เพราะสัมพันธ์สวาทจากแผนลวง เขาผู้ไร้ซึ่งความรัก จึงเกลียดชังในสิ่งที่เธอไม่ได้ก่อ ตราหน้าด่าทอดั่งหญิงแพศยาไร้ค่า เธอจำสั่งหัวใจให้ด้านชา เพียงฝืนทนอยู่ทดแทนคุณ
เพราะสัมพันธ์สวาทจากแผนลวง เขาผู้ไร้ซึ่งความรัก จึงเกลียดชังในสิ่งที่เธอไม่ได้ก่อ ตราหน้าด่าทอดั่งหญิงแพศยาไร้ค่า เธอจำสั่งหัวใจให้ด้านชา เพียงฝืนทนอยู่ทดแทนคุณ
เวลาประมาณหนึ่งทุ่มของค่ำวันหยุดปลายสัปดาห์ประตูรั้วอัลลอยเลื่อนเปิดอัตโนมัติเมื่อเสียงแตรให้สัญญาณดังไปถึงคนในบ้านที่เจ้าของรถโทรศัพท์มาบอกล่วงหน้าแล้วว่าเขากำลังเดินทางมาถึง
และเมื่อประตูรั้วซึ่งเปรียบเสมือนเส้นแดนกั้นความพลุกพล่านจากรถราภายนอกปิดลง ไม่ให้ความวุ่นวายจอแจปะปนเข้ามาในอาณาบริเวณบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนสองชั้น ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางหมู่ต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งให้ความร่มรื่นและร่มเย็นแก่เจ้าของตลอดระยะเวลายี่สิบปีกว่าที่ผ่านมา เจ้าของร่างสูงลงจากรถมาพร้อมกระเป๋าเอกสารและเสื้อคลุมตัวนอกที่พาดแขนไว้ ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าเดินออกจากโรงรถทางฝั่งขวามือของบริเวณบ้านลัดเลาะมาตามทางเดินที่ปูด้วยไม้หมอนรถไฟเก่าสลับหญ้าสีเขียวสด
“เป็นยังไงบ้างลูก” เสียงผู้เป็นแม่ทักลูกชายคนเดียวดังมาก่อนจะทันได้เห็นหน้าที่เขาพยายามปรับไม่ให้ยับยู่ เพราะตลอดทางขับรถกลับบ้านใจของคมิกพนธ์นั้นเต็มไปด้วยความขุ่นมัว
“เพิ่งตกลงเรื่องโครงการใหญ่ไปเมื่อเช้าเองครับ นัดเซ็นสัญญากันอาทิตย์หน้า”
...แม้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น แต่ครอบครัวของนีรากลับไม่ได้ปลื้มเปรมไปกับความก้าวหน้าของเขาอย่างที่ควรเป็น
“ดีจัง แล้วเรื่องที่ไปกินข้าวกับพ่อแม่ของหนูน้ำเป็นไงบ้าง” นางครองขวัญรับกระเป๋าของลูกชายไปถือไว้ พร้อมกับเดินเคียงกันเข้าบ้าน แม้เป็นวันเสาร์ แต่ลูกชายก็ออกไปบริษัทครึ่งวัน ก่อนจะไปกินข้าวที่บ้านของแฟนสาว
“กับข้าวอร่อยครับ” หากทว่าคนเป็นลูกไม่ได้บอกมารดาต่อว่า เหตุการณ์หลังจากนั้นคนร่วมโต๊ะแทบทำให้เขาขย้อนของเก่าออกมาเลยทีเดียว!
