"เราเคยสัญญากัน...ใต้ดาวดวงนั้น ว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหน แต่บางครั้ง...การจากลาไม่ได้เกิดจากคนที่อยากไป และเมื่อเราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง คำสัญญานั้น...ยังจะมีความหมายอยู่ไหม"
"เราเคยสัญญากัน...ใต้ดาวดวงนั้น ว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหน แต่บางครั้ง...การจากลาไม่ได้เกิดจากคนที่อยากไป และเมื่อเราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง คำสัญญานั้น...ยังจะมีความหมายอยู่ไหม"
1
เสียงระฆังโรงเรียนดังขึ้นในยามบ่ายสุดท้ายของชีวิตมัธยมปลาย นักเรียนหลายคนโบกมือร่ำลากันด้วยรอยยิ้ม บางคนกอด บางคนร้องไห้ แต่ตรงมุมสงบข้างสนามฟุตบอล มีเด็กหนุ่มสองคนยืนอยู่ใต้ต้นฉำฉาใหญ่ ร่มเงาทาบทับพวกเขาอย่างอ่อนโยน
“ธีร์…” เสียงของมีนเบาและชัด ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนพยายามกลืนคำที่ไม่อยากพูดลงไป
ธีร์ยื่นกล่องของขวัญเล็กๆ มาให้ มันเป็นกล่องสีน้ำเงินเข้ม ผูกโบสีเงินเรียบร้อยเหมือนทุกอย่างที่ธีร์ทำเสมอ
“ให้” มีนรับมันด้วยมือที่อุ่นเล็กน้อยเพราะตากแดด วิ่งเล่นมาเมื่อครู่ เขาเปิดกล่องออกช้าๆ ก่อนจะเห็นจี้ดาวสีทองบนสร้อยเส้นบาง
“มันเป็นดาว…” มีนพูดเบาๆ
“ดวงที่นายชอบมองทุกคืน” ธีร์ตอบพลางยิ้มบาง ดวงตานิ่งสงบแต่แฝงไว้ด้วยความสั่นไหวที่มีนเท่านั้นที่รู้
มีนใส่สร้อยนั้นไว้กับคอทันที มือแตะจี้ดาวเบาๆ เหมือนกลัวมันจะหายไป
“เราไปมหา’ลัยด้วยกันนะธีร์”
“อือ ไปด้วยกัน”
“แล้วก็อยู่ห้องเดียวกันนะ”
“อือ อยู่ด้วยกัน” ทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกัน เสียงหัวเราะปนแสงแดดอุ่นที่ลอดผ่านใบไม้ ชั่วขณะหนึ่งทุกอย่างดูเรียบง่ายเหมือนฝัน
เหมือนโลกทั้งใบมีแค่คนสองคนนี้เท่านั้น
“สัญญานะ…” มีนยื่นนิ้วก้อยไป
ธีร์เกี่ยวมันไว้แน่น รอยยิ้มของเขาคือคำสัญญา แม้ไม่เอ่ยคำ
“ฉันจะอยู่กับนาย…ใต้ดาวดวงเดิมนี้ตลอดไป”
และในตอนนั้น ทั้งสองคนยังไม่รู้
ว่าคำว่า “ตลอดไป” บางทีมันก็ต้องผ่านอะไรอีกมาก…กว่าจะกลายเป็น ตลอดไปจริง ๆ
คอนโดหรูใจกลางกรุงเทพฯ ชั้นยี่สิบห้า มองเห็นเมืองทั้งเมืองในยามเย็นผ่านกระจกสูงจรดเพดาน แสงแดดยามห้าโมงเย็นค่อยๆ อาบไล้เฟอร์นิเจอร์โทนอบอุ่นอย่างแผ่วเบา
มีนหมุนตัวดูรอบห้อง ดวงตากลมเป็นประกายอย่างห้ามไม่อยู่
“นายอยู่คนเดียวในห้องแบบนี้เหรอ”
“เปล่า…อยู่ด้วยกัน” ธีร์ตอบ พลางวางกล่องของใช้ลงบนโต๊ะกลาง
“เราเหรอ”
“อืม ฉันขอพ่อไว้แล้ว เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร” ธีร์เดินเข้ามาหา หยุดยืนตรงหน้ามีนแล้วเอื้อมมือแตะเส้นผมที่เปียกเหงื่อจากการขนของแผ่วเบา
“หรือ…นายไม่อยากอยู่กับฉัน”
มีนสบตาเขา ใบหน้าขึ้นสีจางๆ จากทั้งความเขินและความอุ่นวาบในอก
“อยากสิ...จะไม่อยากได้ยังไง”
คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มบางบนใบหน้าของธีร์ มือของเขาไล้ลงมาที่แก้มของมีน ลูบเบาๆ อย่างคนที่เฝ้ามองคนๆ นี้มานาน
“ขอบใจนะ ที่ยังอยู่กับฉัน”
ห้องนั่งเล่นกลายเป็นที่พักของหัวใจสองดวงในคืนนั้น หลังมื้อเย็นง่ายๆ ที่ทั้งคู่ช่วยกันทำ พาสต้าง่ายๆ กับไวน์แดงหนึ่งแก้ว
เสียงดนตรีแจ๊สเบาๆ ลอยคลออยู่ในอากาศ เมื่อธีร์เดินมานั่งลงข้างๆ บนโซฟา เขาไม่ได้พูดอะไร…เพียงแค่มองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ
มีนสบตาเขากลับ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล
“ธีร์…” เขาไม่พูดอะไรอีก เขาแค่เอื้อมมือจับแก้วไวน์ออกจากมือของมีน วางมันไว้บนโต๊ะ แล้วเอื้อมตัวเข้ามาใกล้
ริมฝีปากแตะกันอย่างอ่อนโยนในช่วงเวลาที่ทั้งโลกเหมือนเงียบลง เหลือเพียงจังหวะลมหายใจสลับกันเบาๆ
ธีร์จูบมีนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะขยับถี่ขึ้น เรียนรู้จังหวะของกันและกันในแบบที่ไม่มีใครสอน
มีนหลับตาลง ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อย่างเต็มใจ
ผ้าปูเตียงสีครีมยับเล็กน้อย เสียงลมหายใจระคนกับเสียงแอร์เย็นเฉียบที่ดังแผ่ว
ร่างสองร่างเปลือยเปล่านอนกอดกันใต้ผ้าห่มไหมเนื้อดี กลิ่นกายปะปนกับกลิ่นสบู่และแชมพูที่ยังติดผิว
“เจ็บหรือเปล่า…” ธีร์ถามเบาๆ ขณะใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่เปียกชื้นจากเหงื่อ
“นิดหน่อย…แต่ไม่เสียใจเลย” มีนตอบพร้อมรอยยิ้ม
ธีร์ก้มลงจูบหน้าผากอีกครั้ง เขาไม่พูดคำว่ารัก…แต่การกระทำของเขาคือความรักทั้งหมด
นอกหน้าต่าง เมืองทั้งเมืองยังสว่างไสว
แต่บนเตียงนี้ มีแสงที่อุ่นกว่าแสงใดในจักรวาล
และใต้ผ้าห่มผืนนั้น มีหัวใจสองดวงที่เพิ่งเรียนรู้ว่า
รักครั้งแรก...ไม่ใช่แค่ร่างกาย
แต่มันคือการยอมฝากทั้งความกลัว ความหวัง และทั้งหมดของตนไว้ในอ้อมกอดของใครสักคน
เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังขึ้นตอนเจ็ดโมงตรง มีนขยับตัวก่อนจะค่อยๆ ลืมตา เขาไม่ได้ตกใจ แค่หันไปอีกด้านแล้วเห็นภาพที่คุ้นเคยดี ธีร์ยังคงนอนหลับสนิทข้างๆ ใบหน้าดูสงบในแสงเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่าน
เขานอนมองอีกฝ่ายเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ ๆ ธีร์ก็พูดขึ้นทั้งที่ยังหลับตา
“แอบมองฉันอีกแล้ว…” มีนหลุดขำเบาๆ
“ก็หล่ออะ จะให้ทำยังไง”
“ก็ลุกมาจูบเลยสิ ไม่ต้องแอบมอง” ธีร์ลืมตาแล้วยิ้ม มุมปาก ตามสไตล์ของเขา
มีนเขินจนต้องลุกหนีไปอาบน้ำ แต่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นทุกที
เช้านั้น พวกเขาเดินจูงมือกันออกจากคอนโด ฯ ก่อนจะแยกกันหน้าประตูมหาวิทยาลัย
มีนเรียนคณะอักษรฯ ส่วนธีร์เรียนเศรษฐศาสตร์ แต่ทุกวันก็ยังหาเวลานั่งกินข้าวด้วยกัน กอดกันลับๆ ในห้องสมุด หรือสลับกันนั่งรอหน้าห้องเรียน
ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้เปิดเผยกับใคร แต่ก็ไม่ได้ปิดบังจนต้องหลบซ่อน เหมือนจะตกลงกันในใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา
เธอรักเขาคือเรื่องจริง แต่เขาโกรธเกลียดเธอคือเรื่องจริงเช่นกัน ในเมื่อความรักมันเหนื่อยนัก เธอก็ขอพักใจ ถอยห่างออกมา รอวันหย่าขาดจากพ่อของลูกที่ไม่เคยรักเธอเลย
เมื่อโชคชะตาบังคับให้เขาและเธอซึ่งเป็นคู่กัดต้องกลายเป็นคู่แต่งงานแบบสายฟ้าแลบ! ระหว่างอดีตที่เต็มไปด้วยการปะทะคารม กับปัจจุบันที่ต้องใช้ชีวิตร่วมชายคา... เรื่องวุ่น ๆ จึงเริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่แปรงสีฟันยันหัวใจ เขา...ผู้ชายเจ้าเล่ห์ ขี้แกล้ง และขี้หวงอย่างหนัก เธอ...หญิงสาวปากแข็ง ขี้ประชด แต่แอบอ่อนโยนในทุกความใส่ใจ จากบ้านไม้ริมคลอง กลายเป็นสนามรักและสงครามขนาดย่อม ที่ไม่มีใครยอมใคร แต่หัวใจสองดวงกลับเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด... เพราะบางที...โชคชะตาอาจไม่ได้บังคับ แต่มันอาจกำลังพาเขาและเธอ... กลับมายังที่ที่เรียกว่า "บ้าน" ด้วยกัน
“เขาคือเจ้าพ่อที่ใครต่างหวาดกลัว แต่กลับยอมสยบให้หญิงสาวที่ทั้งโลกเคยมองว่าไร้ค่า...” เมื่อเธอถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงหมากในเกมหมั้นหมาย เขากลับเห็นแสงในตัวเธอ และเลือกจะปกป้องด้วยทั้งชีวิตและหัวใจ ท่ามกลางไฟแค้น อำนาจ และความลับของตระกูล หัวใจของคนสองคนค่อย ๆ สานพันธะรักที่ไม่มีใครลบล้างได้ “เธอคือของฉัน ต่อให้โลกทั้งใบต่อต้าน...ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยเธอไป”
เมื่อข่าวฉาวบิดเบือนเปลี่ยนหญิงสาวให้กลายเป็นคนที่เขาเกลียด และเมื่อคำสัญญาเก่าของผู้ใหญ่ พาเธอกลับมาในฐานะ ‘คู่หมั้น’ ที่เขาไม่ต้องการ ลลิล สาวสวยผู้สง่างามและเข้มแข็ง ต้องเผชิญแรงกดดันจากคนในครอบครัว รวมถึง กวิน ชายหนุ่มผู้เย็นชา ผู้มองเธอด้วยสายตาดูแคลน…แต่ไม่อาจละสายตาได้เลย ในความเงียบงันระหว่างพวกเขา...กลับมี ‘หัวใจ’ ที่ค่อย ๆ เรียนรู้กันอย่างไม่รู้ตัว จากความเข้าใจผิด กลายเป็นความผูกพัน จากการดูแคลน กลายเป็นการปกป้อง และจาก ‘คู่หมั้นไร้เสน่หา’ กลายเป็น ‘ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก’
“เธอคือเจ้าสาวที่เขาไม่ต้องการ แต่กลับเป็นผู้หญิงที่เขาไม่อาจปล่อยไปได้” แต่เมื่อเขายิ่งอยู่ใกล้เธอ เขากลับยิ่งอยากครอบครองเธอทั้งตัวและหัวใจ ทว่าเธอไม่ใช่หมากให้เขาควบคุม เขาต่างหากที่จะถูกเธอควบคุมและยอมจำนนรักต่อเธอ
คะนึงนิจรักเขาจึงยอมยกทุกอย่างให้เขาทั้งตัวและหัวใจ แต่เขาเพียงแค่หลอกกินฟรี เตะถ่วงเวลาออกไปเพื่อไปหาผู้หญิงที่ดีกว่า ในเมื่อเขาเห็นเธอเป็นของไร้ค่า เธอก็พร้อมที่จะเดินออกมาจากชีวิตของเขา โดยไม่เสียดายผู้ชายหลอกลวงอย่างฉัฐดนัยเลย
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดก็คือยมทูตรับส่งวิญญาณ เขารีบตามหาวิญญาณของเธอเพื่อพากลับเข้าร่างโดยเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างก็สายเกินแก้เพราะเขาเจอเธอเมื่อร่างของเธอถูกเผาไปแล้ว ทางเดียวที่จะแก้ไขความผิดก็คือต้องส่งเธอกลับไปในร่างของคนอื่นที่เพิ่งหมดลมหายใจ และด้วยเหตุผลที่เธอเรียกร้องบางประการ จึงทำให้เธอได้กลับไปเกิดใหม่ในรัชสมัยของราชวงศ์หมิง ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีนามว่า "เฟิ่งต้าชวี่" แต่ "เฟิ่งต้าชวี่" ไม่ใช่ดรุณีแรกแย้มไร้เจ้าของ นางเป็นพระชายาที่แสนบริสุทธิ์ของแม่ทัพผู้เกรียงไกร "อ๋องใหญ่เกาหรงซาน" พระชายาที่เขาเขียนหนังสือหย่าทิ้งไว้ในห้องหอตั้งแต่วันแรกที่แต่งงาน แต่เพราะความรักและหน้าที่ของสตรีชาวฮั่น นางจึงทนอยู่อย่างปวดร้าวในตำหนักของเขาตลอด 2 ปีก่อนจะตรอมใจตาย
เกาเหมียวหรงบุตรสาวนายอำเภอโจว ไม่เป็นที่รักของขอบิดา เกาเซิง นางเป็นบุตรภรรยาเอกที่ตายไปแล้ว กระนั้นบิดาจึงให้นางออกเรือนกับพ่อค้าคารวานแห่งทุ่งหญ้า มีอายุคราวบิดา นางจึงตัดสินใจเป็นอนุของแม่ทัพหนานอ๋อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด