“แต่งเพราะหนี้ อยู่ต่อเพราะหัวใจ” ภควัตแต่งงานตามใจมารดา หวังบีบให้ปิ่นมุกขอหย่า แต่ยิ่งเมินยิ่งเห็นว่าเธออยู่ได้อย่างมีความสุข และทำให้ “บ้าน” อบอุ่นขึ้น จนดึงดูดเขาอย่างประหลาด
“แต่งเพราะหนี้ อยู่ต่อเพราะหัวใจ” ภควัตแต่งงานตามใจมารดา หวังบีบให้ปิ่นมุกขอหย่า แต่ยิ่งเมินยิ่งเห็นว่าเธออยู่ได้อย่างมีความสุข และทำให้ “บ้าน” อบอุ่นขึ้น จนดึงดูดเขาอย่างประหลาด
1
เสียงพิธีกรบนเวทีดังกลบความคิดของปิ่นมุกไปชั่วขณะ
“เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวตัดเค้กค่ะ”
แสงแฟลชพร่างพรายราวฝนดาวตก ทุกสายตาที่หันมามองทำให้เธอยิ้ม ยิ้มตามมารยาทที่ฝึกซ้อมหน้ากระจกในห้องน้ำมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยิ้มที่ไม่โชว์ฟันมากเกินไป และไม่ทำให้แก้มสั่นไหวจนเห็นความประหม่า
ชายหนุ่มข้างกายสูงใหญ่และมีกลิ่นน้ำหอมเรียบหรู เขาคือภควัต เจ้าบ่าวของเธอในนาม แผนการที่เธอจำต้องยอมรับเพื่อแลกกับสิ่งหนึ่ง การปลดหนี้ให้ครอบครัว
“วางมือแบบนี้ครับ” เสียงเขาเรียบแต่สุภาพ กระนั้นก็ห่างไกลจากคำว่าอ่อนโยน มือแกร่งจับมือเธอไปวางบนด้ามมีดเงินงดงาม ก่อนที่มือของเขาจะซ้อนทับลงมา
“ค่ะ” ปิ่นมุกตอบรับสั้น ๆ
เค้กสามชั้นถูกกรีดผ่านภายใต้ฝ่ามือที่มิได้เกี่ยวข้องกันด้วยความรัก หากแต่เกี่ยวพันกันด้วยข้อตกลงและการคำนวณเรื่องผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ภควัตสบตาเธอเพียงครู่ น้อยเกินกว่าจะจับความหมาย แล้วหันไปยิ้มให้แขกโต๊ะหน้าอย่างเป็นมิตร สมบทบาททายาทตระกูลใหญ่ที่คุ้นตาผู้คน
คุณหญิงกมลวรรณยืนอยู่หน้าลานดอกไม้ แววตาปลื้มปริ่มมีความสุข
“สวยมากลูก แม่ดีใจเหลือเกิน” ท่านเอ่ยเมื่อทั้งคู่เดินมารับคำอวยพร
“ขอบพระคุณค่ะคุณแม่” ปิ่นมุกไหว้และยิ้มหวาน เธอตั้งใจเรียกแม่ของเขาว่า ‘คุณแม่’ อย่างที่ซักซ้อมไว้ แม้เนื้อเสียงจะยังเขินอาย
ภควัตยืนสงบ ไม่ท้วงติง ไม่กล่าวเสริม เขาเพียงพยักหน้ารับคำอวยพรจากผู้ใหญ่ทั้งหลายอย่างสุภาพ ฉากในฝันของคุณหญิง สำเร็จหมดทุกอย่าง พิธีแต่งงานสมฐานะ ลูกสะใภ้มีดีกรีการศึกษาดี ประวัติดี ไม่ขัดหูขัดตาในสังคม เว้นเพียงสิ่งเดียวที่ไม่มีใครล่วงรู้ นั่นคือหัวใจของเจ้าบ่าวที่ยังคงตั้งกำแพงสูงเสียดฟ้า
บนโต๊ะเคียงเวที ศิตาหญิงสาวในชุดเดรสตัวสั้นสีงาช้าง แอบยกแก้วแชมเปญดื่มพลางคลี่ยิ้มมุมปาก ริมฝีปากแดงสดกระซิบกับเพื่อนสนิท
“ผู้หญิงคนนั้น เชื่อเถอะ อยู่ได้ไม่นานหรอก” เธอเผยยิ้มยามมองคู่บ่าวสาว รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่ยากจะเข้าใจ
พิธีการดำเนินไปจนกระทั่งดอกไม้ช่อสวยของเจ้าสาวลอยผ่านเพดานโถงจัดเลี้ยงไปตกอยู่ในมือสาวน้อยคนหนึ่ง เสียงหัวเราะปรบมือดังระงม ปิ่นมุกผ่อนลมหายใจยาว เหมือนอุโมงค์แสงที่ยาวนานกำลังสิ้นสุดลงที่ประตูห้องแต่งตัว
“เหนื่อยไหม” เสียงภควัตดังขึ้นขณะเจ้าหน้าที่กำลังจัดการถอดเวลออก
เธอชะงักนิดหนึ่ง ก่อนหันไปสบตา
“นิดหน่อยค่ะ”
“รถจะออกแล้ว เดี๋ยวคุณแม่รอ”
คำว่า “คุณแม่” ทำให้เธอตั้งสติขึ้นมาอีกครั้ง บทบาทของเธอในครั้งนี้คือทำให้คุณหญิงกมลวรรณสบายใจ และทำให้ครอบครัวของเธอ บิดาของเธอกำลังจมอยู่กับกองเอกสารหนี้ ให้ท่านได้หายใจสะดวกขึ้น เธอไม่ลืมเหตุผลนั้นแม้แต่วินาทีเดียว
เรือนหอของตระกูลภควัตตั้งอยู่บนเนินสูงที่มองเห็นแม่น้ำได้จากระเบียงห้องนั่งเล่น ผนังกระจกสะท้อนแสงไฟเมือง กลายเป็นทะเลดาวในยามค่ำคืน หรูหรา สงบ และเงียบเหงาอย่างน่าประหลาด
คุณหญิงกมลวรรณเดินชมด้วยความชอบใจ
“แม่ให้ตกแต่งห้องของหนูมุกไว้เรียบร้อยแล้ว เฟอร์นิเจอร์เลือกให้ใช้งานง่าย ถ้าอยากเปลี่ยนอะไรบอกแม่ได้เลยนะลูก”
“ขอบพระคุณค่ะ” ปิ่นมุกยิ้ม แววตาขอบคุณนั้นจริงใจ เธอเคยอาศัยในห้องเช่าเล็ก ๆ ที่ต้องวางเตียงชิดผนังเพื่อให้มีทางเดิน พอมาเห็นห้องนอนใหม่ที่มีกลิ่นหอมอ่อนของดอกพุด เธออดรู้สึกอบอุ่นไม่ได้
ภควัตยืนมือซุกกระเป๋ากางเกง สูทถูกปลดกระดุม เขามองทุกอย่างเหมือนคนมองฉากหนึ่งในโรงภาพยนตร์ เรื่องที่ตนมีบทแต่ไม่อยากเล่น
“ค่ำมากแล้ว พักผ่อนเถอะ” เขาหันไปบอกมารดา
คุณหญิงฯ พยักหน้า แล้วย้ำกับปิ่นมุกอย่างเอ็นดู
“ถ้าขาดเหลืออะไรบอกแม่ได้ทุกเมื่อนะจ๊ะ”
“ค่ะคุณแม่”
รถของคุณหญิงเคลื่อนลับหลังรั้ว เงียบงันในทันที เหลือเพียงเสียงลมกระทบยอดจามจุรีและจังหวะหัวใจของคนสองคนที่ยืนอยู่ในโถงหรู
ภควัตเป็นฝ่ายพูดก่อน
“คุณคงเหนื่อย ผมจะให้แม่บ้านพาขึ้นห้อง”
“ค่ะ” ปิ่นมุกตอบรับอย่างสุภาพ
เขาหยุดตรงเชิงบันได ชั่ววินาทีนั้นแววตาเขาฉายประกายบางอย่างคล้ายลังเล ก่อนจะจางหายไป
“ผมจะไปนอนที่คอนโด ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง ถ้าคุณต้องการอะไร บอกเลขาของผม เขาจะจัดการ
ให้ทั้งหมด” คำพูดนั้นเป็นดั่งกระดิ่งเล็ก ๆ ที่ดังเตือนให้เธอรู้ว่า ข้อตกลงเริ่มทำงานแล้ว ปิ่นมุกไม่ได้อยากรั้งใคร เธอยิ้มบาง ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้”
ภควัตเหลือบตามอง ไม่ใช่สายตาแข็งกร้าว หากเป็นสายตาที่มองเห็นคนตรงหน้าเป็นสมการหนึ่ง เรียบง่าย จัดการได้ ไม่วุ่นวาย ดีต่อการรักษาระยะ
“ขอบคุณที่เข้าใจ” เขาพยักหน้า แล้วเดินผ่านเธอไปทางประตูโรงรถโดยไม่แตะต้อง
แม่บ้านสูงวัยชื่อสาย ซึ่งคุณหญิงไว้ใจ เข้ามายิ้มให้เจ้านายสาว
“เชิญคุณมุกค่ะ ห้องอยู่ปีกตะวันออก วิวดีมาก รับรองนอนหลับสบาย”
“ขอบคุณค่ะป้า” ปิ่นมุกยิ้มอ่อนหวาน
ห้องปีกตะวันออกตามคำบอกเป็นอย่างที่ป้าสายว่าจริง ๆ เปียโนสีขาวตั้งอยู่ริมกระจก ผ้ามู่ลี่เนื้อดีประดับงดงาม เธอวางช่อดอกไม้ลงบนโต๊ะ แล้วถอดรองเท้าส้นสูงออก ความปวดหนึบที่ปลายหายไป
‘ฉันตัดสินใจแล้ว’ เธอทบทวนกับตัวเองในความเงียบ ‘แต่งเพื่อปลดหนี้ แต่งเพื่อให้พ่อกับแม่อยู่ได้อย่างสงบ ต่อจากนี้ ใช้ชีวิตของเราให้ดีที่สุด’
รัชวินทร์รู้ดีว่า ถึงจะมีหรือไม่มีแผนการของญาติผู้ใหญ่ เขาก็บังเกิดความรู้สึกพิเศษกับแก้วกัลยา เด็กสาวในอุปการะของคุณตาคุณยาย และเธอก็เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้เขาอยากสร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่น
เธอรักเขาคือเรื่องจริง แต่เขาโกรธเกลียดเธอคือเรื่องจริงเช่นกัน ในเมื่อความรักมันเหนื่อยนัก เธอก็ขอพักใจ ถอยห่างออกมา รอวันหย่าขาดจากพ่อของลูกที่ไม่เคยรักเธอเลย
เมื่อโชคชะตาบังคับให้เขาและเธอซึ่งเป็นคู่กัดต้องกลายเป็นคู่แต่งงานแบบสายฟ้าแลบ! ระหว่างอดีตที่เต็มไปด้วยการปะทะคารม กับปัจจุบันที่ต้องใช้ชีวิตร่วมชายคา... เรื่องวุ่น ๆ จึงเริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่แปรงสีฟันยันหัวใจ เขา...ผู้ชายเจ้าเล่ห์ ขี้แกล้ง และขี้หวงอย่างหนัก เธอ...หญิงสาวปากแข็ง ขี้ประชด แต่แอบอ่อนโยนในทุกความใส่ใจ จากบ้านไม้ริมคลอง กลายเป็นสนามรักและสงครามขนาดย่อม ที่ไม่มีใครยอมใคร แต่หัวใจสองดวงกลับเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด... เพราะบางที...โชคชะตาอาจไม่ได้บังคับ แต่มันอาจกำลังพาเขาและเธอ... กลับมายังที่ที่เรียกว่า "บ้าน" ด้วยกัน
“เขาคือเจ้าพ่อที่ใครต่างหวาดกลัว แต่กลับยอมสยบให้หญิงสาวที่ทั้งโลกเคยมองว่าไร้ค่า...” เมื่อเธอถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงหมากในเกมหมั้นหมาย เขากลับเห็นแสงในตัวเธอ และเลือกจะปกป้องด้วยทั้งชีวิตและหัวใจ ท่ามกลางไฟแค้น อำนาจ และความลับของตระกูล หัวใจของคนสองคนค่อย ๆ สานพันธะรักที่ไม่มีใครลบล้างได้ “เธอคือของฉัน ต่อให้โลกทั้งใบต่อต้าน...ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยเธอไป”
เมื่อข่าวฉาวบิดเบือนเปลี่ยนหญิงสาวให้กลายเป็นคนที่เขาเกลียด และเมื่อคำสัญญาเก่าของผู้ใหญ่ พาเธอกลับมาในฐานะ ‘คู่หมั้น’ ที่เขาไม่ต้องการ ลลิล สาวสวยผู้สง่างามและเข้มแข็ง ต้องเผชิญแรงกดดันจากคนในครอบครัว รวมถึง กวิน ชายหนุ่มผู้เย็นชา ผู้มองเธอด้วยสายตาดูแคลน…แต่ไม่อาจละสายตาได้เลย ในความเงียบงันระหว่างพวกเขา...กลับมี ‘หัวใจ’ ที่ค่อย ๆ เรียนรู้กันอย่างไม่รู้ตัว จากความเข้าใจผิด กลายเป็นความผูกพัน จากการดูแคลน กลายเป็นการปกป้อง และจาก ‘คู่หมั้นไร้เสน่หา’ กลายเป็น ‘ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก’
"เราเคยสัญญากัน...ใต้ดาวดวงนั้น ว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหน แต่บางครั้ง...การจากลาไม่ได้เกิดจากคนที่อยากไป และเมื่อเราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง คำสัญญานั้น...ยังจะมีความหมายอยู่ไหม"
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
ทีปต์อุทานเบาๆ กับภาพที่เห็น… มาลิลล์กำลังนอนหงายอยู่บนเตียง ในสภาพเปลือยเปล่าล่อนจ้อน โดยมีหมอนสีขาวสองใบรองไว้ที่แผ่นหลัง ทำให้สองเต้าคัพเอฟอวบใหญ่มหึมา นูนเด่นอวดสายตาของทีปต์ และสิ่งที่ทำเอาเลือดกำเดาของทีปต์แทบสาดทะลักออกมา ก็คือของดีที่กำลังเปิดเปลือยอยู่ระหว่างเข่าสองข้างตั้งชัน มือข้างหนึ่งจับกล้วยหอมดุนดันเข้าออกเป็นจังหวะ “อ่า… ลุงทีปต์จ๋า กระแทกหนูเถอะค่ะ… อูย… ของลุงใหญ่เหลือเกิน… ซี้ดดดด… เห็นแล้วอยากสุดๆ” มาลิลล์หลับตาพริ้ม…
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
จากแฟนเก่าสุดรักครั้งวัยเด็ก ที่เคยเลิกรากันไปนานถึงห้าปี แต่พรหมลิขิตชักพาให้เขาสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในสถานะท่านประธานกับเลขา ________________________ “นายเลิกยุ่งกับฉันได้ไหม ขอร้องละ” ริสาหดลำคอถอยหนีด้วยความกลัว เมื่อก่อนเคยโมโหร้ายยังไง ตอนนี้เขายังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน “แล้วทำไมฉันต้องทำแบบนั้น!?” “....” หญิงสาวน้ำตาคลอเมื่อคนตรงหน้าไม่มีท่าทีว่าจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ “เมียเก่าของฉันดูน่าสงสารจังเลยนะ” “เลิกแกล้งฉันสักทีได้ไหม จะทำร้ายความรู้สึกฉันไปถึงเมื่อไหร่กัน?” “พอโดนฉันเอาคืนแค่นี้ ถึงกลับทนไม่ได้เลยเหรอ?” “แล้วต้องให้ฉันทำยังไง จะให้ฉันชดใช้ยังไงก็บอกมาสิ” “มันชดใช้แทนกันไม่ได้หรอก เพราะฉันเจ็บปวดกว่าที่เธอคิดไว้เยอะ” “ฉันก็เจ็บปวดไม่แพ้นายนั่นแหละ” “ถ้าเจ็บปวดแล้วทำไมไม่กลับมา ทำไมต้องทิ้งฉันไปแบบนั้น!” “....”
© 2018-now MeghaBook
บนสุด