ได้กระเป๋าลูกชายแล้วสตรีวัยสี่สิบสี่ปีก็ถือมันไปวางบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น นางครองขวัญเดินเข้าไปในครัวเพื่อสั่งเด็กรับใช้ที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ให้เตรียมยกสำรับออกมาตั้งโต๊ะ คมิกพนธ์นั่งถอดรองเท้าและถุงเท้าเก็บเข้าที่ ในหัวก็ยังคิดถึงถ้อยคำดูถูกซึ่งบังเอิญได้ยินที่บ้านของแฟนสาว
‘ถึงจะเป็นคนเก่ง ทำงานจนมีบริษัทของตัวเองก็ตามเถอะ แต่ก็หนีคำว่าลูกเมียน้อยไม่ได้หรอก เอ่ยชื่อใครเขาก็ทัก บอกชื่อคนก็รู้จักว่าแม่ของแฟนน้ำเป็นเมียน้อยคุณภวิล กี่ปีๆ เรื่องมันก็ยังฉาวโฉ่ รักอยู่กับคนพี่ดีๆ จู่ๆ ดันมาท้องกับคนน้อง ทั้งที่คู่หมั้นเขาก็มีอยู่ทนโท่’
‘ให้โอกาสเดียวหน่อยสิคะคุณแม่ เรื่องนานนมแล้วจะเอามาใส่ใจทำไม คนที่ทำเรื่องไม่ดีคือแม่ของเดียว ไม่ใช่เดียวซะหน่อย’
‘การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคนนะน้ำ พ่อเรารึก็มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เพื่อนฝูงคนใต้บังคับบัญชาก็ไม่น้อย ไหนจะเพื่อนของแม่ที่กระทรวงอีก เขาถือกันจะตายเรื่องเมียน้อยเมียเก็บ’
‘ถึงยังไงเดียวก็ไม่ใช่คนผิด เดียวเป็นคนดี คุณพ่อคุณแม่ก็รู้นี่คะ’
‘แล้วความดีมันจะทำให้เรารอดพ้นไม่ถูกคนนินทาได้เหรอ แม่ไม่เอาด้วยหรอกนะ จะมีลูกเขยทั้งทีก็ขอให้ได้คนไม่มีอดีตด่างพร้อยเถอะ แม่ก็นึกว่าน้ำแค่ลองคบเผื่อเลือก ที่ไหนได้น้ำกลับจริงจังกับพ่อคนนี้เสียได้’
จากที่บังเอิญได้ยิน แม้แฟนสาวพยายามอธิบายกับมารดาของเธอ แต่ในสายตาคนในครอบครัวของนีรา เขาก็ได้ขึ้นชื่อเป็นผู้ชายที่มีประวัติไม่คู่ควรกับหญิงสาวอยู่ดี
ชายหนุ่มครุ่นคำนึงอยู่คนเดียว ขณะกำลังจะเงยหน้าขึ้นนั้น คมิกพนธ์ก็เห็นปลายเท้าคู่หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ ลักษณะเท้าที่อวบอูม แตกต่างจากคนเป็นแม่ ทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง
“น้ำค่ะคุณเดียว”
ตรงหน้าเขาคือหญิงสาวรูปร่างอวบ ผิวขาว กะด้วยสายตาคงสูงราวๆ หนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด เธอส่งยิ้มที่มองดูฝืนและแฝงไปด้วยท่าทางหวาดหวั่นให้เขา
คมิกพนธ์มองข้ามคนแปลกหน้าไปยังมารดา นางครองขวัญจึงเอ่ยขึ้น
“นี่ไงผึ้ง ลูกสาวของวิธานที่ขอฝากให้ทำงานบ้านเรา”
อลิมายิ้มกว้างขึ้นเมื่อนายผู้หญิงแนะนำตัวเธอกับลูกชายนาง พุ่มมืออิ่มที่ยื่นแก้วน้ำให้ชายหนุ่มยังคงมีอาการสั่น ในความคิดของหญิงสาวอายุสิบแปดมีความกริ่งเกรงอยู่ทุกอณู...นี่นะเหรอคุณเดียว ผู้ชายที่พ่อบอกว่าเป็นเจ้านายที่ดุ และกำชับให้เธอทำตัวดีๆ เขาจะได้ให้ทำงานและอยู่ด้วย
“ฉะ...ฉันไม่พร้อม” บอกว่าไม่พร้อม ผลลัพธ์คงจะดีกว่าคำว่า ‘ไม่ยอม’ ล่ะมัง “ไม่พร้อมก็ไม่พร้อม แต่คืนนี้พี่จะค้างกับออม” นอนด้วยกันน่ะนะ...หล่อนไม่คิดว่าเขาจะแค่นอนเฉยๆ แน่! “กลับห้องของคุณไปเถอะ ฉันขอร้อง” “ออมคิดจะทำอะไร” เขาคาดคั้นถาม สายตาที่ใช้มองเธอนั้นจ้องเขม็ง “คิดจะหนีไปจากพี่งั้นสิ นัดใครไว้ที่ไหนหรือมันจะมาหาออมที่นี่” “ฉันไม่ได้นัดใครทั้งนั้น ออกไปเลยนะออกไป” หล่อนทำท่าจะพุ่งเข้ามาผลักเขาอยู่รอมร่อ “ฉันๆๆ พี่รู้สึกไม่คุ้น ฟังไม่รื่นหู ไม่อยากจะอ้อนพี่แล้วสิ ก็ไหนแต่ก่อนชอบพูดนัก ออมอย่างนั้น ออมอย่างนี้” เขายวนหล่อนเล่นเมื่อเห็นหล่อนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “ไม่คุ้นก็เรื่องของคุณ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก” ศิดิตถ์ส่ายหน้า “ไม่ยุ่งไม่ได้ ผัวเมียกันจะไม่ให้ยุ่งกันก็คงแปลก”
ถานเจ๋อบอกว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเขาจะไปเฟิงโจว เฉวียนโจวและถายโจว “เฟิงโจว...” ชายหนุ่มพยักหน้า “ข้าจะไปดูเฉิงหยางปิงเสียหน่อย” สือจิ่วมือกำลังพับผ้า สายตามองอาจื้อที่นั่งเล่นกลองป๋องแป๋งอยู่บนตักอาเจ๋อ “ดูเฉยๆ นะ อย่าเข้าไปยุ่งกับเขา” “กลัวเขาจะทำอะไรข้างั้นรึ เขาไม่รู้จักข้านะ” “ไม่รู้แหละ ถ้าเขาไม่มายุ่งกับเราก่อน ก็ห่างๆ เขาไว้ ข้าไม่อยากให้เจ้าไปดึงดูดเขากลับมาวุ่นวายกับอาจื้ออีก อาจื้อเป็นลูกของข้า” “เป็นลูกข้าด้วย” ถานเจ๋อย้ำ สือจิ่วเห็นถึงความแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น “ตราบใดที่ข้ายังเป็นพระเอกในนิยายเรื่องนี้ ตัวร้ายจะทำอะไรข้าได้” “จัว...ย้าย” เสียงเล็กพูดขึ้นมา คนเป็นพ่อมันเขี้ยวจึงบีบแก้มเด้งของเด็กชายพร้อมทำเสียงดึ๋งๆ ไปด้วย มีเสียงฟึดฟัดของเจ้าอ้วนให้ได้ยิน มือเล็กฟาดกลองป๋องแป๋งใส่เข่าอาเจ๋อไปหนึ่งหน สือจิ่วค้อนพระเอกคนเก่งกับความขี้โอ่ของเขา “ก็ไหนเจ้าบอกว่าพระเอกชื่อจ้าวต่งหมิง” ถานเจ๋อวางอาจื้อบนเตียง มีเขานั่งกั้นไม่ให้ลูกตก ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นนับ “ตอนนี้จ้าวต่งหมิงคงอายุหกขวบเองมั้ง ถ้าเขาเป็นพระเอก เจ้าอ้วนก็ต้องเป็นตัวร้าย มิสู้ข้าแย่งตำแหน่งพระเอกมา ให้เฉิงหยางปิงเป็นตัวร้ายไปเลยยังดีกว่า ส่วนเจ้าก็เป็นนางเอก...ดีไหม”
เมื่อชีวิตและความสาวถูกตีราคาเพียงห้าแสนบาท เดือนอ้ายที่ถูกบังคับขายตัวจึงยอมตกเป็นทาสสวาท มอบความรักและหัวใจให้ผู้เป็นเจ้าของชีวิตเธอ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะตอบแทนเธอกลับ ด้วยความรักไม่ใช่เพียงความใคร่ แต่ถึงแม้เธอจะรักและทำทุกอย่างเพื่อเขามากแค่ไหน ในหัวใจของจักรพัฒน์ เดือนอ้ายก็เป็นได้เพียงนางบำเรอที่หน้าตาคล้ายคนรักเก่า สำหรับเขา เธอเป็นได้แค่เงาของแพรพราว ไม่ใช่วุ้นหรือเดือนอ้ายที่เขารัก
‘คนของอ้าย อ้ายหวง ไม่เป็นที่หนึ่ง ไม่เป็นที่สอง ถ้าพี่เครื้อรักจริง อ้ายต้องเป็นเมียคนเดียวเท่านั้น’ เน้นคำว่า ‘เมีย’ หนักหน่อย เพราะตำแหน่งนี้ไอ้อ้ายคู่ควร! ‘อ้ายดูแลตัวเอง สะอาดตั้งแต่หัวถึงเท้า วันไหนเที่ยวเล่นมอมแมมหน่อยพี่เครื้อก็ยกเว้นนะ’ ‘อืม’ ‘อ้ายรู้จักกาลเทศะ มีน้ำใจ อันนี้พี่เครื้อชมเองบ่อยๆ ยืดได้ใช่มะ’ ‘ได้’ ‘อ้ายซักล้างกวาดถูทำความสะอาดบ้านได้ งานช่างก็ทำคล่อง กับข้าวก็ทำเป็น ถ้ามีของสดในตู้เย็น ยังไงก็ต้องได้กับไว้กินข้าวสักจาน เนี่ย...ดีพร้อมทุกด้านแบบนี้ ถ้าพี่เครื้อปล่อยอ้ายหลุดมือ จะต้องมีคนบอกว่าพี่เครื้อน่ะ...โงว่วววว’ ‘ครับๆ...พี่จะไม่โงว่ววว น้องอ้ายต้องเป็นเมียพี่เครื้อคนเดียวเท่านั้น’
"พี่เจี๋ยข้าอยากได้อีกจุมพิตเพิ่มพลังของท่าน" ฉีเย่ว์กล่าวงึมงำบนริมฝีปากของเขา นางเป็นฝ่ายดูดกลีบปากของหยางเจี๋ยเบา ๆ ซุกไซร้ซอกซอนแหย่ลิ้นเข้าไปในปากของเขา สัมผัสอ่อนนุ่มในคราแรกเริ่มโหมกระหน่ำร้อนแรงมากขึ้น ฉีเย่ว์ปลดสายรัดเอวของเขาออกสอดมือล้วงเข้าไปในกางเกงของหยางเจี๋ยพบเนื้อร้อนของเขาแข็งแกร่งขึ้นเต็มลำ นางขยำแรง ๆ พร้อมกับรูดมือเบา ๆ "อ๊า คนดีของพี่" หยางเจี๋ยมือหนึ่งประคองศีรษะของนางให้แนบชิดกับปากของเขาอีกมือล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของนาง ฉีเย่ว์ไร้อาภรณ์กางกั้นด้านในนางใส่เพียงเสื้อคลุมนอนสีขาวเท่านั้น เขาลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางไล้นิ้วลงไปจนถึงแก้มก้มแล้วขยำเบา หนัก สลับกัน "พี่เจี๋ยให้ข้ารักท่านเถิด" ฉีเย่ว์กัดปากข่มเสียงครางเอาไว้ นางดึงกางเกงของเขาออกโดยมีหยางเจี๋ยคอยช่วยเหลือ นางขึ้นคร่อมเขาอย่างกระหายไม่บัดนี้ตื่นอย่างเต็มตาในขณะที่ควงเอวควบขี่เขาเป็นจังหวะ หยางเจี๋ยขยับรับจังหวะที่องค์ราชินีของตนเองควบขี่ เขาเด้งสะโพกขึ้นรับนางมือดึงผ้ารัดเอวของนางออกแล้วทิ้งไว้ด้านข้าง แหวกสาบเสื้อของนางแล้วผวาศีรษะขึ้นมาอ้าปากดูดรับเนื้ออวบของนางที่กระเด้งเป็นจังหวะ ฉีเย่ว์ดันร่างของตนเองเข้าหาปากเขามือช่วยประคองศีรษะของหยางเจี๋ยให้แนบชิด หยางเจี๋ยดูดปทุมถันคู่งามอย่างกระหาย เสียงหอบหายใจของฉีเย่ว์สั่นสะท้านหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาคือหัวหน้าหน่วยจู่โจมที่ตายในสงคราม และได้ย้อนเวลากลับมาหลายร้อยปีกระทั่งฟื้นขึ้นมาในร่างเด็กน้อยนาม หยางเจี๋ย เด็กผู้อาภัยจากตระกูลใหญ่ ที่บิดาและมารดาถูกใส่ความว่าทุจริตจนต้องจบชีวิตลง หยางเจี๋ยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตในจวนราชครู สหายของบิดา และที่นี่เขาได้พบกับเด็กน้อยผู้หนึ่งนาม ฉีเย่ว์ ธิดาของท่านราชครูฉีผู้สูงส่ง พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ความใกล้ชิดทำให้เขาหวั่นไหว หยางเจี๋ยจะทำเช่นไรเมื่อได้พบว่า ตัวเอง ตกหลุมรักคุณหนูผู้สูงส่งจนหมดหัวใจไปเสียแล้ว เขารักนาง ต้องการทำให้นางตกเป็นของเขา และทำลายขวากหนามทุกอย่างที่ขัดขวางให้หมดสิ้นไป เพื่อนางเพียงคนเดียว
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เพราะเพื่อน..เธอจึงต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ เป็นเหตุให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอแอบชอบ ในขณะเดียวกัน เธอเองก็คิดว่าเขาเป็นเกย์ เพราะสถานการณ์บางอย่างเช่นกัน แล้วความวุ่นวายก็บังเกิด เมื่อเธอดัน…หลงรักเกย์ ‘ฮื่อ! เป็นเกย์นะเว้ยไม่ได้เป็นหวัด รักษาวันเดียวจะหายได้ไง สู้ต่อไปศิศิรา ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มีผัวเป็นตัวเป็นตน เพราะงั้นฉันก็ยังมีหวัง เฮ้อ! อย่างมากก็แค่ผิดหวังล่ะน่า’ ***“สาบานได้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่หยุด จนกว่าเรา…จะเป็นของกันและกัน” เขาบอกก่อนจะผละลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขณะที่สองมือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อ สองตาก็ยังไม่ยอมเลื่อนไปจากเรือนร่างขาวโพลนตรงหน้า และไอ้สายตาคมกล้าประหนึ่งเสือรอตะครุบเหยื่อของเขาก็ทำให้เธอหนาวๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก “ไม่! เราพวกเดียวกัน เรากินกันไม่ได้” เธอพยายามเตือนสติ เพราะคิดว่าเขาอาจจะกำลังขาดสติ “แต่ผมเคยกินคุณแล้ว แล้วผมก็ชอบกินคุณ” เขาพูดพลางหลุบตามองไปที่แพนตี้ของเธอ ทำเอาเจ้าของแพนตี้ทำตาโต ไม่แน่ใจในคำว่ากินของเขา ที่สำคัญ…กะๆ กินอะไร “มะหมายความว่าไง”
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY