คุณเชื่อรึเปล่าว่าแค่การอยากดูดาวจะทำให้เราเจอกับคนที่โชคชะตากำหนดมาให้ ฉันไม่เคยเชื่อเลยจนมาเจอกับตัวเอง เป็นเพราะดาวหรือเพราะโชคชะตากันนะที่ทำให้เขากับเธอมาเจอกันในสถานที่และห้วงเวลาที่ต่างออกไป
คุณเชื่อรึเปล่าว่าแค่การอยากดูดาวจะทำให้เราเจอกับคนที่โชคชะตากำหนดมาให้ ฉันไม่เคยเชื่อเลยจนมาเจอกับตัวเอง เป็นเพราะดาวหรือเพราะโชคชะตากันนะที่ทำให้เขากับเธอมาเจอกันในสถานที่และห้วงเวลาที่ต่างออกไป
วันนี้คือวันที่คู่รักทั่วโลกแสดงความรักต่อกัน แต่เธอกลับถูกแฟนหนุ่มที่คบกันมาตั้งสามปีบอกเลิกทำไมกันนะ ทำไมโชคชะตาต้องเล่นตลกกับหญิงสาวตัวเล็กๆ อย่างเธอด้วย ลู่เมิ่งหลิงสาวน้อยวัย19ปีที่เพิ่งถูกคนรักบอกเลิกเมื่อเช้า ตอนนี้กำลังนั่งร้องไห้ปรับทุกข์คนเดียวที่สวนสาธารณะหน้าหอดูดาวในเมืองแห่งหนึ่ง พลางในมือถือขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ด้วย
“ถานมู่ไป๋ นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงกัน ฉันอุตส่าห์คบกับนายตั้งสองปี สองปีเชียวนะที่ฉันยอมนายทุกอย่าง โชคชะตาเล่นบ้าอะไรกับชีวิตฉันเนี่ย ทำให้ต้องทำให้คนอย่างฉันไม่เหลือใครด้วยเนี่ย” ปากพลางพร่ำเพ้อโทษโชคชะตา มือก็พลางยกเครื่องดื่มขึ้นมาจรดปากตนเพื่อหวังเพียงให้มันช่วยคลายความโศกเศร้าในใจตนได้
“ดาวตกงั้นเหรอ จริงสินะวันนี้มีดาวตกนี้น่า ไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน” ว่าอย่างนั้นลู่เมิ่งหลิงก็ลุกขึ้นเพื่อจะเดินเข้าไปภายในหอดูดาวสาธารณะที่เปิดบริการอยู่ทันที
“ขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ” พนักงานขอบัตรประชาชนของลู่เมิ่งหลิง ก่อนที่เธอจะยื่นให้เหมือนเคยและได้ยินคำพูดบางอย่างของพนักงานที่ดูแลทางเข้าที่ชวนให้ประหลาดใจประโยคหนึ่ง
“หวังว่าจะหลุดพ้นจากเรื่องที่ไม่สมหวังนะครับ”
“คะ!? อ่อขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะคะ” ลู่เมิ่งหลิงเอ่ยขอบคุณก่อนจะรับบัตรประชาชนของตนกลับคืนมา
“ครับ ข่าวบอกว่าคืนนี้จะมีดาวตกที่ในร้อยปีจะมีสักครั้งด้วยนะครับ หวังว่าคุณจะโชคดีได้เจอนะครับ”
“ค่ะ หวังว่าฉันจะมองเห็นมันนะคะ” ลู่เมิ่งหลิงขอบคุณพนักงานคนนั้นก่อนจะเลือกเดินขึ้นไปด้านบนของหอดูดาวแห่งนี้เพื่อจับจองพื้นที่สำหรับดูดาวในคืนนี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือทั้งที่คืนนี้เป็นวันที่จะมีดาวตกที่จะมีทุกร้อยปีเกิดขึ้นแท้แต่กลับไม่มีใครอยู่ที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงเธอและสายลมเย็นที่พัดผ่านเท่านั้น
“ไม่มีคนงั้นสินะ เอาเถอะหากว่าคืนนี้มีดาวตกที่ทุกร้อยปีจะมีสักครั้งเกิดขึ้นจริงก็ขอให้คำขอของฉันเป็นจริงทีเถอะ” ลู่เมิ่งหลิงพลางยกสองมือประสานกันเพื่ออธิษฐานต่อดาวและเทพบนสวรรค์ให้ช่วยบันดาลให้คำขอของเธอเป็นจริงเท่านั้น
“เอาล่ะ ลู่เมิ่งหลิงพรุ่งนี้เธอยังต้องไปเรียน จะมามัวแต่เสียใจกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ” ลู่เมิ่งหลิงปลอบใจตัวเองแล้วเดินลงมาจากหอดูดาวเพื่อกลับไปยังหอพักนักศึกษาที่ตนอาศัยอยู่ในตอนนี้
“อาเตี๋ยฉันกลับแล้ว อาเตี๋ยเธออยู่ไหม” ลู่เมิ่งหลิงเรียกชื่อของรูมเมทของตน ก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้รูมเมทของเธอไปค้างที่ห้องของแฟนหนุ่มที่อยู่นอกมหาลัย
“วันนี้แม้แต่อาเตี๋ยที่น่ารักก็ยังไปนอนหอแฟนเลยสินะ แล้วฉันล่ะถูกแฟนบอกเลิกไม่พอ ยังต้องมานั่งดื่มเหล้าในหอคนเดียวอีก วันนี้มันวันอะไรของฉันเนี่ย” ว่าจบลู่เมิ่งหลิงก็ล้มตัวลงบนเตียงก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าเพื่อปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อนลง
ร่างบางหลับลงอย่างไม่สติจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหูเบาๆ
‘เด็กน้อยลืมตาขึ้นมาเถอะ แม่มารับเจ้าแล้ว’
'ใครน่ะ'ลู่เมิ่งหลิงที่ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาเพียงเอ่ยถามเท่านั้น
'แม่มารับเจ้าแล้ว เมิ่งเมิ่ง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ลูกควรอยู่ ไปเถอะกลับไปกับแม่ แม่จะพาเจ้ากลับไปในที่ที่เจ้ากลับมา'
'จะพาฉันไปไหนกันน่ะ'
'เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าก็จะรู้ได้เองเมิ่งเมิ่ง'เสียงของผู้หญิงคนนั้นเงียบไป ลู่เมิ่งหลิงก็หลับลงไปอีกครั้ง
แสงอาทิตย์สาดส่อง เสียงของนกน้อยใหญ่ดังขึ้นเบาๆ เหมือนการขับกล่อมให้ตื่นขึ้นจากนิทรา สาวน้อยค่อยๆ ตัดสินใจลืมตัวขึ้นมามองดูธรรมชาติเบื้องหน้า พลางใช่สายตาสำรวจรอบๆ อย่างนึกสงสัยว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันแน่ หรือเพียงเพราะนี้เป็นแค่ฝันที่ตนสร้างขึ้นจากจินตนาการในยามเช้า หรือนี่คือเรื่องจริงกันแน่
เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริง สาวน้อยก็ลุกขึ้นมองเสื้อผ้าของตนที่ตอนนี้อยู่ในชุดจีนโบราณผ้าเนื้อดีสีขาวเหลือบน้ำเงินปักด้วยลายที่วิจิตรประณีต เช่นนั้นสาวน้อยจึงวิ่งไปที่สระน้ำด้านหน้าที่ใสราวกับกระจกเพื่อจะสำรวจใบหน้าของตน ก่อนจะพบว่าฝาหน้าของเธอในตอนนี้งดงามยิ่งกว่าเทพธิดาบนสรวงสวรรค์หรือกระทั่งดาราในยุคปัจจุบันที่เธอจากมาด้วย แม้ตอนนี้ร่างนี้จะยังเป็นเพียงเด็กอยู่ก็ตาม
“อะไรกัน นี่ใช่ฉันจริงเหรอ” ลู่เมิ่งหลิงใช้มือลูบไปที่กลางหน้าผากของตน
“รอยอะไรกัน ฉันเคยมีรอยแบบนี้อยู่กลางหน้าผากด้วยงั้นเหรอ”
“ตราดารา สัญลักษณ์แห่งเทพธิดาแห่งฝันน่ะ” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้ลู่เมิ่งหลิงตกลงไปในน้ำอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเป็นใครน่ะ”
“อยู่ที่นี่เจ้าต้องใช้ภาษาของที่นี่ มิใช่ภาษาของที่ที่เจ้าจากมารู้หรือไม่ลู่เมิ่งหลิง”
“แล้วคุณเป็นใครกันแน่ รู้ชื่อฉันได้ยังไงกัน แล้วอีกอย่างฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตอบคำถามฉันได้หรือเปล่า” ลู่เมิ่งหลิงถามบุคคลตรงหน้าที่ยืนยิ้มแย้มโดยไม่มีท่าทีว่าจะช่วยตนขึ้นจากน้ำเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เจ้าขึ้นมาจากน้ำดีก่อนหรือไม่ ข้าจะได้ตอบคำถามเจ้าได้ง่ายขึ้น”
“คุณไม่คิดช่วยฉันหน่อยหรือไง ทั้งที่เป็นเพราะคุณแท้ๆ ที่ทำให้ฉันตกลงมาในน้ำแบบนี้น่ะ”
“อ่อ งั้นข้าช่วยเจ้าเอง” ว่าจบร่างกายของเมิ่งหลิงก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากน้ำอย่างช้าๆ พร้อมกับเสื้อผ้าที่แห้งงด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณมาก ว่าแต่คุณคือ”
“เสียมารยาทแล้ว ข้าคือคนที่มารดาเจ้าไหว้วานให้มาช่วยดูแลเจ้าในโลกนี้เท่านั้น”
“ในโลกนี้คุณหมายความว่า ที่ๆ ฉันจากมามันไม่ใช่ที่ของฉันเหรอ”
“ฉลาดดี สมแล้วที่เป็นธิดาเทพธิดาดาราจันทรา ถูกต้องโลกที่เจ้าอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ด่านเคราะห์หนึ่งของเจ้าเท่านั้น”
“ด่านเคราะห์ จะบอกว่าฉันเป็นเทพเซียนหรือไงที่จะได้ต้องผ่านด่านเคราะห์อะไรแบบนั้น”
“ใช่มารดาเจ้าคือเทพธิดาดาราจันทรา ส่วนบิดาของเจ้าก็เป็นเทพเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้เรื่องต่างๆ มากขนาดนั้น ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องรู้มีเพียงแค่เรื่องราวของโลกใบนี้เท่านั้น”
“แล้วฉันต้องรู้อะไรบ้างล่ะ ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจว่าแค่อกหักแล้วทำไมถึงตายแล้วมาอยู่ที่นี่ก็เถอะ แต่ฉันก็จะพยายามทำความเข้าและปรับตัวก็แล้วกัน” เทพผู้นั้นมองเด็กสาวอย่างยิ้มเอ็นดูกับการกระทำของนาง
“เหมือนบิดาเสียยิ่งกว่าใครจริง เอาล่ะอย่างแรกเลยก็คือเจ้าลู่เมิ่งหลิง เจ้าต้องเปลี่ยนวิธีการพูดใหม่เสียเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอเวลาอีกหน่อยนะคะ ตอนนี้ฉัน…ข้าอยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครในโลกนี้กันแน่ แล้วทำไมตอนนี้ข้าเหมือนเป็นเด็กเช่นนี้ล่ะ” ลู่เมิ่งหลิงถามเทพหนุ่มตรงหน้าตน เพราะอยากรู้เหตุผลที่แท้จริงที่ตนมายังโลกนี้
“เจ้าคือลู่เมิ่งหลิง ปีนี้อายุเจ็ดหนาวเท่านั้น ในโลกนี้เจ้าก็คือเทพธิดาแห่งฝัน”
“พ่อแม่ข้าล่ะเจ้าคะ”
“ในโลกใบนี้เจ้าเป็นเด็กที่เกิดมาจากพลังของธรรมชาติเท่านั้น เจ้าเป็นสตรีจึงมีพลังหยินมาก เจ้าจำไว้แค่เพียงว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะคอยสั่งสอนเจ้าแทนบิดามารดาเอง”
“เจ้าค่ะ งั้นให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ อาจารย์ดีหรือไม่”
“อย่าเชียว อย่าได้คิดที่จะเรียกข้าว่าอาจารย์เชียวเด็กน้อย มิเช่นนั้นบิดาเจ้าได้มาแหกอกข้าเป็นแน่”
“งั้นให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ”
“เรียกข้าว่าท่านลุงใหญ่ก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสียมารดาเจ้าก็เหมือนน้องสาวของข้าคนนึงเช่นกัน ส่วนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าอาเมิ่ง” เทพหนุ่มบอกเด็กสาวอายุเจ็ดหนาวตรงหน้าตน
“เจ้าค่ะท่านลุงใหญ่ เมิ่งเมิ่งจะทำถามที่ท่านบอก” เด็กน้อยคำนับบุรุษตรงหน้าตน
“เมิ่งเมิ่ง เจ้าแทนตัวเองเช่นนี้ไปได้ยินมาจากไหนหรือ” เทพหนุ่มถามเด็กน้อย เพราะชื่อนี้หากมิใช่บิดาหรือมารดาแล้วย่อมไม่อาจมีผู้ใดเรียกเช่นนี้เป็นแน่
“เสียงของผู้หญิงที่บอกว่าจะพาข้ากลับมาที่ที่ข้าควรอยู่เจ้าค่ะ นางบอกว่าเป็นแม่ข้า” เด็กน้อยตอบบุรุษตรงหน้าตน
“งั้นหรือ อาเมิ่งเจ้าจำไว้นะ นั้นคือเสียงของมารดาเจ้า อาเมิ่งน้อยเจ้ารู้หรือไม่ว่าชื่อของเจ้ามาจากอะไร” เทพหนุ่มพลางลูบหัวเด็กน้อยที่ตอนนี้นั่งอยู่บนตักตน
“ชื่อของข้าหรือเจ้าคะ”
“ใช่ชื่อของเจ้า”
“ชื่อของข้าไม่ได้มาจากกวางแห่งฝันหรือเจ้าคะ”
“เจ้าคิดว่าเป็นเช่นนั้นหรืออาเมิ่ง”
“เจ้าค่ะ มิใช่หรือเจ้าคะ ในโลกก่อนคนที่รับเมิ่งเมิ่งไปเลี้ยงบอกว่า ชื่อของเมิ่งเมิ่งมาจากกวางแห่งฝันเจ้าค่ะ ท่านลุงรู้หรือไม่เจ้าคะ ว่าเมื่อก่อนเมิ่งเมิ่งถูกล้อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อแม่ เป็นเด็กกำพร้าเป็นเพียงแค่เด็กที่ถูกรับเลี้ยงเท่านั้น” เด็กน้อยว่าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจจากการที่ถูกล้อเมื่อชาติก่อน
“อาเมิ่งฟังลุงนะ เรื่องของชาติก่อนจะเป็นเช่นไรก็ช่าง มันก็คือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เจ้ามีลุงใหญ่อยู่ด้วยแล้วจะไม่มีใครรังแกเจ้าได้อีก”
“เจ้าค่ะ เมิ่งเมิ่งรักท่านลุงเจ้าค่ะ ว่าแต่ชื่อของเมิ่งเมิ่งมาจากอะไรกันแน่เจ้าคะ” เด็กน้อยที่ยังไม่คลายความสงสัยเอ่ยถามผู้ที่ตนเรียกว่าลุงอีกครั้ง
“เด็กน้อยเจ้าอยากรู้เช่นนั้นเชียว”
“แน่นอนสิเจ้าคะ ก็ท่านลุงเอ่ยมาเช่นนั้นแล้วจะไม่ให้เมิ่งเมิ่งอยากรู้ได้อย่างไรกัน” เด็กน้อยว่าแก้มป่องอย่างติดงอนเล็กน้อย
“ก็ได้ๆ เดี๋ยวลุงจะบอกให้ ชื่อของเจ้าคือลู่เมิ่งหลิง ลู่ที่มาจากหยกที่สวยงาม เมิ่งมาจากฝันส่วนหลิงมาจากกระดิ่งลม เพราะฉะนั้นชื่อของเจ้าคือ กระดิ่งลมแห่งฝันที่สร้างมาจากหยก” เทพหนุ่มบอกเด็กน้อยตัวกลมบนตักตน
“กระดิ่งลมแห่งฝันที่สร้างมาจากหยกหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ ทำไมท่านแม่ถึงตั้งชื่อข้าแบบนี้กัน”
“เจ้านี้ช่างสงสัยมากจริงนะอาเมิ่ง ชื่อเจ้าหาใช่มารดาเจ้าตั้งไม่ เป็นบิดาของเจ้าต่างหากที่เป็นผู้ตั้งชื่อของเจ้าขึ้นมา” เทพหนุ่มตอบเด็กน้อยบนตักตน
“ท่านพ่อจะตั้งชื่อข้าเช่นนี้ทำไมกันนะ”
“อาเมิ่ง ต่อไปนี้เจ้าแทนตัวเองว่าอาเมิ่งนะ อย่าแทนตัวเองว่าเมิ่งเมิ่งต่อหน้าผู้อื่นอีกเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านลุงใหญ่ต่อไปนี้อาเมิ่งจะต้องทำเช่นไรต่อไปเจ้าคะ”
“ต่อไปนี้ ลุงจะคอยดูแลคอยสอนเจ้าในทุกๆ เรื่องเอง อย่างไรเสียก็เฉพาะเรื่องที่เจ้าต้องรู้ในโลกนี้เท่านั้นแหละนะ ที่ลุงจะสอนเจ้าได้ เพราะอย่างเจ้าเองก็เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อนเช่นกัน”
“ท่านลุงแล้วเราจะพักที่ไหนหรือเจ้าคะ”
“…” เทพหนุ่มไม่ตอบพลางยิ้มก่อนจะใช่พลังสร้างกระท่อมขึ้นมาเพื่อให้เด็กน้อยและตนได้อาศัยอยู่
“เราจะอยู่ที่นี่กัน กระท่อมแห่งนี้คือที่ที่เราสองคนลุงหลานจะอยู่จนกว่าเจ้าจะถึงเวลาที่สมควรออกไปเจอโลกภายนอก”
“ท่านลุงเรียกที่นี่ว่ากระท่อมหรือเจ้าคะ” เมิ่งหลิงถามเทพหนุ่มเพราะสิ่งปลูกสร้างตรงหน้าไม่ควรถูกเรียกว่ากระท่อม ควรเรียกว่าจวนมากกว่า
“งั้นหรือ” เทพหนุ่มว่าก่อนจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกและพาสำรวจรอบๆ โดยไม่รู้เลยว่าจะมีสายตาคู่หนึ่งมากทั้งสองด้วยสายตาอิจฉาอยู่
“หน็อย เจ้าหงส์เฒ่าถือสิทธิ์ว่าเป็นคนที่ดูแลภรรยาข้ามา แล้วยังมีหน้ามาอุ้มลูกสาวก่อนผู้เป็นบิดาเช่นข้าอีก” เทพหนุ่มพูดขึ้นก่อนจะใช้มือทุบเข้าที่ต้นไม้ใกล้อย่างแรง
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
ในชาติก่อน ซูเยว่ซีถูกอวิ๋นถังยวี่ทำร้ายจนตาย ทำผิดต่อครอบครัวของท่านตา และตัวเองยังถูกทรมานจนตาย เกิดใหม่ครั้งนี้ นางตั้งใจจะจัดการกับพวกผู้ชายชั่วและหญิงเลวจัดการพ่อชั่ว เพื่อปกป้องแม่และครอบครัวของท่านตาให้ปลอดภัย พวกผู้ชายชั่วเข้ามาใกล้งั้นเหรอ นางจะใช้แผนให้เขาเสียชื่อเสียง หญิงตีสองหน้าเก่งชอบทำตัวอ่อนแองั้นเหรอ นางจะเปิดโปงธาตุแท้อีกฝ่ายและไล่นางออกจากจวนซู! ในชาตินี้ สิ่งที่นางต้องทำคือการจัดการพวกปลวกที่แอบแฝงอยู่ในราชสำนัก แก้แค้นคนทรยศ เพื่อปกป้องท่านตาที่เป็นคนซื่อสัตย์ นางใช้มือเรียวเป็นเครื่องมือ ก่อให้เมืองจิงเกิดความวุ่นวาย แต่ท่ามกลางความโกลาหล นางได้พบกับองค์ชาย ผู้ที่ทุกคนเล่าลือว่าเป็นคนพิการ “อวิ๋นเฮิง เจ้าจะมาขวางข้าหรือ” อวิ๋นเฮิงยิ้มเบาๆ “ไม่ ข้าตั้งใจจะมาช่วยเจ้า”
เพราะเพื่อน..เธอจึงต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ เป็นเหตุให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอแอบชอบ ในขณะเดียวกัน เธอเองก็คิดว่าเขาเป็นเกย์ เพราะสถานการณ์บางอย่างเช่นกัน แล้วความวุ่นวายก็บังเกิด เมื่อเธอดัน…หลงรักเกย์ ‘ฮื่อ! เป็นเกย์นะเว้ยไม่ได้เป็นหวัด รักษาวันเดียวจะหายได้ไง สู้ต่อไปศิศิรา ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มีผัวเป็นตัวเป็นตน เพราะงั้นฉันก็ยังมีหวัง เฮ้อ! อย่างมากก็แค่ผิดหวังล่ะน่า’ ***“สาบานได้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่หยุด จนกว่าเรา…จะเป็นของกันและกัน” เขาบอกก่อนจะผละลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขณะที่สองมือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อ สองตาก็ยังไม่ยอมเลื่อนไปจากเรือนร่างขาวโพลนตรงหน้า และไอ้สายตาคมกล้าประหนึ่งเสือรอตะครุบเหยื่อของเขาก็ทำให้เธอหนาวๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก “ไม่! เราพวกเดียวกัน เรากินกันไม่ได้” เธอพยายามเตือนสติ เพราะคิดว่าเขาอาจจะกำลังขาดสติ “แต่ผมเคยกินคุณแล้ว แล้วผมก็ชอบกินคุณ” เขาพูดพลางหลุบตามองไปที่แพนตี้ของเธอ ทำเอาเจ้าของแพนตี้ทำตาโต ไม่แน่ใจในคำว่ากินของเขา ที่สำคัญ…กะๆ กินอะไร “มะหมายความว่าไง”
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY