เลี้ยงต้อย ป๋าคิดยังไงว่าเขาชอบ อเล็กซิสมองร่างอ้วนติดในทางเตี๊ยอย่างสมเพช ไม่เคยคิดแต่งงาน พอโดนจับคลุมถุงชน หน้าตา รูปร่างเจ้าสาวทำเอาเขาสะอึกอึ้ง....
เลี้ยงต้อย ป๋าคิดยังไงว่าเขาชอบ อเล็กซิสมองร่างอ้วนติดในทางเตี๊ยอย่างสมเพช ไม่เคยคิดแต่งงาน พอโดนจับคลุมถุงชน หน้าตา รูปร่างเจ้าสาวทำเอาเขาสะอึกอึ้ง....
ปลูกขวัญนั่งพักบนเก้าอี้หรูตรงมุมแจกันใบใหญ่หลังจากทำความสะอาดโถงทางเดินยาวจนเลยขึ้นไปสู่บันไดทรงโค้งราวสีทอง ซึ่งมีโคมไประย้าสวยงามห้อยอยู่ คฤหาสน์หลังใหญ่โตนี้เป็นทรงต่างประเทศ โคมไฟก็ชื่อเรียกยากเธอจำไม่ได้ แม้เธอเคยได้ยินแม่พูดก็ตาม สาวน้อยยกมือเช็ดเหงื่อ สักพักมือถือในกระโปรงสีฟ้าแม่บ้านสั่นไหวสาวน้อยอายุสิบแปดสะดุ้ง
หรือว่าเป็นเขา!
ไม่มีใครโทรหาหรอก เธอไม่มีเพื่อน เบอร์เธอมีเพียงเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ สาวน้อยมองมือถือเห็นเป็นเจ้าของคฤหาสน์จริงก็มือสั่น เรียกหาเราทำไมกันนะ เขาดูน่าเกรงขามในสายตาเธอ แม้มีใบหน้าหล่อเหลายังกับหนุ่มมาเฟียในหนังสือนิยายที่ชอบอ่านและบทบรรยายที่นักเขียนบอกก็ตาม แต่เห็นกี่ครั้งก็ทำหัวใจสั่นชอบกล
เสียงยังดังไม่หยุดปลูกขวัญกระวนกระวายคิดไปว่าเขาจะขับไล่เธอออกจากบ้าน คิดไปต่างๆ นาๆ นึกได้ไม่ใช่เวลาให้คิดก็ลุกขึ้นเดินขึ้นบันไดสะอาดหรูหราช้าๆ ด้วยความหวาดหวั่น
สายตาไม่กล้ามองบอดี้การ์ดตัวโตๆ ที่ยืนอยู่หลายคนเกือบทุกมุมภายในบ้านหลังใหญ่
การ์ดหน้าห้องไม่มองหน้าเธอเคาะประตูรายงานเจ้านายถึงการมา ปลูกขวัญเดินเข้าห้องช้าๆ ภายในห้องทำงานหรูของ นทีธัชช์ อเล็กซิส ปราการกิจ หนุ่มลูกครึ่งผสมหลายเชื้อชาติเจ้าของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีสาขาทั่วโลก และยังเป็นผู้บริหารคนหนึ่งของสายการบินชื่อดังที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษทางมารดากว่าสี่รุ่น ปลูกขวัญรู้เพียงแค่นั้น ซึ่งแค่นั้นก็ทำเธอเกรงกลัว เกรงใจเขามากมาย
เด็กผู้หญิงต่ำต้อยอย่างเธอไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าได้มาเห็น มาอยู่ในบ้านที่มีห้องสวยงามแบบนี้ ห้องทำงานชายหนุ่มมันกว้างขว้างตกแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบแต่หรู มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น
ส่วนนทีธัชช์ที่คนในบ้านเรียกว่าคุณอเล็กเป็นส่วนใหญ่ชายหนุ่มไม่ยี่หระกับการมาของคนที่เรียกหานัก แต่จำเป็นต้องคุย เพราะตนนั้นไม่คิดจะมาเสียเวลาอยู่ที่คฤหาสน์ขนาดเล็กที่เมืองไทยนานนัก ตอนนี้กิจการที่นี่น้องสาวดูแลอยู่ แต่คราวนี้เพื่อความต้องการของคนที่รักทำให้เขาก้าวขาออกจากเมืองไทยไม่ได้เสียที
“จะทิ้งน้องให้ปวดหัวคนเดียวอีกนานแค่ไหน น้องอยู่คอนโดนะไม่ค่อยกลับไปที่นั่น พี่กลับมาจัดการซะที” ปลายหมอกหรือซาร่าตัดพ้อจนเขาทนนิ่งดูดายไม่ได้ต้องบินด่วยมาเมืองไทย
ทว่ามาถึงก็เจอเรื่องไม่คาดคิด พินัยกรรมบ้าบอเขาไม่มีวันยอมรับ ป๋าต้องการให้เขาแต่งงานกับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ป๋านะป๋าคิดว่าเขานิยมเลี้ยงต้อยกินเด็กหรือไง มันน่าเบื่อแบบนี้ไม่รู้หรือไง ชายหนุ่มหน้าคมแบบฉบับหนุ่มลูกครึ่งมองเมืองกรุงเทพฯ ที่มาน้อยครั้ง นานครั้งจะกลับมาเยี่ยมน้องสาว แต่น้องสาวตัวดีไม่ได้อยู่ให้เห็นหน้ามากนัก อย่างครั้งนี้พอตนมาถึงปลายหมอกก็บินไปญี่ปุ่นทันที
“ซาร่าใช่เจ้าสาวที่ไหน ทำไมต้องอยู่” น้องสาวว่าแค่นั้นนทีธัชช์ก็ไม่คิดถามเรื่องใดอีก
ยามพลบค่ำผ่านหน้าต่างกว้างที่เปิดรับสายลมร้อนอบอ้าวทิวทัศน์ที่ดูห่างไกลมากเพราะเนื้อที่ของคฤหาสน์ที่ป๋าก่อสร้างเพิ่มเติมทิ้งไว้นั้นช่างกว้างขว้างและร่มรื่นด้วยต้นไม้มากจนเกินไป ไฟสว่างจากยอดตึกใหญ่ๆ ของเมืองจึงกลายเป็นเพียงดวงดาวเล็กๆ ไม่เด่นชัดนัก
“ขวัญมาแล้วค่ะ” เสียงใสๆ ทำให้เลิกมองทิวทัศน์ จำใจหันมาหา ร่างเล็กๆ ป้อมๆ… เตี้ยที่สุดเท่าที่เคยเห็น หล่อนกำลังยืนตัวตรง อเล็กซิสคิ้วย่นเข้าหากันมองหล่อนเขม็ง นี่ล่ะตัวปัญหาของเขา!
“คุณ…นทีธัชช์ อเล็กซิส”
“คิดหรือยังจะเอายังไง จะเอาอะไร จะอยู่อีกกี่วัน”
ชายหนุ่มปล่อยคำถามรัวๆ ปลูกขวัญที่คิดไม่ตกกับชีวิตตกใจถึงกับก้มหน้า คิดไว้แล้วต้องเป็นเรื่องนี้ แต่จะตอบอย่างไรดี สาวน้อยสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ กำลังจะตอบก็โดนต่อว่าเสียก่อนสาวน้อยก็ใจแป้ว
“ฉันไม่ได้เรียกเธอมาด่า มาต่อว่า มองหน้าฉันเวลาฉันพูดและตอบมา” ชายหนุ่มใช้สะโพกสอบพิงโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ดวงตาคมสีฟ้าเข้มจ้องเขม็ง ปลูกขวัญกลืนน้ำลาย “ขวัญ…ขวัญยังไม่คิด”
“อะไรนะ ไม่หูฝาดไปใช่ไหม ฉันคิดว่าเวลาที่ให้ไปมันมากเกินไปด้วยซ้ำ” ใบหน้าเข้มตาสีฟ้าขุ่นข้นร่างยักษ์เดินใกล้ร่างต่ำเตี้ยแค่อกตน สาวน้อยถอยห่างก็ยิ่งตาม เขาให้เวลามาเกือบอาทิตย์หลังจากเปิดพินัยกรรม ทำไมยายเด็กคนนี้ยังไม่คิดอีก สมองมีหรือปล่าวะเนี่ย หรือที่จริงหล่อนต้องการทำตามความต้องการของป๋า คิดเช่นนั้นอเล็กซิสก็รุกถามไถ่ให้รู้แน่ หวังสูง ตาโตกับสมบัติแล้วอายุแค่นี้ถ้าเป็นอย่างนั้นได้โดนดีแน่ ยายเด็กเตี้ยเอ้ย
“ไม่คิดหรือ จะให้ฉันเชื่อหรือ บอกมาตรงๆ ดีกว่าเธอคิดจะมาเป็นเมียฉันตามที่คุณพ่อเขียนไว้ในพินัยกรรม บอกมา”
ตัวแค่นี้หวังสูงเกินตัวเหมือนแม่ไม่มีผิด
ใบหน้าที่ยังมีเหงื่อเพราะการทำงานส่ายไปมาจนผมหน้าม้าสั้นแค้ต้นคอรุ่ยร่ายมาปิดใบหน้า “ขวัญเปล่านะคุณ ไม่ได้คิดอย่างนั้นค่ะ”
อเล็กซิสจ้องเขม็งถามย้ำ
“แน่นะ อย่างนั้นก็ดีฉันเคยบอกไปแล้ว คำว่า ‘เมีย’ สำหรับฉันมันกว้าง…เธออาจเสียใจที่ต้องการแบบนั้น เธอยังเด็กเอาเงินไปเถอะ หรือเอาบ้านหลังนี้ไป” เขาหยั่งเชิงสาวเตี้ย
สาวน้อยคิดถึงอาณาเขตกว้างใหญ่ “ขวัญจะดูแลที่นี่ได้ยังไงคะมันใหญ่เกินไป ขวัญไม่มีใคร ถ้าเอาเงินไปขวัญไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนอยู่ดี” เสียงอ่อยสารภาพ อเล็กซิสกอดอกมองอยู่อย่างนั้น
โง่ขนาดใช้เงินไม่เป็นหรือนี่ ไม่เอาที่นี่ หรือแกล้งโง่ให้ตนน่าสงสาร อายุสิบแปดแล้วนะ
ดวงตากลมโตกำลังบอกว่าไม่ได้โกหก ชายหนุ่มอายุสามสิบห้าสำรวจสาวน้อยตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน เตี๊ยติดไปในทางอ้วนแต่ผิวพรรณสวยมาก ใบหน้าก็พอมองได้
ปลูกขวัญจมกับความคิดตนเองไม่ได้รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังประเมินเธออยู่ด้วยความคิดสมเพช
เธอเป็นเพียงลูกสาวของเมียคนล่าสุดของบิดาผู้ชายหล่อเหลาเครางามตรงหน้า แม่อยู่กินกับท่านโดมินิกได้ไม่นานก็ประสบอุบัติเหตุด้วยกันทั้งคู่ ปลูกขวัญเพิ่งออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่อแม่กลับมาเมืองไทยครั้งล่าสุดจึงคล้ายคนโลกแคบไม่รู้จักอะไรเลย ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ตอนแรกเธอไม่ชอบอยู่ว่างๆ ก็ช่วยคนในบ้านทำงานจนเด็กรับใช้ตกอกตกใจ แม่รู้โดนต่อว่าแต่เธอก็ยังแอบทำโน่นนี่อยู่เรื่อย ชอบที่สุดก็ไปรดน้ำต้นไม้ในสวนดอกไม้เพราะไม่ค่อยมีใครเห็น
ความห่างเหินของเธอกับแม่ทำเธอไกลห่างแม่เสมอ แม่อยู่ตรงไหนเธอจะไม่อยู่ตรงนั้น หากวันนี้เสียใจเหลือเกินเมื่อทิฐิทำให้ไม่มีโอกาสเจอแม่อีก กอดแม่สักครั้งไม่เคยได้ทำ คิดถึงตอนนี้ปลูกขวัญก็น้ำตาคลอ
“อะไรกันเรียกมาคุยดีๆ ไม่ทันต่อว่าอะไรทำไมร้องไห้” เจ้าของบ้านไม่ชอบน้ำตาเสียงดัง ปลูกขวัญสะดุ้งกระพริบไล่น้ำตา “ขวัญขอโทษ แค่คิดถึงแม่เท่านั้นค่ะ”
“ถ้าเธอตัดสินใจอะไรไม่ได้ฉันจะคิดเองแล้วนะ มันเสียเวลาฉัน ฉันไม่ได้เกิดมานั่งๆ นอนๆ รอเรื่องไร้สาระแบบนี้”
เบื่อน้ำตาผู้หญิงชิบ
อทิตยาคือหญิงสาวที่นายพลภัทรอุปการะไว้ตั้งแต่อายุสิบขวบ เธอรัก เคารพนายพลเหมือนพ่อแต่กลัวคุณหญิง ภรรยานายพลมาก ดังนั้นเมื่อโตเป็นสาวเธอก็ไม่กล้าเข้าใกล้นายพลอีก จนกระทั่งภัทรกร ลูกชายคนโตของนายพลเข้ามาแทรกซึมให้หัวใจที่ว้าเหว่อบอุ่นขึ้น เธอหลงรักเขาอย่างห้ามใจไม่ได้ เธอยอมเป็นคนในความลับ เพื่อรอวันที่จะได้ทะเบียนสมรสจากเขา แต่แล้ววันหนึ่งคนรักเขากลับมา เขาไม่รีรอที่จะมอบเงินให้เธอ ตัดสัมพันธ์ที่เธอหวงแหนลง แล้วเธอจะพูดอะไรได้ นอกจากทำตามที่เขาต้องการ ทว่าเมื่อรู้ว่าตั้งท้องเธอก็เปลี่ยนใจ อยากให้ภัทรกรรู้เรื่องลูก แต่เขากลับคิดว่าเธอโกหกเพราะคิดจะจับเขา หญิงสาวเสียใจมาก เธอยอมไปจากบ้านดลจิตรตามที่คุณหญิงสั่ง เพราะที่นี่ไม่มีใครช่วยเธอได้ นายพลเธอก็ไม่อยากให้เดือดเนื้อร้อนใจเพราะเธอ
กัญญายอมมาเป็นผู้หญิงของรอน กวี อลอนโซแทนน้องเพื่อใช้หนี้ให้พ่อ แม้เธอจะต้องทิ้งรักแรกแต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีได้ ทว่าวันหนึ่งกลับเจอว่าน้องสาวและคนรักเก่ากำลังคบหาจะแต่งงานกัน เธอได้รับรู้ที่ผ่านมาไม่มีใครสนใจถึงความเสียสละของเธอแม้แต่น้อย กัญญารู้สึกโดดเดี่ยว เสียใจเป็นที่สุด และในเวลานั้นรอนก็กำลังจะแต่งงาน ยุติความสัมพันธ์กับเธอ ซ้ำจะยกเธอให้ลูกน้องเขา เธอไม่มีค่ากับใครเลยหรือ?
เขาทิ้งเธอไว้ไปในวันฝนพร่ำเพื่อไปหาคนรักที่รอคอยมาเนิ่นนาน ความฝันที่จะได้เคียงคู่พลันมลายลง เธอเป็นแค่คนผ่านทาง เธอจะไม่ร้องไห้ แต่ทำไม น้ำตาไหลไม่หยุดแบบนี้เล่า ------------------------ เพราะยินยอมพร้อมใจเป็นเด็กเลี้ยงของหมอดลทัช เมื่อเขาจะจากไป โดยที่ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ชลรัมภาจำต้องยอมรับความทุกข์ ความปวดร้าวให้ได้ ทว่าเมื่อต้องเจอหน้าเขาอยู่ร่ำไป เพราะเธอคือเพื่อนรักน้องสาวเขา เธอจะทำตัวเช่นไรดี ให้เขาไม่สมเพช ไม่เห็นน้ำตาที่ไม่มีค่าของเธอ
เพราะอนาคตของน้องสาว เพราะแม่ พลอยหวาน สาวสมองขี้เลื่อยจึงต้องมารับกรรมที่ไม่ได้ก่อ คีตะคราม เขาหล่อ แต่เขาร้าย แต่ไม่ปราณีเธอ แม้เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ วันที่หลานชายเขาฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหล เธอรู้ว่าตนเองท้อง ทว่าพ่อของลูก คนใจร้ายคนนั้นไม่ยอมรับฟัง เขายังต้องการให้เธอไปให้ไกลตาหลานชายของเขา แต่กลับไปบ้าน สักวันคนบ้านนั้นอาจจะรู้เรื่องน้องสาว ที่ไม่เคยเหลียวแลพี่สาวอย่างเธอ ดังนั้นเธอต้องไปหางาน หาเงินเอาข้างหน้า คลอดลูกเมื่อไหร่ จะเอามาให้พ่อเขาก็แล้วกัน ไม่โกรธแม่ใช่ไหมลูก? เธอน้ำตาไหล เธอหวังลูกจะตอบกลับเป็นประโยคเดียวกับคำถามของเธอ
เรื่องราวของอัญชลียาผู้ซึ่งยึดมั่นในความผูกพัน จนกลายเป็นความรัก แม้รู้ว่าคุณอคินของเรามีให้แค่เงินและสัมพันธ์ทางกายเธอก็ยังไม่เปลี่ยนใจจากเขา จนกระทั่งวันที่ต้องลาจากมาถึง เพราะคนรักที่เขาสัญญาจะแต่งงานด้วยกลับมาจากเมืองนอก ความผูกพันของเธอก็ดูไร้ค่าจนน่าสมเพชตนเอง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายทำให้ความรักกลายเป็นความแค้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไรติดตามกันในเล่มนะคะ ------ “ฉันไปนะอันอัน อย่าลืมฝากคีย์การ์ดไว้ที่เคาน์เตอร์นะ” “อะไรกันแค่คีย์การ์ด ฉันจะเอาไปทำไม” อันอัน เช็ดหน้าเดินไปหาเสื้อผ้า ดึงของใช้ตนเองออกมา” “เธอจะโมโหทำไม เอ๊ะ! หรือว่าคิดไม่ทำตามสัญญา อย่าเชียวนะ นั่นๆ ดึงไปให้หมดเลยเสื้อผ้าพวกนั้น” เขายืนมอง ปากก็พูดไล่อีกครั้ง หญิงสาวหันไปมองเขา “เลือดเย็นกับฉันจังเลยนะอคิน ทั้งที่เมื่อคืนปากบอกว่าชอบฉัน” อดไม่ได้จะตัดพ้อ แต่เขาคงฟังเป็นถ้อยคำน่ารำคาญ เพราะหันหลังหนีไปอีกครั้ง หยิบกุญแจรถขึ้น “เวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม กำลังมันส์จะให้พูดว่าเกลียดหรือไง เธอเองก็ชอบนี่น่า พอๆ อย่าหาเรื่อง นั่นเช็คนะ ดูแลตัวเองด้วย” อย่างน้อยยังมีน้ำใจ แม้จะออกมาเพราะเธอคาดคั้น อัญชลียาหันมองเช็ค ใจแห้งเหี่ยวเดินเข้าไปแต่งตัว พร้อมกับเจ้าของห้องหรูเดินห่างไป เสียงประตูปิดลง หญิงสาวผู้ไม่เคยแสดงความอ่อนแอ นั่งลงปาดน้ำตา ขอบคุณทุกการสนับสนุนค่ะ ทรายสีรุ้ง
เขารักคนอื่น กำลังจะแต่งงานกัน ในค่ำคืนหนึ่งเธอกลายเป็นของเขาด้วยความงงๆ อยากบอกเขาให้รับผิดชอบ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร แต่คนที่เขาจะแต่งงานเป็นคนที่เธอรัก เคารพ อารยายอมตัดใจ แม้อุ้มท้องและโดนพ่อด่าทอ ทุบตี ว่าแย่งของคนอื่นเธอก็ไม่อาจโต้แย้ง ---------------------- “อย่าเพิ่งไป” มือใหญ่คว้ามือเธอไว้ อารยาสะบัด “จะกลับแล้ว ถ้าคุยเรื่องไร้สาระ” “การที่เรานอนกันดุเดือดคืนนั้น เธอพูดว่าไร้สาระเหรอ ฉันคงจะคิดผิดเสียแล้ว ว่าเธอไร้เดียงสา” ดวงตาคมโตหันไปถลึงตา “พูดอะไรเงียบไปเลยนะ” โยธินหัวเราะขื่น “แสดงท่าทีแบบนี้ ยอมรับแล้วสินะ” อารยากำหมัดแน่น มองซ้ายขวา ที่นี่คงให้เธอตะโกนให้หายแค้นใจได้ “ยอมรับแล้วไง คุณก็ไม่สามารถทำอะไรให้ฉันกลับมาเป็นคนเดิม พอๆ เลิกพูดเรื่องนี้ อย่ามายุ่งกับฉันอีก!” ไม่คิดจะกลายเป็นคำพูดนี้ที่ปิดการสนทนา เธอแหงนมองท้องฟ้า ห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล ไม่มีอะไรดีขึ้น จะร้องไห้ไปทำไม “เธอหวังอะไรล่ะ น่าจะรู้ฉันจะแต่งกับพี่สาวเธอเท่านั้น” อารยากำหมัดแน่น พลั่ก! “โอ้ย!” โยธินกุมจมูก สบถเสียงดัง “เธอเป็นบ้าอะไร เจ็บนะ” “ให้คุณมีสติและคิดบ้าง ตั้งแต่เกิดเรื่อง ฉันเคยอ้อนวอนอะไรคุณบ้าง ฉะนั้นอย่ามาตัดสินว่าฉันคิดหรือไม่คิดอะไร เข้าใจไหม” โยธินอึ้งไปแต่ไม่ยอมแพ้ “ผู้หญิงเก็บกด อยากลองจะว่างั้น แล้วทำไมไม่บอกกันดีๆ ล่ะ แอบลอบเข้าไปมันคงเร้าใจใช่ไหม ก็แน่ล่ะ หุ่นผมมันคงน่ากิน” อารยายกมือจะซัดอีกครั้งแต่กลับโดนรวบที่เอว ก่อนใบหน้าบึ้งตึงจะก้มลงมาบดจูบปากเธอ หญิงสาวพยายามกระทืบเท้าเขาและดิ้น คนบ้านี่ ทำอะไรอีก
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY