เธอเคยเห็นคนอื่นโดนจับคลุมถุงชนแต่งงาน แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง แรกเริ่มเดิมทีจะปฏิเสธหัวชนฝา แต่ที่ไหนได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอบตกลงไปเสียแล้ว หลังจากได้เห็นหน้าคุณหมอหนุ่มแสนสุภาพ ปากแดงแก้มใสน่าลูบไล้เสียเหลือเกิน!
เธอเคยเห็นคนอื่นโดนจับคลุมถุงชนแต่งงาน แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง แรกเริ่มเดิมทีจะปฏิเสธหัวชนฝา แต่ที่ไหนได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอบตกลงไปเสียแล้ว หลังจากได้เห็นหน้าคุณหมอหนุ่มแสนสุภาพ ปากแดงแก้มใสน่าลูบไล้เสียเหลือเกิน!
คู่บ่าวสาวที่เพิ่งเดินลงมาจากบนห้องทำให้คุณย่าภัทรลดายิ้มหวานออกมาในทันที ในขณะที่รัศมีกับจิราพรหันไปมองหน้ากันก่อนที่จะแอบเบ้ปากออกมาเพราะไม่ชอบวิรากานต์ สะใภ้คนใหม่ของตระกูล
“ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ มากินข้าวกันจ้ะ” คุณย่าเอ่ยกับหลานชายและหลานสะใภ้ด้วยรอยยิ้ม
ชยันต์ทำท่าจะนั่งลงที่เก้าอี้ประจำของตัวเอง แต่คุณย่าก็รีบพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เลื่อนเก้าอี้ให้เมียเราด้วยสิ” เขาทำตามอย่างไม่เกี่ยงงอน
คุณหมอหนุ่มใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ทำให้ทุกคนไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แม้แต่คนเป็นภรรยาอย่างวิรากานต์
วิรากานต์เหลือบมองเขาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปขอบใจสาวใช้ที่เริ่มตักข้าวใส่จานให้
เธอเข้าห้องหอกับเขาแล้ว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ไล่ไปนอนบนพื้นหรือบนโซฟา แต่แบ่งเตียงให้นอนครึ่งหนึ่ง โดยมีหมอนข้างกั้นเอาไว้
หญิงสาวแอบคิดว่าเขาอาจจะเป็นเกย์ก็ได้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันก่อนแต่งงานเขาทำตัวห่างเหินจนน่าสงสัย
ซึ่งจริง ๆ แล้วเธอกับเขาเจอกันแค่ครั้งเดียวจริงๆ ตอนที่เขานัดเธอไปดูชุดแต่งงานก่อนแต่งงาน จึงไม่ได้ทำความรู้จักกันมากกว่านั้นเลย
เธอไม่รู้ว่าเขามีเหตุผลอะไรที่ยอมมาแต่งงานกับลูกหนี้เช่นเธอ เพราะเขามีความเพียบพร้อมทั้งฐานะและหน้าที่การงาน แถมการศึกษาก็ดี หน้าตาก็ยังหล่อเหลาเสียอีก
“ตักอาหารให้เมียเราบ้างสิ เมื่อคืนหนูนอนหลับสบายไหมจ๊ะ” คุณย่าภัทรลดาเอ่ยถามหลานสะใภ้ด้วยรอยยิ้มมีความสุข
“นอนหลับสบายค่ะคุณย่า” วิรากานต์เอ่ยตอบอย่างสุภาพ ก็เมื่อวานเหนื่อยทั้งวัน พอทิ้งตัวลงนอนก็ระแวงว่าคนข้าง ๆ จะทำอะไร แต่ที่ไหนได้ เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองหลับจนถึงเช้า
“ดีแล้วจ้ะ หนูมาอยู่ที่นี่ก็ให้ถือว่าเป็นบ้านของหนูนะจ๊ะ มีปัญหาอะไรก็บอกย่าได้เลย”
“ค่ะคุณย่า” วิรากานต์รับคำ เธอรับรู้ได้ถึงสายตาอำมหิตของแม่สามีและน้องสาวของสามีอย่างจิราพรที่ไม่ชอบใจเธอนัก แต่จิราพรรณน้องสาวของชยันต์อีกคนกลับยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร เธอจึงยิ้มตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรเช่นกัน
“แต่งงานแล้วจะให้มานั่ง ๆ นอน ๆ เป็นคุณนายคงไม่ได้หรอกนะคะคุณแม่ ถ้าไม่ทำงานนอกบ้านก็ต้องทำงานในบ้าน” รัศมีพูดขึ้น เธอเป็นสะใภ้ของที่นี่ก็ต้องทำงานเหมือนกัน
“หนูกานต์เขามีความสามารถหลายอย่าง หล่อนไม่ต้องกลัวหรอกว่าเขาจะทำอะไรไม่เป็นเลย เขาเป็นผู้ดีมีการศึกษา ไม่ใช่คนกระจอกงอกง่อยเสียหน่อย ฉันหาภรรยาให้หลานชายของฉันก็ต้องเลือกดี ๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่ไปคว้าผู้หญิงที่ไหนมาก็ไม่รู้” ภัทรลดาเหน็บลูกสะใภ้ที่นั่งหน้าตึงอยู่อีกด้านของโต๊ะอาหาร
“ไม่กระจอกแต่ติดหนี้บ้านเรามหาศาลนี่เหรอคะ แหม... คุณแม่นี่ช่างยกยอเสียจริงนะคะ” รัศมีเหน็บกลับ
“เขาเป็นหนี้จริง แต่หนูกานต์แต่งงานกับชยันต์แล้วก็ถือว่าหนี้สินจบสิ้นกันไป” ภัทรลดาสวนกลับอีกดอก
วิรากานต์มองคนทั้งสองโต้ตอบกันไปมาก็พบว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้ไม่กินเส้นกัน เธอเหลือบมองสามี ก็เห็นว่าอีกฝ่ายกินข้าวเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร สงสัยจะชินกระมัง
ท่าทีของเขาดูดีทุกระเบียบนิ้ว สมกับมีอาชีพที่เขาทำอยู่
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จ ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน คุณย่าอยู่บนตึกใหญ่ เธอกับชยันต์อยู่ปีกซ้ายของตึก ส่วนแม่สามีของเธอกับลูกสาวของพวกนางอยู่ปีกขวา คิดว่าคงไม่ต้องเจอหน้ากันหรือเกี่ยวข้องอะไรกันมาก แต่ที่ไหนได้!
“หล่อนมาอยู่ที่นี่จะงอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลยไม่ได้นะ อย่างน้อยก็ต้องทำงานบ้าน” รัศมีเจอหน้าลูกสะใภ้ก็ใส่เต็มที่ ถ้าไม่เพราะแม่สามีคิดสั้น เรียกร้องให้ลูกชายของนางต้องแต่งงานเพื่อมีทายาทสืบสกุล นางไม่มีวันยอมให้วิรากานต์มาแต่งงานกับลูกชายของนางแน่ เพราะหมายตาศิรินภาเอาไว้ให้ลูกชายแล้ว
“คุณแม่จะให้ช่วยอะไรบอกมาได้เลยนะคะ หนูเต็มใจค่ะ” วิรากานต์คิดว่าการทำดีเอาใจแม่สามีไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เป็นธรรมดาที่แม่สามีกับลูกสะใภ้ย่อมเขม่น
กันเป็นธรรมดา แต่ถ้าเธอทำดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ ยังไงก็ต้องเอาชนะใจแม่สามีได้แน่นอน
“หล่อนเต็มใจแน่นะ”
“ค่ะคุณแม่” วิรากานต์ยิ้มหวานให้แม่สามี
“หล่อนไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่หรอก ฉันฟังแล้วขนลุก”
“งั้นจะให้หนูเรียกว่าอะไรเหรอคะ” วิรากานต์เอ่ยถามกลับ เธอเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ๆ นางไม่ชอบให้เรียกว่าอย่างไร เธอก็ไม่เรียกอย่างนั้น
“เรียกชื่อฉันดีกว่า ฉันมีลูกชายกับลูกสาวแค่สามคน ไม่มีลูกสาวที่ไหนอีก”
“ค่ะคุณรัศมี”
“งั้นไปซักผ้าด้วย ผ้าวางไว้ที่ลานซักล้าง หล่อนต้องซักให้หมดภายในวันนี้”
“ค่ะ ได้อยู่แล้ว” วิรากานต์ยิ้มแฉ่ง ก็แค่ซักผ้ามันจะไปยากอะไร
“ห้ามให้คนอื่นช่วยเด็ดขาด”
“อ้อ... ค่ะ” เธอรับคำก่อนจะเดินไปยังลานซักผ้าหลังบ้าน แล้วก็ต้องอ้าปากค้างตาโตเมื่อเห็นผ้ากองโตตรงหน้า
“แต่งเพราะหนี้ อยู่ต่อเพราะหัวใจ” ภควัตแต่งงานตามใจมารดา หวังบีบให้ปิ่นมุกขอหย่า แต่ยิ่งเมินยิ่งเห็นว่าเธออยู่ได้อย่างมีความสุข และทำให้ “บ้าน” อบอุ่นขึ้น จนดึงดูดเขาอย่างประหลาด
เธอรักเขาคือเรื่องจริง แต่เขาโกรธเกลียดเธอคือเรื่องจริงเช่นกัน ในเมื่อความรักมันเหนื่อยนัก เธอก็ขอพักใจ ถอยห่างออกมา รอวันหย่าขาดจากพ่อของลูกที่ไม่เคยรักเธอเลย
เมื่อโชคชะตาบังคับให้เขาและเธอซึ่งเป็นคู่กัดต้องกลายเป็นคู่แต่งงานแบบสายฟ้าแลบ! ระหว่างอดีตที่เต็มไปด้วยการปะทะคารม กับปัจจุบันที่ต้องใช้ชีวิตร่วมชายคา... เรื่องวุ่น ๆ จึงเริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่แปรงสีฟันยันหัวใจ เขา...ผู้ชายเจ้าเล่ห์ ขี้แกล้ง และขี้หวงอย่างหนัก เธอ...หญิงสาวปากแข็ง ขี้ประชด แต่แอบอ่อนโยนในทุกความใส่ใจ จากบ้านไม้ริมคลอง กลายเป็นสนามรักและสงครามขนาดย่อม ที่ไม่มีใครยอมใคร แต่หัวใจสองดวงกลับเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด... เพราะบางที...โชคชะตาอาจไม่ได้บังคับ แต่มันอาจกำลังพาเขาและเธอ... กลับมายังที่ที่เรียกว่า "บ้าน" ด้วยกัน
“เขาคือเจ้าพ่อที่ใครต่างหวาดกลัว แต่กลับยอมสยบให้หญิงสาวที่ทั้งโลกเคยมองว่าไร้ค่า...” เมื่อเธอถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงหมากในเกมหมั้นหมาย เขากลับเห็นแสงในตัวเธอ และเลือกจะปกป้องด้วยทั้งชีวิตและหัวใจ ท่ามกลางไฟแค้น อำนาจ และความลับของตระกูล หัวใจของคนสองคนค่อย ๆ สานพันธะรักที่ไม่มีใครลบล้างได้ “เธอคือของฉัน ต่อให้โลกทั้งใบต่อต้าน...ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยเธอไป”
เมื่อข่าวฉาวบิดเบือนเปลี่ยนหญิงสาวให้กลายเป็นคนที่เขาเกลียด และเมื่อคำสัญญาเก่าของผู้ใหญ่ พาเธอกลับมาในฐานะ ‘คู่หมั้น’ ที่เขาไม่ต้องการ ลลิล สาวสวยผู้สง่างามและเข้มแข็ง ต้องเผชิญแรงกดดันจากคนในครอบครัว รวมถึง กวิน ชายหนุ่มผู้เย็นชา ผู้มองเธอด้วยสายตาดูแคลน…แต่ไม่อาจละสายตาได้เลย ในความเงียบงันระหว่างพวกเขา...กลับมี ‘หัวใจ’ ที่ค่อย ๆ เรียนรู้กันอย่างไม่รู้ตัว จากความเข้าใจผิด กลายเป็นความผูกพัน จากการดูแคลน กลายเป็นการปกป้อง และจาก ‘คู่หมั้นไร้เสน่หา’ กลายเป็น ‘ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก’
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
ชีวิตแต่งงานของฉันพังทลายลงในงานกาลาการกุศลที่ฉันเป็นคนจัดขึ้นมาเองกับมือ วินาทีหนึ่ง ฉันคือภรรยาผู้มีความสุขและกำลังตั้งครรภ์ของเก้า สุวรรณกิจ เจ้าพ่อวงการเทคโนโลยี วินาทีต่อมา หน้าจอโทรศัพท์ของนักข่าวคนหนึ่งก็ประกาศให้โลกรู้ว่าเขากับพราว นิธิวัฒน์ รักแรกในวัยเด็กของเขา กำลังจะมีลูกด้วยกัน ฉันมองข้ามห้องไป เห็นพวกเขาสองคนยืนอยู่ด้วยกัน มือของเก้าวางอยู่บนท้องของพราว นี่ไม่ใช่แค่การนอกใจ แต่มันคือการประกาศต่อสาธารณะที่ลบตัวตนของฉันและลูกในท้องของเราให้หายไป เพื่อปกป้องการเปิดขายหุ้น IPO มูลค่าหลายหมื่นล้านของบริษัท เก้า แม่ของเขา หรือแม้กระทั่งพ่อแม่บุญธรรมของฉันเอง ก็ร่วมมือกันหักหลังฉัน พวกเขาย้ายพราวเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา บนเตียงของฉัน ปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นราชินี ในขณะที่ฉันกลายเป็นนักโทษ พวกเขาตราหน้าว่าฉันเป็นคนสติไม่ดี เป็นภัยต่อภาพลักษณ์ของครอบครัว พวกเขาใส่ร้ายว่าฉันนอกใจ และกล่าวหาว่าลูกในท้องของฉันไม่ใช่ลูกของเขา คำสั่งสุดท้ายนั้นโหดร้ายเกินกว่าจะคิดฝัน...ให้ฉันไปทำแท้ง พวกเขาขังฉันไว้ในห้องและนัดวันผ่าตัดเรียบร้อย พร้อมขู่ว่าจะลากฉันไปที่นั่นถ้าฉันขัดขืน แต่พวกเขาทำพลาดไปอย่างหนึ่ง... พวกเขายอมคืนโทรศัพท์ให้ฉันเพื่อหวังจะปิดปากฉันไว้ ฉันแสร้งทำเป็นยอมแพ้ แล้วใช้โอกาสสุดท้ายโทรออกไปยังเบอร์ที่ฉันเก็บซ่อนไว้มานานหลายปี... เบอร์โทรศัพท์ของพ่อผู้ให้กำเนิดของฉัน อนันต์ ธีรวงศ์ ประมุขของตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากพอที่จะเผาโลกทั้งใบของสามีฉันให้มอดไหม้เป็นจุณได้
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY