก็ตาม “แต่ปกติเราก็กลับบ้านกันปลอดภัยดีนะ”
“แน่ล่ะ เธอเคยสนใจใครที่ไหน มันตีกันอยู่อีกซอยเธอจะเห็นได้ยังไงล่ะนิ้ง” พูดแล้วก็หยิกแก้มฉันแรงๆ อย่างกลั่นแกล้งจนฉันต้องร้องเสียงอ่อยอย่างเจ็บปวด
แต่ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องนั้น ฉันจะขอแนะนำตัวเองก่อนสักเล็กน้อยนะคะ
ฉันชื่อ ‘คะนิ้ง’ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 2 คณะอักษรศาสตร์ เป็นคนเรียบร้อยและสดใส แล้วก็มีเพื่อนอยู่ไม่กี่คนในที่นี่ ซึ่งในกลุ่มเพื่อนๆ เหล่านั้นก็มีแค่ส้มหวานเท่านั้นล่ะที่ฉันไว้ใจที่สุด
ประวัติของฉันไม่มีอะไรน่าสนใจมากหรอกค่ะ ฉันอยู่หอนอกกับส้มหวาน เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติเหมือนนักศึกษาทั่วๆ ไป
ใช่ค่ะ ฉันคือผู้หญิงปกติ
แต่... แต่ตอนนี้ชักเริ่มรู้สึกไม่ปกติเท่าไหร่แล้ว
“เธอชื่ออะไรวะ”
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อเดินไปไม่กี่ก้าวก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนขวางอยู่เกือบหน้าประตูของมหาวิทยาลัย เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่หน้าตาดุดัน ทำผมสีทองสว่าง ใส่เสื้อกล้ามสีดำและมีรอยสักเต็มทั้งสองแขน ท่าทางกร่างๆ เหมือนพวกอันธพาลหรืออะไรทำนองนั้นไม่มีผิดเลย
ให้ตายสิ
ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับบ้าน แต่ดันมาเจอกับอะไรก็ไม่รู้
“เขาพูดกับใครอ่ะนิ้ง” ส้มหวานเอนตัวมากระซิบกระซาบกับฉัน ส่วนฉันก็สั่นหน้าหวือ ฉันไม่รู้อ่ะ เห็นเขามองหน้าฉันอยู่ แต่อาจมองเลยไปหาคนอื่นก็ได้
“อย่าไปสนใจเลย กลับบ้านกันเถอะส้ม” ฉันกระซิบกลับ แล้วตัดสินใจจูงมือส้มหวานเดินผ่านเขาไปโดยเว้นระยะห่างไว้ สงสัยเขาจะเรียกคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ อาจจะมารับแฟนก็ได้ แต่ดูท่าทางกับลุคแบบนี้ผู้หญิงเขาน่าจะกลัวมากกว่านะเนี่ย
หมับ
แต่ทว่า
ฉันยังเดินไปไหนไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำ จู่ๆ ข้อมือก็ถูกคว้าและโดนกระชากอย่างแรง ฉันเซและหลุดมือจากส้มหวานไป แล้วหน้าก็ชนเข้ากับแผ่นอกของใครบางคนเต็มๆ
“จะ... เจ็บ” ฉันพึมพำแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็เห็นว่าเป็นผู้ชายคนนั้น คือเขากระชากฉันเข้ามาหา แถมยังใช้มืออีกข้างรั้งข้อมือฉันเอาไว้ด้วย นี่เราไม่เคยรู้จักกันเลยนะ เขามาทำแบบนี้กับคนที่ไม่รู้จักกันได้ยังไง “ปะ... ปล่อยนะ”
หากแต่เขาไม่ยอมฟังเสียงร้องของฉันเลย จู่ๆ ก็ดึงทึ้งฉันให้เดินตามไปหน้าตาเฉย ฉันมองส้มหวานที่ยืนอึ้งอยู่ พยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอข้อมือถูกกำแน่นขึ้นก็เลยไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาอีก
นะ... นี่เรากำลังถูกหาเรื่องเหรอ ฉันกำลังจะถูกเขาพาไปซ้อมเหมือนในข่าวใช่มั้ย
“ขึ้นมา”
ฉันเงยหน้ามองรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า อะไรเนี่ย จะถูกซ้อมไม่พอยังถูกลักพาตัวอีกเหรอ
“นะ... หนูจะกลับบ้าน”
“จะขึ้นมาดีๆ หรือจะต้องให้ใช้กำลัง!” ฉันสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ เขาก็ตะคอกใส่หน้า ตัวสั่นไปหมดในขณะที่ค่อยๆ นั่งลงบนเบาะหลัง แต่ยังไม่ทันได้หย่อนตัวลงร่างสูงก็ออกรถไปด้านหน้าอย่างแรงจนฉันร้องกรี๊ดแล้วกอดเอวเขาไว้แน่นโดยอัตโนมัติ
อะ... อะไรเนี่ย น่ากลัวมากเลย เริ่มจะกลัวแล้วนะ
ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังขับไปที่ไหน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถหยุดลงอย่างกะทันหัน ฉันได้กลิ่นบุหรี่และเสียงเซ็งแซ่ของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง พอลืมตาขึ้นอีกทีก็พบกับซอยที่คุ้นตา
เดี๋ยวนะ นี่มันซอยข้างมหาวิทยาลัยของฉันนี่
“เค้าว่าช่วงนี้มีเด็กอาชีวะมาตีกันหน้ามหาลัยของเราบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“แน่ล่ะ เธอเคยสนใจใครที่ไหน มันตีกันอยู่อีกซอยเธอจะเห็นได้ยังไงล่ะนิ้ง”
จู่ๆ คำพูดของส้มหวานก็ดังก้องขึ้นในหัว
อีกซอย... เด็กอาชีวะ
งั้นก็แปลว่าเขา...!
หมับ
ฉันเบิกตากว้างเมื่อยังคิดไม่ทันจบดีจู่ๆ ทั้งตัวก็ถูกอุ้มแล้วยกสูงขึ้นจากเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ฉันเห็นว่าคนอุ้มเป็นคนที่มีรอยสักเต็มทั้งสองแขนคนเมื่อกี้ที่พาฉันมาด้วย หรือว่าเขาจะจับฉันทุ่มลงพื้นกันนะ?
กลัวจังเลย
“ตัวเบาว่ะ” ฉันได้ยินเสียงเขาพึมพำในลำคอ ในขณะที่ร่างสูงจะวางฉันลงอย่างเบามือ แต่เดี๋ยวนะ... เบามือเหรอ ไม่ทุ่มลงพื้นอย่างที่คิดด้วย “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจัดการอะไรเสร็จเราจะพาเธอไปส่งบ้าน”
จัดการอะไรเสร็จ พาไปส่งบ้านด้วย?
นะ... น่ากลัว!
“ไม่นะคะ หนูไม่ได้ทำอะไรให้คุณสักหน่อย” ฉันยกมือไหว้แล้วถอยหลังไปอีกก้าว แต่ต่อมาก็ชนเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ คราวนี้เลยเห็นพวกกลุ่มผู้ชายที่นั่งอยู่อีกทางหันมองมาทางนี้ มันเหมือนบ้านคูหาติดกันของคนไทยเชื้อสายจีนหรืออะไรสักอย่าง แถมชุดของพวกเขาก็ดูเหมือนชุดเด็กอาชีวะด้วย พวกเขาพูดอะไรกับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน แต่ฉันไม่รับรู้แล้ว ฉันกลัวจนหูอื้อแล้ว “ปะ... ปล่อยหนูไปเถอะนะ หนูไม่เคยหาเรื่องใครก่อนเลย แล้วหนูก็มั่นใจว่าไม่เคยมีเรื่องกับคุณด้วย”
“หาเรื่อง?” เขาหันมาให้ความสนใจกับฉันพร้อมกับทวนคำพูดของฉันอย่างงงๆ “พูดไรอ่ะ”
“หนูอยากกลับบ้าน พาหนูกลับเถอะ หนูสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจ นะ... อุ้บ” ฉันเบิกตากว้างเมื่อยังพูดไม่ทันจบก็โดนผู้ชายตรงหน้าเอามือมาปิดปากไว้ราวกับจะตัดรำคาญ ก่อนที่คนตัวสูงที่มีสีหน้าหงุดหงิดจะเริ่มง้างหมัด
ขะ... เขาจะต่อยฉันนี่ ใช่มั้ย?
ทะ ทำยังไงดี กลัวจะตายอยู่แล้ว เราจะเจ็บหนักมั้ย แล้วเราจะถึงแก่ชีวิตรึเปล่า
คุณพระคุณเจ้าได้โปรดคุ้มครองหนูด้วย...
ปุบ
“เอาไป”
แต่แล้ว... ความคิดของฉันก็ถูกชะงักลงไปทั้งหมดเมื่อเห็นว่าทันทีหมัดของเขามาจ่ออยู่ตรงหน้า อะไรบางอย่างก็หล่นลงมาจากมือนั้นจนฉันรีบรับมันแทบไม่ทัน
แล้วมันก็คือ... โทรศัพท์?
โทรศัพท์ที่ไม่ได้ปิดหน้าจอ แถมยังมีเบอร์โทรแปะหราอยู่ด้วย
นี่มันอะไรกันเหรอ
“เบอร์เราเอง” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ อะไรเนี่ย เขาไม่ต่อยฉันเหรอ? ก็เขาทำท่าเหมือนจะต่อยฉันนี่ “ดีจัง นึกว่าเธอจะปล่อยมันตกแตกซะแล้วว่ะ”
“คะ... คุณ” ฉันอึกอักนิดหน่อย “ไม่ต่อยหนูเหรอ”
“เฮ้ย ต่อยทำไม? เราไม่ได้จะหาเรื่องเธอ” เขาทำสีหน้าตกใจแล้วเริ่มเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ แล้วฉันก็แปลกใจกับท่าทีนั้นมาก แต่... เดี๋ยวนะ เขาไม่ได้คิดที่จะหาเรื่องฉัน แต่เขาทำท่าจะต่อยฉันนะ แต่สรุปคือเขาไม่ได้จะต่อยเหรอ แต่เขาแค่จะให้โทรศัพท์ฉันไว้ให้ยืนจ้องเบอร์โทรศัพท์แค่นี้ใช่มั้ย?
เอ่อ... ฉันงงนะ สรุปนี่มันยังไงกันแน่เนี่ย
“แล้วถ้าคุณไม่ได้จะหาเรื่อง แล้วคุณ...”
“ไม่รู้เหรอ เรากำลังจีบเธออยู่ไง”
“...!”
“คือเธอแม่งโคตรน่ารัก” ฉันเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ เขาก็พูดออกมาตรงๆ พร้อมกับคว้าต้นแขนของฉันเอาไว้ข้างหนึ่งเพื่อกันไม่ให้ฉันเดินหนีไปไหน ก่อนที่ประโยคต่อมาของเขาจะทำให้ฉันเหวอ “เราชอบเธอว่ะ อยากได้เธอเป็นเมีย”
“อะ... อะไรนะ”
“ขี้เกียจพูดซ้ำ เอาเบอร์เธอมาดิ ไม่ให้ดีๆ เราต่อยด้วยปากนะเว้ย” แค่พูดไม่พอ เขาเริ่มเดินต้อนฉันจนติดกับรถมอเตอร์ไซค์ พอฉันเอนตัวหนีเขาก็เอนตาม จนหน้าของเขาใกล้ฉันมาก ฉันเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนรอยยิ้มของคนไม่ดีอยู่ในระยะใกล้ พอเขาเอนตัวลงมาอีกนิดฉันเอาเอามือที่ถือโทรศัพท์มาดันไว้ทันที
“อะ... ออกไปก่อนได้มั้ย” ฉันอ้อนวอนเมื่อเริ่มเมื่อยตัว แล้วเซไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายผละออกอย่างว่าง่าย แต่ก็ถูกคนตัวโตกว่าช้อนเอวไว้ได้อยู่ดี แบบนี้ดูเหมือนโดนลวนลามเลย
“ตัวเล็กจัง” ฉันได้ยินเขาพึมพำในขณะที่จะกอดฉันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วเริ่มบีบบังคับ “จะกดเบอร์ได้ยัง”
“ปะ... ปล่อยก่อนสิ”
“ไม่ เดี๋ยวเธอหนีเราไปทำไง”
“ไม่หนีหรอก”
“แต่เราอยากกอดเธอไง อย่าหวงดิ” ฉันมองหน้าเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา ที่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับเขาดี พอจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาจู่ๆ ทั้งตัวก็ถูกอุ้ม แล้วร่างสูงก็เอนตัวลงนั่งที่เบาะมอเตอร์ไซค์ ละ... แล้วจับฉันเอนทับเบาะที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของเขาด้วย “กดเบอร์ตรงนี้ จะดู”
อะ... อะไรของเขาเนี่ย ฉันอายนะ พวกของเขาตรงนั้นก็มองมาทางนี้เหมือนกัน แถมไม่รู้จักกันด้วย เขามากอดฉันได้ยังไง
“คือ... ฉันจำเบอร์ตัวเองไม่ได้ค่ะ” และเพราะว่ากลัวมากนั่นแหละ ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะโกหก
“นิสัยไม่ดี ขี้โกหก” แต่เขาดันรู้อ่ะ “บอกแล้วไงว่าไม่ให้ดีๆ จะต่อยด้วยปาก...”
“โอเค โอเคค่ะ แค่ให้เบอร์ใช่มั้ยล่ะ” ฉันรีบโพล่งตัดบทเขาอย่างลนลานเมื่อเห็นว่าเขาจะพูดประโยคน่าอายนั่นออกมาอีกแล้ว ก่อนที่จะรีบกดเบอร์โทรศัพท์ลงอย่างร้อนรน พอเขาเริ่มหัวเราะในลำคอ ฉันก็รีบหันกลับไปส่งโทรศัพท์ให้เขาทันที “พอใจแล้วนะ”
“อืม” เขาคว้าโทรศัพท์กลับมา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยฉัน ร่างสูงยังคงกอดเอวฉันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็กดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ตัวฉันนี่เอง
มะ... เหมือนโดนกอดจากข้างหลังเลย น่ากลัวสุดๆ
“ปะ... ปล่อยสิ”
“ชื่อคะนิ้งใช่มั้ย?” แต่เขาไม่สนใจที่ฉันพูดเลย ร่างสูงโพล่งถามขึ้นมา แต่... เดี๋ยวนะ เขารู้จักชื่อฉันได้ยังไง “เราหาไลน์เธอจากเบอร์โทรศัพท์อ่ะ ชื่อน่ารักว่ะ”
อะ นี่เขา
“เอ่อ...”
“เรียกนิ้งนะ” เขาพูดแทรกขึ้นทันทีอย่างไม่คิดที่จะฟัง แล้วเอนหน้ามาซบที่ไหล่ของฉันพอฉันเอี้ยวตัวกลับมามอง เราสบตากันในระยะใกล้ แล้วฉันก็เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็โดนผู้ชายรุกใส่ได้รุนแรงขนาดนี้ “เราชื่อฉลามดุ เรียกพี่หลามก็ได้”
“...”
“หรือจะเรียกพี่คะพี่ขาเราก็ไม่ว่าหรอก”
อะ... อะไรของเขาเนี่ย
“เราแอดไลน์เธอไปแล้ว รับตอนนี้เลยดิ”
ฉันอ้าปากค้าง มองเขาที่นั่งซ้อนหลังอย่างไม่รู้จะทำยังไง เพราะตั้งแต่ที่ เอ่อ... ฉลามดุพูดให้ฉันเรียกชื่อเขาแบบนั้นแล้ว ฉันก็ได้แต่ก้มหน้างุดมองโทรศัพท์ของเขาอย่างไม่กล้าสบตาคนข้างหลังอีกเลย ก็ดูเขาสิ เจอกันยังไม่ถึงชั่วโมง (หรือถึงแล้วนะ) เขาก็เล่นรุกฉันหนักขนาดนี้แล้ว
และพอเห็นว่าฉันไม่ตอบอีก เขาก็เลยสะกิดไหล่ฉันเบาๆ “เหม่ออะไรนิ้ง”
“อะ... เปล่า” อะไรเนี่ย เรียกชื่อเหมือนสนิทสนมกันแบบนั้นอ่ะ “ชื่อไลน์อะไรเหรอคะ”
“อะไร หน้าเราก็อยู่นี่ เธอมองหน้าเราดิ ไลน์เราก็หน้าเรานี่แหละ” เขาพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่การที่คว้าคางฉันให้หันไปมองหน้าดุๆ ของเขาตามคำพูดด้วยมันคืออะไรกันอ่ะ! ฉันไม่ได้อยากดูหน้าเขาซะหน่อย ฉันจำหน้าเขาได้นะ ฮือ “เอ้า มองให้พอใจ”
“ปล่อยคางนะ” ฉันพูดเสียงสั่นๆ แล้วร่างสูงก็ทำสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ยอมปล่อยอย่างว่าง่าย “คะ คุณก็บอกชื่อไลน์มาก็จบแล้ว”
“ชื่อไลน์ ‘พี่หลามคนจริง’ ไง” ฉันหน้าแดงไปหมดเมื่อได้ยินชื่อไลน์ของเขา อะ... อายแทน อายแทนจริงๆ เลย กล้าตั้งชื่อแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย
ฉันหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา ในขณะที่จะปลดล็อกหน้าจอโดยมีสายตาของฉลามดุจ้องเขม็งอยู่ตลอดเวลา ฉันกดเข้าไลน์แล้วสไลด์หาคนที่แอดไลน์มา ซึ่งมันมีมากซะจนฉันตาลายไปหมด
ฉันไม่ค่อยได้เข้าไลน์น่ะ ฉันเลยไม่รู้ว่าจะลบคำขอพวกนั้นยังไง ก็ที่แอดมามีแต่เพื่อนผู้ชายในมหาลัยเดียวกันทั้งนั้น
“อะไรวะ ผู้ชายทั้งนั้นเลย” ฉันได้ยินเสียงฉลามดุพึมพำอยู่ข้างๆ หูอย่างหัวเสีย “ที่มหาลัยเธอฮอตขนาดนี้เลยปะ”
“หา?”
“ประมาณว่า มีผู้ชายมาจีบ ขอเบอร์ ขอไลน์ แบบที่เรากำลังทำอยู่งี้ไง มีเยอะมั้ย”
“กะ... ก็” ฉันอึกอัก ถึงจะลำบากใจแต่ก็ตอบไปตามความจริง “ก็เยอะนะ แต่ส่วนมากเค้าจะทักเข้ามาในแชท...”
“ไม่ต้องไปตอบพวกแม่ง!!” ฉันสะดุ้งเมื่อจู่ๆ เขาก็กระแทกเสียงแทรกขึ้นมาอย่างกรรโชก ก่อนที่ฉลามดุจะเบิกตากว้างเหมือนเขาลืมตัว แล้วตบปากตัวเองแรงๆ “โทษที คือเราหวงเธอ แต่เราลืมไปว่าเรายังจีบเธอไม่ติด”
ตะ... ตรงดีจัง
“... แต่หนูก็ต้องตอบไปตามมารยาทน่ะ พวกเค้าเป็นเพื่อนที่มหาลัยทั้งนั้นเลย”
“ไม่ต้องตอบเลยทีหลังอ่ะ” ฉันมองเขาอย่างตกใจเมื่อร่างสูงคว้าโทรศัพท์ไปจากมือฉัน แล้วมองรายชื่อคนแอดไลน์ฉันบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างเข่นเขี้ยว “ศัตรูหัวใจเยอะจังวะ หงุดหงิด”
“เอ่อ... โทรศัพท์” ฉันพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วเขาก็มองฉันแล้วกัดฟันกรอด
ฉลามดุส่งโทรศัพท์ให้ฉันทันที ก่อนที่เขาจะกอดอก “เราถือว่าเรายังจีบเธอไม่ติดเลยคืนให้นะ ลองเธอได้เป็นแฟนเราดิ”
“...”
“ไอ้ที่สะเหล่อแอดๆ เข้ามาในนี้ เราจะไปเอาเรื่องแม่งเรียงตัวเลย”
จะโหดเกินไปแล้ว
“ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนั้นเลยนะ” ฉันพูดกับเขาเสียงอ่อนเพราะอีกฝ่ายนั้นดูจะเป็นคนไม่ยอมคนใช้ได้เลยทีเดียว และก็ดูเหมือนที่พูดไปจะมีโอกาสเป็นจริงด้วยก็เลยห้ามไว้ก่อน ฉลามดุก็เลยคลายมือที่กอดอกออก แล้วฉีกยิ้มกว้างให้
“ได้ดิ เพื่อเธอเราทำได้ทุกอย่าง” ฉันควรจะดีใจดีมั้ยเนี่ย “แล้วรับแอดเรายัง”
“ระ... รับแล้ว”
“น่ารักมากครับผม!” ฉันสะดุ้งเมื่อจู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาแล้วกอดคอฉันจากด้านหลังอย่างแรง ฉันเบิกตากว้าง ก่อนที่จะอ้าปากค้างอีกรอบเมื่อพวกของเขาที่นั่งจับกลุ่มมองเงียบๆ นั้นเริ่มโห่ร้องส่งเสียงแซวกันเสียงดัง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขานั่งเงียบกันสุดๆ
“ไอ้หลามได้เมียใหม่แล้วเหรอมึง!!” ฉันได้ยินเสียงหนึ่งในนั้นแซวขึ้นมาเสียงดังมาก แล้วก็หน้าร้อนจัดอย่างอับอาย
พวกเขานี่มัน...
พลั่ก!
“เมียใหม่ห่าไร! มึงจะพูดไรให้เกียรติเค้าหน่อย” แต่แล้วฉันก็ต้องตกใจเมื่อร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหลังปาหมวกกันน็อคใส่หัวเจ้าตัวที่พูดประโยคนั้นอย่างรวดเร็ว เขาดูมีท่าทีจริงจังจนฉันแปลกใจ
“ทำเป็นซีเรียสไปได้ไอ้หลาม” เพื่อนของเขาวางหมวกกันน็อคไว้บนโต๊ะแล้วหัวเราะ “กูพูดเล่นๆ กัน”
“กูไม่เล่น” ฉลามดุทำหน้าไม่พอใจ เขาคว้าเอวฉันแล้วดันออกจากตักเขาอย่างเบามือในขณะที่จะสตาร์ทรถโดยไม่พูดอะไร ฉันมองเขาอย่างงุนงง ไม่เข้าใจอารมณ์เขาเลยว่าคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งร่างสูงเอาหมวกกันน็อคอีกใบมาใส่ศีรษะของฉัน “ขอโทษที่ตอนพามาไม่ใส่ให้นะ พอดีซอยมันอยู่ใกล้ๆ”
เสียงของเขาอ่อนลงกว่าตอนคุยกับเพื่อนอย่างเห็นได้ชัดเลยอ่ะ
“ละ... แล้วคุณไม่ใส่เหรอ?” ฉันถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“เราขี้เกียจเดินไปหยิบ รำคาญไอ้พวกเวรนั่น” เขาพูดแล้วดันไหล่ฉันให้ถอยหลังไป ในขณะที่จะกลับตัวรถ “ถ้าเกิดรถคว่ำขึ้นมา คนที่เราไม่อยากให้ตายก็คือเธอ”
ฉันหน้าร้อนวูบ ยอมรับนะว่ามันก็ดีที่เขาพูดแบบนี้ แต่ฉันก็ยังกลัวเขาอยู่ดี
“... แล้วจะพาหนูไปที่ไหนเหรอ”
“ส่งบ้านไง” เขาเคลื่อนตัวรถมาขนาบข้างฉันที่ยืนอยู่ แล้วพยักเพยิดไปที่เบาะหลัง “ขึ้นดิ ฝากโทรศัพท์เราด้วยนะ”
ฉันมองหน้าเขาผ่านหมวกกันน็อค พอเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นฉันก็รีบมุดหน้าแล้วเดินหนีขึ้นไปบนเบาะหลังในท่านั่งแบบผู้หญิงทันที เพราะวันนี้ฉันใส่กระโปรงพลีทที่ค่อนข้างเลยเข่ามาหน่อยน่ะค่ะ ตอนออกตัวครั้งแรกมันแรงหน่อยฉันก็เลยหงายหลังไปนิดนึง ฉันตกใจจนต้องคว้าชายเสื้อเขาเอาไว้ ในขณะที่จะได้ยินเสียงแซวของพวกเพื่อนๆ เขาอีกครั้ง
หูฉันอื้อไปหมดเพราะความอาย แต่ได้ยินว่าสีขาวๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ จนฉลามดุต้องตวาดขึ้นมาเสียงดังลั่น
“ห้ามมองกางเกงในนิ้งนะเว้ย!!”
ฉันก็เลยถึงบางอ้อทันทีเลย โอ้ย
“บ้านอยู่นี่เหรอ”
เสียงของคนตังโตดังขึ้นหลังจากเขาขับออกมาด้วยความเร็วสูงแล้วไม่นานก็ถึงหอของฉัน ฉันกลัวจนเกาะชายเสื้อเขาไม่ปล่อยเลยเพราะเขาขับเร็วมาก ฉลามดุแหงนหน้ามองหอฉัน ในขณะที่ฉันจะแกะหมวกกันน็อคออก แต่มือไม้มันสั่นจนแกะไม่ออกสักที
“อะ... อะไรเนี่ย” ฉันพึมพำอย่างขัดใจแล้วพยายามแกะอย่างสุดความสามารถแต่มันก็ไม่ออก จนฉลามดุต้องหันมามอง แล้วเขาก็เอื้อมมือมาปลดตัวล็อคใต้คางให้ฉันอย่างง่ายดาย
“เอ้า” ร่างสูงดึงมันออกจากหัวฉัน ส่วนฉันก็ได้แต่มองเขาหน้าเหวอๆ “ผมยุ่งหมดแล้ว”
พูดจบร่างสูงก็ทำในสิ่งที่ทำให้ฉันต้องนิ่งอึ้งไป เขาเอื้อมมือมาสางผมให้ฉันอย่างลวกๆ ก่อนที่ฉลามดุจะรู้สึกตัว เขาสบตากับฉันที่ยืนมองเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วจู่ๆ หูของเขาก็แดงเถือกขึ้นมา
“อ่า โทษ เราติดตอนที่เคยทำให้น้อง” ฉันมองเขาอย่างงุนงง แล้วจู่ๆ เขาก็เริ่มพูดแก้ตัวด้วยท่าทีลนลาน “คือหมายถึงน้องสาวแท้ๆ ไง เราไม่มีใครหรอก เราโคตรจริงใจกับเธอ”
ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ
“อะ... โอเคจ้ะ” ฉันพูดเสียงสั่นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อแถมยังกลัวเขาอยู่ด้วย ในขณะที่ส่งโทรศัพท์คืนให้ร่างสูงแล้วมองหน้าเขาอย่างชั่งใจ ถึงมันจะไม่ควรพูดคำนี้เพราะเขาเป็นคนลากฉันออกมาเองก็เถอะ แต่ว่า... “ขอบคุณนะ”
เขาก็เป็นคนดีนะ
“ว่าไงนะ” แต่ดูเหมือนฉลามดุจะไม่เข้าใจ พอฉันพูดขอบคุณเขาก็ทำท่าทางเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง “พูดใหม่ได้ปะ”
“ขอบคุณนะ” ฉันมองเขาแล้วพูดซ้ำอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ร่างสูงก็นิ่งไป
ก่อนที่เขาจะ...
“น่ารักว่ะ! อยากตะโกนบอกว่าชอบเธอดังๆ ตอนนี้เลยถ้าทำได้!!” ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหันมามองเขาอย่างตกใจ ฉันเองก็เหมือนกัน อะไรของเขา บอกว่าชอบดังๆ อะไรของเขากัร! “ฟังดูน้ำเน่า แต่ตอนนี้เราชอบเธอมากกว่าเดิมอีก”
“...!”
“ต้องเอาเธอมาเป็นเมียให้ได้เลย คอยดูดิวะ” พูดแล้วร่างสูงที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ก็สตาร์ทเครื่อง เขายิ้มให้ฉัน ในขณะที่จะใส่หมวกกันน็อค “ไว้เจอกันนะน้องนิ้งของพี่หลาม”
“อะ... เดี๋ยว” โดยไม่สนใจคำพูดของฉัน ฉลามดุก็ออกตัวรถไปอย่างรวดเร็วทันที ฉันได้ยินเขาตะโกนวี๊ดวิ้วเหมือนดีใจลั่นซอยด้วย พอเป็นแบบนั้นฉันก็อับอายจนก้มหน้างุดเพราะมีแต่คนมอง แล้วรีบเดินหนีขึ้นหอของตัวเองทันที
แต่... เดี๋ยวนะ
น้องนิ้งของพี่หลามอะไรของเขาเนี่ย!
“นิ้ง!! โอ้พระเจ้า ส้มนึกว่านิ้งโดนไอ้นักเลงนั่นรุมยำไปแล้ว”
ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปตัวของฉันก็แทบจะถลาไปด้านหลังเพราะโดนส้มหวานที่นั่งกระดิกเท้ายิกๆ ตีหน้าเครียดอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องโผเข้ามาหา เธอร้องไห้ด้วย แถมยังถือโทรศัพท์ไว้ในมือไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก
“นิ้งปลอดภัยดีจ้ะส้ม” ฉันยิ้ม แล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมา
“บ้าไปแล้ว! ส้มกำลังจะโทรแจ้งตำรวจเลยเมื่อกี้น่ะ ตอนที่เธอโดนไอ้หมอนั่นจับตัวไปส้มนี่เดินหานิ้งทุกซอยเลยนะ แต่ไม่เจอนิ้งเลย ส้มเกือบจะเป็นบ้า!”
“โอ๋ๆ ใจเย็นๆ นะส้ม นิ้งอยู่ซอยข้างมหาลัยนี่แหละ”
“จริงอ่ะ ส้มก็เดินไปที่ซอยนั้นนะ ทำไมส้มไม่เจอนิ้งเลย” ส้มหวานมีสีหน้าแปลกใจมาก เธอปล่อยตัวฉันด้วยน้ำตาแล้วเริ่มสำรวจไปรอบตัวของฉันทันที “เอ้ะ ปลอดภัยดี แล้ว... ไอ้นักเลงนั่นล่ะ?”
“เข้าห้องก่อนนะ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” ฉันพูด แล้วส้มหวานก็ปาดน้ำตาออก เธอพยักหน้าในขณะที่ปิดประตูลงอย่างว่าง่าย เราเดินเข้าไปนั่งในห้อง แล้วฉันก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง
จนฉันเล่าจบ ส้มหวานที่มีสีหน้านิ่งอึ้งตั้งแต่เริ่มเรื่องก็โพล่งขึ้นมา
“เถื่อนจัดปลัดบอก!” เธอหัวเราะออกมาหลังจากนั้น “เป็นการจีบที่แปลกประหลาดมากอ่ะ”
“ไม่เห็นน่าขำเลย” ฉันทำหน้ามุ่ย แล้วส้มที่มีสีหน้าดีขึ้นมากก็มองฉันยิ้มๆ
“ก็ดูหมอนั่นไม่มีพิษมีภัยอะไรนะ เทียบกับคนอื่นๆ ที่มาจีบนิ้งด้วยการทักแชทล่ะก็” พูดแล้วเธอก็ทำหน้าแหยะ “แบบนี้น่าตื่นเต้นกว่าเยอะ”
“งั้นเหรอ” ฉันนิ่งคิดตามคำพูดเธอไปด้วย “แต่เค้าดูน่ากลัวอ่ะ”
“ก็ต้องดูไปเรื่อยๆ” ส้มหวานพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “ผู้ชายช่วงมาจีบแรกๆ มันก็มาดีทุกคนแหละ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะมาแบบไหน เธอต้องดูเขาไปเรื่อยๆ ไงล่ะนิ้ง”
“แต่เขาดูไม่น่าคบหาเลยนี่นา” ฉันพูดแล้วก็นึกถึงตอนที่เขาดึงฉันมานั่งซ้อนตักที่รถมอเตอร์ไซค์ แล้วอยู่ๆ ก็โอเวอร์โหลดเลย หน้าก็ร้อนขึ้นมาแทบแดดิ้น “ฮือ ไม่ไหวหรอก”
“เอ้ะ นิ้งนี่! ก็อย่าไปคิดอะไรมาก” ส้มหวานพูดแล้วเขย่าไหล่ฉันที่เริ่มทำสีหน้าไม่มั่นใจ “นานๆ ทีจะมีคนกล้ามาจีบเธอตรงๆ มากกว่าการขอไลน์จากเพื่อนแล้วทักแชทเธอมานะนิ้ง เธอต้องลองดู มันน่าตื่นเต้นดีออกว่าเขาจะมาไม้ไหนบ้าง”
“หืม...”
ติ๊ง
ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบส้มหวานกลับไปด้วยซ้ำ อยู่ๆ เสียงไลน์เข้าจากโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น ฉันสบตากับส้มหวาน แล้วเธอก็พยักเพยิดให้ฉันหยิบขึ้นมาเปิดดู
เอ้ะ หรือว่า
พี่หลามคนจริง : ทำไรอ่ะ
พี่หลามคนจริง : คิดถึง
ฉันแทบจะปล่อยโทรศัพท์ลงพื้นตั้งแต่วินาทีนั้น
“ส้ม” ฉันเรียกเธอเสียงกล้าๆ กลัวๆ “เขาทักมาอ่ะ”
“เฮ้ย! เอามาดูๆๆ” เธอมีท่าทางตื่นเต้นในขณะที่หยิบโทรศัพท์ฉันไปดูบ้าง “คิดถึง? แม่เจ้า เปิดข้อความแรกมาจัดหนักปลัดยังบอกว่าสุดจัดเลยอ่ะ”
“ตอบไปว่ายังไงดี” ฉันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วส้มหวานก็หันมามองฉันด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“คิดถึงเหมือนกันค่ะพี่หลาม งี้ดีมะ?”
“ส้ม! นิ้งไม่ตลกนะ” ฉันพูดอย่างขัดใจ แล้วดึงโทรศัพท์กลับมาเพื่อตอบกลับไป
พี่หลามคนจริง : อ่านแล้วไม่ตอบ ยุ่งอยู่เหรอ
Ka ning : เปล่าอ่ะ
ฉันไม่รู้จะตอบไปว่าอะไรแล้วจริงๆ นะ
ติ๊ง
พี่หลามคนจริง : นึกว่ามากวนเธอ
พี่หลามคนจริง : คิดถึงชิบหายเลย อยากเจออีก
Ka ning : ไม่กวนๆ
พี่หลามคนจริง : ไรวะ ไม่คิดจะบอกคิดถึงกลับบ้างเหรอ
โอ้ย ทำไมเขาต้องพิมพ์อะไรแบบนี้มาด้วยนะ!
Ka ning : เพิ่งคุยกันวันแรกเอง
พี่หลามคนจริง : ก็เข้าใจ แต่อยากฟังอ่ะ
“แน่ะๆ ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ใหญ่เลย” ส้มหวานยิ้มแซวฉันที่นั่งกดโทรศัพท์ตอบข้อความเขา ฉันหน้าแดงไปหมด สารภาพเลยล่ะว่าฉันไม่เคยคุยอะไรแนวนี้กับผู้ชายที่มาจีบเลย แล้วก็มีใครพิมพ์คำว่าคิดถึงมาโต้งๆ แบบนี้ด้วย
ฉันไม่ชินอ่ะ
ติ๊ง
พี่หลามคนจริง : ไม่ตอบ งั้นทำไรอยู่
ฉันเม้มปาก ไม่อยากโดนส้มหวานล้ออีก ก็เลยตัดสินใจตัดบท
Ka ning : จะนอนแล้วล่ะ
พี่หลามคนจริง : เฮ้ย นอนเร็วจังอ่ะ
Ka ning : อื้อ ฝันดีนะ
ไม่รู้ว่าจะเย็นชาไปรึเปล่านะ
ฉันส่ายหน้าให้ตัวเองแล้ววางโทรศัพท์ลงกับที่นอน ส้มหวานมองฉันกลับ แล้วฉันก็ยิ้มเจื่อนๆ ให้เธอ ก่อนที่จะคว้าผ้าเช็ดตัวเพื่อที่จะไปอาบน้ำ แล้วก็นอนหลับตามที่พิมพ์ส่งให้เขา
แต่พออาบเสร็จแล้วออกมาจากห้องน้ำนี่สิ
ติ๊ง
ติ๊ง
ติ๊ง
ฉันตกใจเมื่อได้ยินเสียงไลน์เข้าซ้อนกันสามครั้ง หันไปมองส้มหวานที่หลับปุ๋ยไปแล้วก็เลยถอนหายใจ เธอคงไม่มายุ่งอะไรกับโทรศัพท์ฉันหรอก แต่คงเป็นฉลามดุนั่นแหละที่ส่งมา ก็ฉันบอกว่าฝันดีแล้วนี่นา เขายังจะมาต่ออะไรอีก
ฉันกดเปิดไลน์ดู แล้วก็ถึงกับเหวอเมื่อเห็นข้อความของเขา
พี่หลามคนจริง : รีบนอนไปไหนวะ
พี่หลามคนจริง : อย่าเพิ่งนอนดิ
พี่หลามคนจริง : เงียบ หนีไปนอนเหรอ
พี่หลามคนจริง : ใครให้นอนวะถามจริง ไม่ให้นอน
พี่หลามคนจริง : บอกว่าไม่ให้นอนไง
อะ โอ้ย ฉันจะบ้าตาย
ติ๊ง
แต่สงสัยว่ามันขึ้นว่าอ่านแล้วในไลน์ของเขาเพราะฉันเปิดอ่านข้อความ ฉลามดุเลยรีบส่งข้อความใหม่มาอย่างรวดเร็ว
พี่หลามคนจริง : อ่านแล้ว ดีมาก
พี่หลามคนจริง : อย่าเพิ่งไปนอนได้มั้ย เราขาดเธอไม่ได้
ขาดเธอไม่ได้?
ฮือ ทำไมเขาถึงชอบพิมพ์อะไรแบบนี้มานะ มันจั๊กจี้ยังไงไม่รู้
Ka ning : ง่วงนอนแล้ววว
ฉันพิมพ์ตัดบทไปอีกครั้ง แล้วเขาก็เงียบไปพักใหญ่ มันขึ้นว่าเขาอ่านแล้ว แต่เขากลับไม่ตอบ
เอ้ะ เขาเป็นอะไรรึเปล่า?
แล้วฉันจะไปสนใจเขาทำไมเนี่ย
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะไม้ตรงหัวเตียง สางผมตัวเองลวกๆ แล้วล้มตัวลงนอน ฉันหลับตาลงแล้วทำท่าจะปิดโคมไฟที่หัวเตียงเพราะไฟนีออนส้มหวานปิดมันไปแล้ว
แต่ทว่า
ติ๊ง
เสียงไลน์ที่ดังขึ้นทำให้ฉันรีบลุกจากเตียงไปหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูแทบไม่ทัน ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ฉันไม่ได้รอข้อความเขาสักหน่อย แล้วทำไม...
พี่หลามคนจริง : เดี๋ยวโทรไปร้องเพลงกล่อม
ทะ... ทำไม!
ครืด ครืด
“...!”
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกว่าโทรศัพท์สั่นทันทีที่ฉลามดุส่งข้อความนั้นมา และเพราะอารามตกใจ นิ้วฉันเลยเผลอไปโดนปุ่มกด... รับ!
ให้ตายเถอะ จะทำยังไงดี
สุดท้ายฉันก็จนใจ ไม่กล้าตัดสายด้วย เลยเอาโทรศัพท์มาแนบหู
[เฮ้ย รับแล้ว! เฮ้ย เค้ารับโทรศัพท์กูว่ะไอ้เดี่ยว!] ฉันเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูทันทีที่กดรับสายเสียงตะโกนท่าทางดีใจสุดๆ ของฉลามดุก็ดังขึ้นลั่นโทรศัพท์เหมือนเด็กเวลาที่ได้รถบังคับที่ถูกใจ ก่อนที่เหมือนจะเป็นเสียงของเขาที่ตีกันกับใครสักคน มีเสียงปาข้าวของด้วย จนกระทั่งเสียงทุ้มกลับมาทักอีกครั้ง [ไง]
“อะ... โทรมามีอะไรเหรอ” เสียงของฉันสั่นและเบามาก ฉันได้ยินเขาหัวเราะ แล้วพอฉลามดุตอบกลับมาเท่านั้นแหละ
[คิดถึงจะตาย] ฉันก็... อยู่ดีๆ ก็ตัวชาไปหมดเลย [เราไม่ชอบพิมพ์ข้อความ ชอบคุยต่อหน้ามากกว่าไง]
“...”
[แต่พอเธอกลับห้องเราก็ไม่รู้จะเจอหน้ายังไง ก็เลยโทรหา] ฉันฟังเสียงเขาเงียบๆ เพราะอายจนไม่กล้าที่จะพูดอะไร จนเสียงทุ้มต่ำดูออกจะเท่นิดๆ ของเขาดังขึ้นอีก [ไม่นอนเหรอนิ้ง]
“ก็คุณโทรมา...” ฉันพูดเสียงอ่อน แล้วเขาก็หัวเราะในลำคอ
[เฮ้ย เราก็แค่จะมากล่อมเธอนอนไง] เขาพูด [เผื่อจะฝันถึงเราไรงี้]
“มะ... ไม่ฝันหรอก”
[เออก็ได้ ไม่ฝันก็ไม่ฝันวะ] เสียงของเขากลั้วหัวเราะอยู่ตลอดเวลาเหมือนเจ้าตัวมีความสุขมากมาย ก่อนที่เสียงเขาจะห่างออกไปเหมือนกำลังคุยกับเพื่อน [เฮ้ย เหี้ยเดี่ยว มึงเอากีต้าร์กูมานี่]
“...”
[กูจะเล่นให้ว่าที่แฟนกูฟัง] ฉันหน้าร้อนขึ้นมาเมื่อได้ยินเขาตอบเพื่อน ฉันไม่ได้ยินเสียงเพื่อนเขาหรอก แต่ได้ยินเสียงเขาเต็มๆ เลย ว่าที่แฟนอะไรกันน่ะ [เออ อย่าแซว เดี๋ยวกูตบให้เลย]
“...”
[มึงจะให้หรือไม่ให้ อย่ามาล้อเลียนดิ๊] เขาตวาดด้วย [นิ้งรอนานแล้ว มึงนี่แม่ง...!]
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเหมือนปลายสายขว้างอะไรสักอย่างไปหาเพื่อนเขาจนมันกระแทกอะไรก็ไม่รู้เสียงดังมาก เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกหลังจากนั้น เหมือนเขาวางโทรศัพท์แล้วเดินห่างออกไปเอาเรื่องเพื่อนเขาเลย จนกระทั่งฉันได้ยินเสียงเขาเอาโทรศัพท์มาแนบหู มันเป็นเสียงตะกุกตะกัก แล้วก็ไม่รู้ทำไมฉันถึงต้องรอเขากลับมาคุยด้วยนะ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
[มาแล้ว] ฉันได้ยินเสียงเขาดีดกีต้าร์คลอเบาๆ แล้วพูดเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น [ง่วงนอนยัง]
“เอ่อ...” ฉันตัดสินใจที่จะโกหก “ง่วงแล้วล่ะ”
ที่ไหนกันล่ะ ฉันตาสว่างตั้งแต่เขาโทรมาหาแล้ว
[งั้นเดี๋ยวร้องเพลงกล่อม เอาปะ?]
ฉันนิ่งไป
“เล่นกีต้าร์เป็นด้วยเหรอ” ฉันตัดสินใจถามเขาตามที่สงสัย
[เอากีต้าร์มาเล่นขนาดนี้คงเล่นไม่เป็นมั้ง] ฉันชะงักไปเมื่อเขากวนประสาท แล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับไปจนเขาต้องพูดขึ้นมาอีก [โทษที ไม่แกล้งล่ะ โกรธเหรอ]
“กะ... ก็ไม่ได้โกรธค่ะ”
[โอเค ไม่ได้โกรธก็ไม่ได้โกรธ]
เขาว่าง่ายจังนะ
[เพลงไรดี] พอเห็นว่าฉันเงียบไป อีกฝ่ายก็พูดเหมือนกำลังถามตัวเอง แล้วก็เริ่มดีดกีต้าร์คลอขึ้นมาเบาๆ เป็นเพลงจังหวะช้าๆ ในขณะที่จะพึมพำในลำคอ แต่ฉันกลับได้ยิน [ไม่กล้าร้องว่ะ... ช่วงนี้ไม่ได้วอร์มเสียงเลย เพี้ยนสะเด็ด]
ฉันเกือบจะหลุดขำ แต่ก็กลั้นเอาไว้ทัน
“...”
[อย่าเงียบดิวะเธอ แนะเพลงหน่อย]
“เอ่อ... เพลงอะไรก็ได้จ้ะ”
[เพลงนี้มั้ย] เขาโพล่งแทรกขึ้นมา แล้วเริ่มเล่นเพลงที่ฉันไม่รู้จัก ฉันค่อยๆ ล้มตัวลงนอนเบาๆ เพราะกลัวจะทำส้มหวานตื่น แล้วฟังเสียงกีต้าร์ที่เขาเล่น ถือว่าใช้ได้เลยล่ะ ในขณะที่ฉันจะค่อยๆ หลับตาลง [... ดีมั้ย]
ฉันได้ยินเสียงเขานะ แต่ฉันเริ่มง่วงแล้วล่ะ
[นิ้ง หลับยังวะเนี่ย เงียบเลย]
“... อื้อ” ฉันครางกลับไป แล้วเขาก็หัวเราะกลับมา
[เสียงตอนเธอละเมอน่าจับฟัดจังอ่ะ]
ฉันได้ยินเขาพูดเรื่องน่าอายด้วย แต่ฉันไม่มีอารมณ์จะมาโวยวายเขาแล้ว ตาของฉันหนักอึ้ง ในขณะที่จะได้ยินเสียงเขาดังก้องอยู่ในหู ฉลามดุเรียกชื่อฉันอยู่สองสามครั้ง
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไปซะดื้อๆ
[พาร์ท : ฉลามดุ]
อะไรวะ เงียบเลย
นิ้งหลับไปแล้ว?
“เล่นเพลงอะไรของมึงเนี่ยไอ้หลาม เลี่ยน” ผมผละจากโทรศัพท์ไปยังหน้าไอ้เดี่ยว มันเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของผมเอง รักกันมาก แต่ดูมันพูดกับกูดิ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ผมจะเอากีต้าร์มาเล่นให้นิ้งฟังเผื่อได้คะแนนหัวใจ แต่มันก็กวนส้นอยู่ได้ “มัวแต่คุยกับแฟน ลืมเพื่อนเลยนะมึง”
“หลับไปล่ะ” ผมพูดสั้นๆ แล้วตัดสินใจไม่ตัดสาย คืออาจฟังดูโรคจิตนิดหน่อย แต่ผมอยากฟังเสียงหายใจของเธอตอนนอนไง “ผู้หญิงอะไรน่ารักชิบหายเลย”
“มึงจะพูดว่าน่าปล้ำว่างั้นเหอะ”
“ไอ้เหี้ย” ผมทำสีหน้าถมึงทึง แต่ในใจก็คิดงั้น ถึงมันจะดูคิดถลำลึกไปนิด “โคตรเซ็ง นิ้งนอนเร็วกว่าที่กูคิดอ่ะ กูกะจะคุยนานๆ”
อันนี้จากใจจริง ผมอุตส่าห์หน้าด้านโทรไปหาเธอทั้งๆ ที่เพิ่งคุยกันวันแรก ถึงจะตกใจที่นิ้งรับสายก็เหอะ แต่ก็ดีแล้วไง เธออาจจะมีใจให้ผมนิดๆ แล้วก็ได้
ผมคิดแล้วถอดเสื้อเปลี่ยนเป็นเสื้อกล้ามที่ผมมักใส่นอนเป็นประจำ แล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นไปล้มตัวนอนบนเตียง หาหูฟังด้วย จะได้ฟังเธอตอนหลับ นี่ถ้าตอนนี้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ผมไม่ใช่ไอ้เดี่ยวแต่เป็นคะนิ้งล่ะก็ ผมคงนอนหลับฝันดีแน่ๆ
“มึงเคยอินดี้นึกอยากฟังเพลงก่อนนอนด้วยเหรอวะ” เพื่อนรักชิบหายมองหน้าผมในขณะที่มันนอนเล่น GTA V อยู่ ผมไหวไหล่ แล้วเสียบหูฟังอย่างรวดเร็ว
“กูจะฟังเสียงหายใจนิ้งตอนนอน” มันทำหน้าขยะแขยงทันทีที่ผมพูดจบ
“ไอ้หลาม ไอ้วิตถารโรคจิต”
“กูจะไม่ตัดสายแน่”
“ไอ้กาเมสุมิจฉา”
“เออ รู้ว่าเคยบวช แต่ไม่อยากฟัง” ผมทำสีหน้าหาเรื่องเพื่อบอกว่าผมจะเอาจริงแล้วนะ ไอ้เดี่ยวก็เลยยักไหล่อย่างกวนประสาทแล้วยอมสงบปากสงบคำเล่นเกมต่อไปเงียบๆ แต่โดยดี
ผมหันไปใจจดใจจ่อกับสายของคะนิ้งต่อ แล้วผมก็ได้ยินเสียงหายใจของเธอดังเล็ดลอดเข้ามา มันเหมือนเสียงลมว่ะ แผ่วๆ น่ารักๆ พูดแล้วก็อยากให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ เป็นเธอจริงๆ เลยว่ะ เชื่อดิ ผมจะจับหอมซ้ายหอมขวา ซบจนข้ามคืน
พูดแล้วก็นึกถึงตอนที่เจอเธอวันแรก
คือวันนั้นผมมีเรื่องไง สะสางกับอริเก่าที่เทคนิกฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย ตะลุมบอนกันเสร็จอะไรเสร็จก็เดินกลับบ้านเพราะผมไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์ลูกรักผมมาด้วย ผมจำได้ว่าผมเห็นเธอเดินกลับบ้านกับเพื่อน ก็เห็นเธอเดินแค่กับยัยคนนั้นคนเดียวนั่นแหละ คือรู้อะไรมั้ย ตอนที่เธอเดินผ่านผมแล้วมันเป็นจังหวะที่เธอคุยอะไรไม่รู้แล้วหัวเราะ
เชื่อมั้ย นาทีนั้นเหมือนเห็นตุ๊กตาเดินได้ ถึงสภาพตอนนั้นจะร่อแร่ แต่ก็แทบละลาย
ผู้หญิงอะไรวะ น่ารักขยี้ใจสิ้นดี
แล้วตั้งแต่วันนั้นผมก็แอบมาด้อมๆ มองๆ เธอแถวๆ หน้ามหาลัยอยู่บ่อยๆ คือเข้าใจฟิลรักแรกพบมั้ย แบบเห็นแล้วคิดเลยว่าคนนี้แหละแม่ของลูกในอนาคต ผมมองเธอมาประมาณเดือนกว่าๆ โดยที่เธอไม่รู้ตัว จนวันนี้ไม่รู้เกิดความกล้าเหี้ยอะไรขึ้นมาถึงไปยืนดักอยู่ในมหาลัย แล้วตัดสินใจเรียกชื่อเธอ จนกระทั่งมาขอเบอร์ (แบบบีบบังคับนิดๆ)
พอได้คุยผมก็ยิ่งรักยิ่งหลงเข้าไปอีก แล้วพอเธอหลับไปทั้งๆ ที่คุยกับผมนะ
คือเหมือนเธอแม่งไว้ใจผมอ่ะ เหี้ย เขินว่ะ คิดเองเขินเอง
ผมหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแบบโงหัวไม่ขึ้นแค่เพราะเห็นเธอยิ้ม แค่นิ้งมายืนอยู่ตรงหน้า ผมแม่งก็อยากจะดิ้นตรงหน้าเธอเลย
อย่า... อย่าให้เจออีกทีนะเว้ย
น่ารักขนาดนี้ ถ้าจีบไม่ติด ไม่ได้คบเป็นแฟนคงเสียชาติเกิด
[จบพาร์ท : ฉลามดุ]
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
ในชาติก่อน ซูเยว่ซีถูกอวิ๋นถังยวี่ทำร้ายจนตาย ทำผิดต่อครอบครัวของท่านตา และตัวเองยังถูกทรมานจนตาย เกิดใหม่ครั้งนี้ นางตั้งใจจะจัดการกับพวกผู้ชายชั่วและหญิงเลวจัดการพ่อชั่ว เพื่อปกป้องแม่และครอบครัวของท่านตาให้ปลอดภัย พวกผู้ชายชั่วเข้ามาใกล้งั้นเหรอ นางจะใช้แผนให้เขาเสียชื่อเสียง หญิงตีสองหน้าเก่งชอบทำตัวอ่อนแองั้นเหรอ นางจะเปิดโปงธาตุแท้อีกฝ่ายและไล่นางออกจากจวนซู! ในชาตินี้ สิ่งที่นางต้องทำคือการจัดการพวกปลวกที่แอบแฝงอยู่ในราชสำนัก แก้แค้นคนทรยศ เพื่อปกป้องท่านตาที่เป็นคนซื่อสัตย์ นางใช้มือเรียวเป็นเครื่องมือ ก่อให้เมืองจิงเกิดความวุ่นวาย แต่ท่ามกลางความโกลาหล นางได้พบกับองค์ชาย ผู้ที่ทุกคนเล่าลือว่าเป็นคนพิการ “อวิ๋นเฮิง เจ้าจะมาขวางข้าหรือ” อวิ๋นเฮิงยิ้มเบาๆ “ไม่ ข้าตั้งใจจะมาช่วยเจ้า”
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY