เคยมีสหายต่างเพศไหม สหายที่ไม่รู้อะไรของกันและกันเลย รู้แค่ว่า...สุขใจที่ได้ร่ำสุรา และเล่นหมากล้อมกัน อย่างไม่มีวันเบื่อ...
เคยมีสหายต่างเพศไหม สหายที่ไม่รู้อะไรของกันและกันเลย รู้แค่ว่า...สุขใจที่ได้ร่ำสุรา และเล่นหมากล้อมกัน อย่างไม่มีวันเบื่อ...
สมัยราชวงศ์ฮั่นรุ่งเรืองเมื่อ ประมาณ 206 ปี ก่อน ค.ศ. ………………..
ณ แคว้นไท่เหยี่ยน…หัวเมืองทางตอนเหนือของจงหยวน เป็นแคว้นชายแดนที่ห่างไกล ยังไม่มีเชื้อพระวงศ์ไปปกครองเป็นเจ้าเมือง มีเพียงแม่ทัพที่รักษาเมืองหลังกำจัดเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ก่อนได้แล้วเท่านั้น เป็นเสมือนตำแหน่งรักษาการแทนเจ้าผู้ครองแคว้น
แม่ทัพหลิวหย่งซื่อ….เป็นแม่ทัพใหญ่ที่รักษาการณ์ในตำแหน่งผู้ปกครองดูแลความสงบเรียบร้อยของแคว้น…เนื่องจากติดชายแดน ต้องทำสงครามบ่อยครั้ง มีความเก่งกล้าสามารถปราบศัตรูพ่าย 10 ปีให้หลังนี้ยังไม่เคยแพ้สงครามเลย แม้ว่าจะมีการทำศึกกับใกล้เคียง และชนเผ่าเร่ร่อนอยู่เนืองๆ
3 ปีที่ผ่านมาแม่ทัพหลิวหย่งซื่อนำทัพทำศึกได้รับชัยชนะ จนสามารถรวบรวมนครขนาดเล็ก 2 นครเป็นแคว้นเดียว องค์จักรพรรดิมีพระราชโองการพระราชทานรางวัล โดยพระราชทานองค์หญิงลี่เหลียนพระราชธิดาองค์โตที่เกิดจากซุนฟู่เหรินให้รองแม่ทัพซ้าย …นามหลิวไป๋กวนบุตรชายคนรองของแม่ทัพหลิวหย่งซื่อ…เป็นสมรสพระราชทาน และแต่งตั้งให้เป็น ‘เลี่ยโหว ’….ซึ่งเป็นตำแหน่งราชบุตรเขย
ตามกฎการปกครองบ้านเมือง หัวเมืองใดปกครองนครมากกว่า 1 แห่ง ต้องมี ' จูโหวหวัง ' ซึ่งเป็นตำแหน่งของอ๋อง…พระราชโอรสขององค์จักรพรรดิไปครองเมืองดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ …จึงทำการส่งเชื้อพระวงศ์ไปเชื่อมสัมพันธไมตรีไว้ก่อน
แม่ทัพหลิวหย่งซื่อมีบุตรที่เกิดจากหลิวฮูหยินทั้งสิ้น 4 คน เป็นบุตรชาย 3 คนและบุตรสาว 1 คน บุตรชายล้วนเก่งกล้าสามารถไม่แพ้บิดาของตน ส่วนบุตรสาวเป็นกลุสตรีที่เพียบพร้อม มีเพียงบุตรชายคนโตที่แต่งงานมีภรรยาแล้ว รางวัลสมรสพระราชทานนี้…..จึงตกเป็นของบุตรชายคนรองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรื่องนี้แม่ทัพหลิวหย่งซื่อทราบดี ไม่ปรารถนาจะเป็นเจ้าครองแคว้นแต่แรก เพราะเข้าใจในเล่ห์กลของวังหลวง ที่ต้องการให้เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่ปกครองแคว้น มิฉะนั้นอาจถูกใส่ร้ายและกล่าวหาว่าเป็นกบฎจนไม่อาจรักษาชีวิตของตนและครอบครัวได้
เป็นเหตุให้ท่านแม่ทัพหลิวหย่งซื่อต้องจัดหา 'องครักษ์หญิง' จากแคว้นทางตะวันออก เพื่อมาดูแลความปลอดภัยให้กับองค์หญิงลี่เหลียนโดยเฉพาะ จึงได้ส่งสาส์นขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหวังเหว่ยผู้เป็นสหายรัก ผู้ที่มีตำแหน่งรักษาการแคว้นยู่ที่แคว้นจิ้น …แคว้นทางตะวันออก
เพราะต้องการหลีกเลี่ยงข้อครหาเรื่องการก่อกบฎ จึงคิดยืมมือคนนอกแคว้นที่ไว้ใจได้ เข้ามาเป็นคนกลาง
แคว้นจิ้น…เป็นเมืองชายแดนขนาดใหญ่ทางตะวันออกของจงหยวน ใหญ่กว่าแคว้นไท่เหยี่ยนเดิมก่อนรวม 2 นคร
แม่ทัพหวังเหว่ยปกครองด้วยความสามารถร่วมกับฮูหยินหวัง และบุตรกว่า 20 คนที่เชี่ยวชาญการรบ มีกองทหารหญิง จัดเป็นกองกำลังพิเศษสำหรับหวังฮูหยินบัญชาการโดยเฉพาะ
สืบเนื่องจากนานมาแล้ว มีครั้งหนึ่ง….ระหว่างที่ท่านแม่ทัพนำทัพออกศึก ถูกข้าศึกย้อนกลับเข้ามาบุกทำลายในเมือง ดีที่ฮูหยินและบุตรชาย-หญิงเก่งกล้า สามารถสู้ศึกรอดพ้นวิกฤตนั้นมาได้ ต่อมาจึงตั้งกองทหารหญิงโดยฝึกมาสาวใช้ในเรือนให้มีความสามารถใกล้เคียงกับทหารชายที่สุด ทำงานในจวนพร้อมทั้งดูแลคุ้มครองฮูหยินและลูกหลานไปด้วย
เมื่อได้รับสาส์นขอความช่วยเหลือ ขณะนั้นท่านแม่ทัพหวังเหว่ยไปออกรบที่แคว้นใกล้เคียง ในเมืองอำนาจสิทธิ์ขาดจึงเป็นของหวังฮูหยิน นางพิจารณาส่งสาวใช้ที่ฉลาดและไว้ใจได้ไป 10 คน โดยใช้พิราบสื่อสารแจ้งกับท่านแม่ทัพหลังจากที่เหล่าทหารหญิงได้ออกเดินทางไปแล้ว
การเดินทางไปแคว้นไท่เหยี่ยน ซึ่งเป็นเมืองทางตอนเหนือใช้เวลาในการเดินทางยาวนาน ถ้าเป็นพ่อค้าใช้เวลาเดินทางเกือบ 30 วัน แต่นี่เป็นกองกำลังหน่วยรบพิเศษจึงใช้เวลาเพียง 15 วันเท่านั้น
โรงเตี๊ยมที่พวกนางไปพัก มักเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ ไม่เป็นที่สนใจกับผู้คนมากนัก การแต่งกายเป็นชายใส่อาภรณ์สีดำแดงที่มีหน้ากากหนังสัตว์ชนิดพิเศษอำพรางใบหน้า
“ คุณหนู!!! ทำเช่นนี้ข้าจะถูกท่านฮูหยินตำหนิได้ ” หลี่หนิงซาหัวหน้าหน่วยรบพิเศษชุดนี้ เอ่ยขึ้นหลังจากที่สำรวจผู้ติดตาม ซึ่งจำนวนครบจริง แต่ไม่ใช่คนตามรายชื่อ… ที่ผ่านมา 4-5 วันนั้น ทั้งหมดไม่ได้พักม้ายาวนานเช่นวันนี้ แม้จะรู้ว่ามีเรื่องผิดปกติ แต่ก็เบาใจว่า เป็นคนที่นางรู้จักเป็นอย่างดี จึงได้ปล่อยผ่าน จนมาถึงที่โรงเตี๊ยมก่อนจึงสะสาง
“ พี่หนิงซาก็… ข้าว่างพอดี อยู่จวนน่าเบื่อ” ใช่แล้วคนที่ไม่ใช่คนนี้คือคุณหนู 19 บุตรสาวคนเล็กของท่านแม่ทัพหวังเหว่ย…นามว่า หวังหยูจี อายุย่างเข้า 15 หนาว
“ เพลานี้คุณหนูควรอยู่ที่กองทัพใช่หรือไม่” น้ำเสียงฟังดุเข้มงวด แต่ไม่มากนัก เพราะรู้ว่าบุตรสาวคนเล็กของท่านแม่ทัพหวังผู้นี้ เป็นที่รักยิ่งของท่านแม่ทัพและหวังฮูหยิน ทั้งรักและตามใจ โชคดีที่นางมีนิสัยส่วนตัวเป็นมิตร มีเมตตาและคุณธรรม ใฝ่ศึกษาหาความรู้ในศาสตร์ทุกแขนงที่ท่านทั้ง 2 คนสอนบุตรธิดา จึงยิ่งเป็นที่โปรดปราน
ปกติจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่บิดาและพี่ๆ ไฉนนางจึงมาอยู่ที่นี่เล่า….
“ ท่านพ่อให้ข้ากลับมาก่อน เพราะข้าต้องเตรียมตัวเข้าพิธีปักปิ่นในอีก 3 - 4 เดือนข้างหน้า ” น้ำเสียงนั้นแสดงถึงความเบื่อหน่ายอย่างปิดไม่มิด
“ นั่นสิเจ้าคะ ทำไมมาอยู่นี่ ” ทำไมหลี่หนิงซาจะไม่รู้ว่า คู่หมั้นของหวังหยูจีเป็นใคร
“ ก็ยังไม่ถึงเวลา แต่ข้าอยากมาเปิดหูเปิดตาที่แคว้นไท่เหยี่ยนบ้างนี่ ” ยังคงเป็นเด็กสาวที่เฉไฉเช่นเดิม
ด้วยความที่หลี่หนิงซา เป็นพี่เลี้ยงดูแลคุณหนูของตัวเองมาตั้งแต่เล็ก รู้ถึงพื้นนิสัยของนางดี จึงหยุดเซ้าซี้ให้เด็กสาวไม่พอใจ เกรงว่าถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เด็กสาวอาจจะหาทางไปที่จวนแม่ทัพหลิวเอง…ก็เป็นได้
ยิ่งถ้าให้กลับจวนเองแล้วล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ว่า….คนที่ตั้งใจแน่วแน่อย่างหวังหยูจีจะทำตามคำสั่ง ดังนั้นนางจึงหาทางประนีประนอม เพื่อให้สถานการณ์นี้ควบคุมได้
“ แคว้นไท่เหยี่ยน มีคู่หมั้นของท่านอยู่ คุณหนูทราบหรือไม่ ”
“ โอ๊ะ!!!!….จริงหรือ ” …เป็นอาการแสร้งทำ…ที่ทำให้หลี่หนิงซาอมยิ้มและส่ายหน้า …เพราะไม่มีทางเป็นไปได้ที่หวังหยูจีจะไม่ทราบ
“ คุณหนูไม่ควรเจอคู่หมั้นก่อนพิธีแต่งงาน ยิ่งยังไม่ได้ปักปิ่น ยิ่งไม่เหมาะ”
“ ทำไมล่ะ ” น้ำเสียงนั้นดูเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ
“ ไม่มีชายคนใดที่ดีที่สุดหรอก สิ่งที่คุณหนูพบเจอก่อนการแต่งงาน อาจทำให้คุณหนูไม่สบายใจ ส่งผลทำให้ชีวิตแต่งงานไม่ราบรื่น” นางเตือนอย่างคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน
“ ดีสิ ข้าจะได้ยกเลิกการหมั้นหมาย หรือไม่ก็พยายามปรับตัวเข้ามาเขา ” เป็นคำตอบที่…ชาตินี้คนอย่างหวังหยูจีไม่อาจทำใจยอมรับได้ …โดยเฉพาะเรื่องการปรับตัวเข้าหา เพราะด้วยฐานะที่เท่าเทียมกัน การยอมให้อีกฝ่าย….กับคนอื่นคงสบาย แต่นี่คือหวังหยูจี …. ไม่มีทาง
“ เอาล่ะ ข้าคงเถียงกับท่านไม่ชนะเป็นแน่ ” นางบอกพร้อมกับยกยิ้ม
“ ข้าสัญญาจะเป็นเด็กดี ” หวังหยูจีเข้าไปโอบกอดรอบเอวพี่เลี้ยงจากเอาใจ
“ ถ้าเช่นนั้น ต้องปลอมตัวเป็นคนที่ท่านมาแทน ” เพราะรายชื่อขององครักษ์หญิงถูกส่งมาก่อนหน้านี้แล้วโดยนกพิราบสื่อสาร ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างทางได้ เนื่องจากภารกิจนี้คือการถวายการคุ้มครองพระราชธิดาขององค์จักรพรรดิ การกระทำใดๆต้องชัดเจน และตรวจสอบได้
“ ได้สิ ข้าเตรียมตัวมาแล้ว ท่านหัวหน้าเรียกข้าว่า ‘เสี่ยวซิง’ได้เลย " มาจากนาม ‘ซ่านเจียวซิง’ เป็นนามขององครักษ์หญิงคนที่นางเปลี่ยนตัวมา
“ ข้าจะยอมให้คุณหนูอยู่ที่นี่ได้ 3 เดือนเท่านั้นนะเจ้าคะ ” เพราะพิธีปักปิ่นของจวนแม่ทัพหวังยิ่งใหญ่ หัวหน้าหน่วยทุกหน่วยต้องไปเข้าร่วมพิธี …เพลานั้นนางต้องกลับแคว้นจิ้นอยู่แล้ว การกำหนดเวลาล่วงหน้าจะทำให้หวังหยูจีเตรียมใจยอมรับคำสั่งได้
“ เจ้าค่ะท่านหัวหน้า ” เป็นคำตอบที่เด็กสาวอายุอานาม 14 ย่าง 15 หนาวดีใจยิ่งนัก ส่วนหลี่หนิงซาได้แต่อมยิ้มและส่ายหน้าให้ตัวเอง นางไม่เคยใจแข็งกับคุณหนูตัวน้อยของนางได้สักครั้ง เพราะเด็กสาวฉลาดที่จะยอมผ่อนสั้นผ่อนยาวเพื่อให้ได้ตามที่ตนเองต้องการ มิใช่เอาแต่ใจฝ่ายเดียว
เมื่อเจรจาเป็นที่เรียบร้อยแล้วลูกทีมอีก 8 คนก็ต้องมาซักซ้อมเรื่องการปลอมตัวของบุตรสาวคนเล็กท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งแควันจิ้นด้วย ปกติในระหว่างออกรบ นางจะไม่ถือยศถือศักดิ์เท่าไหร่นัก เป็นที่สบายใจของคนติดตามใกล้ชิด ทำให้ครั้งนั้นการแฝงตัวเข้ามาในจวนแม่ทัพแคว้นไท่เหยี่ยนจึงง่ายดังพลิกฝ่ามือ
อีกฟากหนึ่งของโรงเตี๊ยม …มีกลุ่มขบวนคาราวานที่เข้ามาพักค้างแรมที่นี่เช่นกัน เพราะเป็นทางเดียวที่จะเข้าสู่แคว้นไท่เหยี่ยน ที่นี่เป็นที่พักม้า พักคน และแลกเปลี่ยนสินค้า จึงมีคนเดินทางกันขวักไขว่
“ เรียนองค์หญิง เป็นเอ่อ……..จริงๆพะยะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์มารายงานด้วยน้ำเสียงเบาและมีท่าทีลำบากใจ เพราะขบวนสมรสพระราชทานนี้ เดินทางหลังจากที่องค์หญิงลี่เหลียนอวยพรคู่บ่าวสาวเสร็จสิ้น …
แต่เจ้าบ่าว….ปรากฎตัวที่ด่านชายแดน แล้วเจ้าสาวล่ะ?!! แล้วผู้คนทางนู้นล่ะ
--------
ฝากติดตามด้วยค่ะ
ณิณี แซ่ลิ้ม
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
【สาวน้อยผู้มีความรักในใจกลายเป็นหญิงสาวที่มีสติปัญญา vs ซีอีโอผู้ตามรักอย่างบ้าคลั่ง】 ในปีที่ห้าของการแต่งงานแบบลับๆ ของเธอ เสิ่นจาวหนิงเห็นสามีของไปเปิดห้องที่โรงแรมกับรักแรกของเขากับตาตนเอง จากนั้นเธอเพิ่งรู้ว่าลี่เยี่ยนซิวแต่งงานกับเธอเพราะเธอดูคล้ายกับรักแรกของเขา เสิ่นจาวหนิงตายใจและหลอกให้ลี่เยี่ยนซิวเซ็นสัญญาหย่า หนึ่งเดือนต่อมา เธอประกาศต่อหน้าผู้คนว่า “ลี่เยี่ยนซิว ฉันไม่ต้องการคุณอีกแล้ว อให้คุณกับรักแรกของคุณจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ลี่เยี่ยนซิวกอดเธอพร้อมน้ำตาคลอเบ้า “เสิ่นจาวหนิง คุณเป็นคนที่เข้ามาหาผมก่อน แล้วตอนนี้คุณจะทิ้งผมง่ายๆ ได้ยังไง?” ****** หลังจากที่เสิ่นจาวหนิงหย่า งานของเธอไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บริษัทก็เตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในงานเลี้ยงฉลอง ลี่เยี่ยนซิวก็เข้าร่วมด้วย เขามองอดีตภรรยาที่จับมือผู้ชายอื่นด้วยความหึงหวงอย่างแรง ขณะที่เสิ่นจาวหนิงเตรียมเปลี่ยนชุด เขาก็ตรงเข้ามาหาเธอในห้องลองเสื้อ “ผู้ชายคนนั้นดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสิ่นจาวหนิงถึงสังเกตเห็นว่าลี่เยี่ยนซิวร้องไห้แล้ว น้ำตาของเขาตกลงบนกระดูกไหปลาร้าของเธอและมันรู้สึกร้อนๆ “เสิ่นจาวหนิง ผมเสียใจแล้ว เราคืนดีกันได้ไหม?”
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY