เธอสูญเสียเขาไปในคืนแต่งงาน...แต่ไม่นานหลังจากนั้น ชายแปลกหน้ากลับปรากฏตัว พร้อมหัวใจดวงเดิมที่เธอเคยมอบให้ใครคนหนึ่ง ในร่างใหม่ ที่รักเธอไม่ต่างจากเดิม
เธอสูญเสียเขาไปในคืนแต่งงาน...แต่ไม่นานหลังจากนั้น ชายแปลกหน้ากลับปรากฏตัว พร้อมหัวใจดวงเดิมที่เธอเคยมอบให้ใครคนหนึ่ง ในร่างใหม่ ที่รักเธอไม่ต่างจากเดิม
เสียงฝนตกเบา ๆ นอกหน้าต่างคล้ายบทกล่อมของค่ำคืน
ห้องหออบอวลด้วยกลิ่นกุหลาบขาว และแสงไฟอุ่นละมุนราวอยู่ในฝัน
กานต์ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาจับจ้องด้วยแววตาที่ไม่อาจละไปไหน
มือของเขาเลื่อนมาถอดผ้าคลุมผมเจ้าสาวออกอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำและนุ่มนวล
“รู้ไหมครับ ผมเคยคิดถึงภาพในวันนี้มาตลอด แต่พอเห็นคุณจริง ๆ ในชุดเจ้าสาว ผมกลับไม่แน่ใจว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า”
นารายิ้มบาง ๆ ดวงตาเธอเป็นประกาย ปลายนิ้วแตะมือเขาเบา ๆ
ไม่มีคำพูดใดจำเป็นในตอนนั้น ความเงียบของหัวใจพูดแทนทุกอย่าง
“เหนื่อยไหมวันนี้”
เสียงทุ้มแผ่วเบาของกานต์ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสอ่อนโยนที่แตะลงบนไหล่นารา เขานั่งลงข้างเธอ พลางยื่นมือมาจับมือเธอไว้แน่น
“นิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้หายแล้ว” นารายิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอนศีรษะลงบนไหล่เขาอย่างไว้ใจ
กานต์ก้มหน้าลงจูบเบา ๆ ที่หน้าผากเธอ “ขอบคุณนะ ที่ยอมเดินมาจนถึงวันนี้ด้วยกัน”
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ... ขอบคุณที่ไม่เคยปล่อยมือฉันเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
กานต์ขยับกายเข้ามาใกล้ รั้งตัวเธอเข้าสู่อ้อมแขนแน่นขึ้น ลมหายใจเขาอุ่นอยู่ใกล้ใบหน้าเธอ ราวกับจะบอกให้รู้ว่า เขาอยู่ตรงนี้ อยู่เพื่อเธอ
“ให้ผมช่วยเปลี่ยนชุดนะครับ” เสียงเขานุ่มและจริงใจ
กานต์ช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าสาวของเธอด้วยความทะนุถนอม ทุกการเคลื่อนไหวมีความระมัดระวัง และเต็มไปด้วยความรัก
เมื่อเธออยู่ในชุดซับในอันเบาบาง เขาจึงถอดเสื้อสูทของตัวเองออก
เขานั่งลงข้างเธอ คว้ามือที่คล้ายกับสั่นเบา ๆ ของเธอมากุมไว้แน่น
“ไม่ต้องกลัวนะครับ”
“ฉันไม่ได้กลัว...” เธอยิ้ม “…แค่ยังไม่เชื่อว่านี่คือความจริง”
กานต์โอบเธอเข้ามาแนบอก “ผมรักคุณนะ นารา”
“ฉันก็รักคุณค่ะ”
ปลายนิ้วของเขาไล้ไปตามแนวกรอบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากนุ่มที่เขารู้จักดี ริมฝีปากหญิงสาวที่เขารอจะเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียวมาตลอดชีวิต
จูบแรก...แผ่วเบาและสั่นไหว
จูบที่สอง...มั่นคง อบอุ่น และเต็มไปด้วยความรัก
แขนของกานต์โอบกระชับคนในอ้อมกอดไว้แน่น ราวกับไม่ต้องการให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไป นาราซบหน้าแนบอกเขา ฟังจังหวะหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับเธอ แล้วปล่อยให้อารมณ์นำพาทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างเนิบนุ่ม...ละมุนละไม
ไม่มีความเร่งรีบ มีเพียงความมั่นคงที่สะสมมาตลอดหลายปี
มืออันอบอุ่นสอดสัมผัสเข้าไปภายใต้ชุดที่บางเบาของนารา เขาลูบไล้สัมผัสผิวอันอ่อนนุ่มของเธออย่างทะนุถนอม ริมฝีปากร้อนผ่าวเคลื่อนวนขบเม้มลงมาตามซอกคอที่หอมกรุ่นของหญิงสาวในอ้อมกอด
นาราทำได้เพียงหลับตา สะกดกลั้นความเสียวซ่านของการถูกสัมผัสจากชายที่เธอรักมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
..........
เสียงโทรศัพท์ดังแทรกเข้ามากะทันหัน
ชื่อ "อรดา" สว่างบนหน้าจอ
กานต์หงุดหงิดและไม่เต็มใจที่จะรับสายเรียกเข้านี้ ทว่านารากลับหยุดการกระทำของเขา และให้เขารับสายเจ้าปัญหานี้ก่อน
“ฮัลโหล…ว่าไงอรดา?”
เสียงปลายสายตื่นตระหนก
“ขอโทษที่โทรมากลางดึกค่ะคุณกานต์ แต่ฉันโทรติดต่อคุณนาราไม่ได้เลย ตอนนี้ฐานข้อมูลบริษัทโดนเจาะ ข้อมูลลูกค้ารั่วไหลหมดเลยค่ะ!”
"อะไรนะ" เขาหันมาสบตานารา
เธอพยักหน้าโดยทันที “กานต์ ไปค่ะ เราต้องไปดูเอง ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญจะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้”
..........
รถแล่นฝ่าสายฝนในค่ำคืนที่เงียบสงัด
มือของกานต์จับมือเธอไว้แน่น
“ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมอยู่ตรงนี้”
"ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเกิดเรื่องร้ายในคืนวันแต่งงานของเราแบบนี้ด้วย” เธอกระซิบตอบ ถึงแม้ว่ากานต์จะบอกเธอว่าไม่ต้องกังวล แต่ลึก ๆ แล้วเธอก็ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ลงไปได้
ระหว่างที่รถเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว
จู่ ๆ แสงไฟจากรถบรรทุกก็พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง!
เสียงเบรก เสียงกระแทก เสียงทุกอย่างปะทะกันในวินาทีเดียว
โลกทั้งใบหมุนคว้าง ก่อนจะดับวูบลงในความมืด
นาราค่อย ๆ ลืมตา เสียงไซเรนดังแว่วอยู่ไกล ๆ
กลิ่นควันและแสงวูบไหวจากไฟฉุกเฉินทำให้สติของเธอค่อย ๆ กลับมา
ร่างกายปวดระบม แต่สิ่งแรกที่เธอคิดถึงคือคนข้างตัว
“กานต์...?” เธอเรียกชื่อเขาเสียงสั่น มือควานหาอย่างลนลาน
เขานอนแนบอยู่ข้างเธอ แขนยังโอบเธอไว้แน่น
เลือดจากหน้าผากเขาไหลช้า ๆ ริมฝีปากซีด และหายใจแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
“กานต์! ได้ยินไหม?!” เสียงเธอสั่นเครือ น้ำตารื้นขึ้นมาทันที
กานต์ขยับตัวเล็กน้อย ดวงตากะพริบช้า ๆ มองหน้าเธอ
“คุณ...ปลอดภัยไหม...เจ็บตรงไหนหรือเปล่า…”
“ไม่ต้องห่วงฉัน...คุณต่างหาก คุณเลือดออกเต็มไปหมดเลย!”
เธอรีบเอามือกดแผลเขาไว้ แม้จะตัวสั่นจนควบคุมไม่ได้
เสียงรถพยาบาลใกล้เข้ามา
นารากัดฟันพยายามประคองเขาไว้
“เดี๋ยวนะ กานต์...อย่าหลับนะ ได้ยินไหม...เดี๋ยวคนมาช่วยแล้ว”
“ไม่เป็นไร...คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว…” เขาพูดแผ่วเบา ริมฝีปากแทบไม่ขยับ
“อย่าพูดแบบนั้น! คุณต้องไม่เป็นไร...กานต์ ได้ยินไหม?!”
เขาพยายามจะยิ้ม แต่ก็หมดแรง
แววตายังมองเธอไม่วาง ราวกับอยากแน่ใจว่าเธอปลอดภัยจริง ๆ
“ช่วยด้วย! ตรงนี้ค่ะ!” เธอตะโกนไปยังทีมกู้ชีพที่วิ่งเข้ามา
มือของเธอจับมือเขาแน่นไม่ยอมปล่อย
และในวินาทีนั้นเธอรู้แค่อย่างเดียวว่า...เธอไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้มาก่อน
ทว่าร่างกายของเธอก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง สติสัมปชัญญะที่มีเริ่มเลือนลาง ในที่สุดแสงสว่างตรงหน้าก็ดับมืดไป
.................
เสียงเครื่องวัดชีพจรดังแผ่วเบา เคล้ากับกลิ่นยาในห้องสีขาวสว่าง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว นาราค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ภาพพื้นเพดานจาง ๆ ค่อยชัดขึ้นทีละน้อย
สติของเธอกลับมาเพียงครึ่งหนึ่ง แต่หัวใจกลับเจ็บแน่นราวมีอะไรบางอย่างขาดหาย
ภาพสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับลง
คือใบหน้าของกานต์…เลือดเปื้อนหน้าเขา แขนยังโอบเธอไว้แน่น
และเสียงของเขา…ยังคงก้องอยู่ในหัว
“คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว…”
แค่หลับตา เสียงนั้นก็ชัดเจนจนเจ็บ
ในระหว่างที่นารากำลังคิดทบทวน ประตูห้องก็เปิดออกเบา ๆ
ชายคนหนึ่งในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามาช้า ๆ พร้อมสีหน้าที่จริงจังเกินกว่าที่ผู้ได้พบเห็นจะรู้สึกสบายใจ
“คุณนารา…” เสียงที่อ่อนโยนแต่ทุ้มหนักของหมอดังขึ้น
“คุณฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้รู้สึกมีส่วนไหนที่ยังไม่ค่อยโอเคบ้างไหมครับ"
ได้ยินคำถามจากคุณหมอเจ้าของไข้ นาราทำได้เพียงสายศีรษะไปมาอย่างช้า ๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับ
หมอหยิบชาร์ตรายงานผลการตรวจขึ้นมาอ่านคู่หนึ่ง หลังจากได้เซ็นชื่อรับรองก็กล่าวขึ้นว่า "สภาพร่างกายของคุณโดยรวมถือว่าไม่เป็นอะไรมาก มีเพียงแผลบาดเจ็บแค่เล็กน้อย"
หลังจากเปิดดูรายงานทางการแพทย์อีกครู่หนึ่งเขาก็วางมันไว้ที่เดิม
"แต่ทางที่ดีหมอจะให้คุณพักดูอาการอีกสักหนึ่งอาทิตย์ ถ้าไม่มีอะไรมากก็สามารถกลับบ้านได้ครับ” เขากล่าวอธิบาย
เธอหันไปมองเขา ดวงตายังพร่ามัวจากทั้งน้ำตาและฤทธิ์ยา เอ่ยถามทันทีโดยที่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง "หมอคะ กานต์....กานต์เขาเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้อยู่ที่ไหนเขาปลอดภัยดีใช่ไหมคะ"
หลังจากได้ยินคำถามสีหน้าของหมอก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นอย่างไม่สามารถปกปิดได้
“คุณกานต์...เขาบาดเจ็บสาหัสมากครับ” หมอพูดอย่างระมัดระวัง
“เราทำได้แค่ประคองชีวิตเขาไว้ให้ถึงตอนนี้ เขาเสียเลือดมาก มีบาดแผลภายในหลายจุด"
"เขา...คงรอให้คุณฟื้นขึ้นมา....”
หมอไม่ได้บอกโดยละเอียดเพราะไม่อยากให้กระทบต่อจิตใจของเธอ เพียงแต่คำพูดสุดท้ายของหมอ...คล้ายมีใครกดหัวใจเธอลงอย่างแรง
นาราขยับตัวลุกขึ้นทันที แม้ร่างกายจะยังอ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
“ฉัน...ฉันอยากเจอเขา”
หมอพยักหน้า
“เขาอยู่ห้อง ICU ชั้นบน ผมจะพาคุณไป”
บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นเข้ามา ประคองเธอนั่งบนรถเข็นอย่างมั่นคง หลังจากย้ายขวดน้ำเกลือมายังรถเข็นเรียบร้อย ก็เข็นพาเธอออกไปอย่างช้าๆ
ห้อง ICU
นารานั่งอยู่บนรถเข็นหน้าห้อง มือแนบกระจก
ใบหน้าเธอซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ไม่หยุด
เธอไม่อาจขยับรถเข็นเข้าไปข้างใน...เพราะใจยังไม่พร้อมจะเห็นความจริง
ในเงาสะท้อนของกระจก ไม่ใช่แค่ภาพของเธอที่สะท้อนออกมา
แต่คือเงาอีกเงาหนึ่ง รอยยิ้มของกานต์ในวันเก่า…อบอุ่น อ่อนโยน และเต็มไปด้วยความมั่นใจ
..........
สิบเก้าปีก่อน
หลังงานศพของพ่อแม่เธอจบลง
เด็กหญิงนาราในวัยแปดขวบยืนเงียบ ๆ อยู่หน้าบ้านหลังใหญ่
บ้านของครอบครัว “วรเมธินทร์” ที่เธอแทบไม่รู้จักใครเลย
เธอกำตุ๊กตาแน่น ไม่ยอมพูดกับใคร
จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินเข้ามาใกล้
เด็กชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนยื่นมือมาตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน
“ตั้งแต่นี้ไป ฉันจะอยู่ข้างเธอนะ”
เขาคือ กานต์ วรเมธินทร์
และในวันนั้น เขาคือคนแรกที่ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกนี้ยังปลอดภัย
..........
ภาพความทรงจำเลือนหายไป
นารายังยืนอยู่ที่เดิม หน้าห้อง ICU
น้ำตาหยดใหม่ไหลลงบนกระจกเย็นเฉียบ
เธอสูญเสียพ่อแม่
และตอนนี้...เธอกำลังจะสูญเสียผู้ชายที่เคยยื่นมือให้เธอในวันที่โลกทั้งใบพังลง
หัวใจของนาราแตกสลาย กานต์คือสิ่งเดียว ที่ทำให้เธอยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปได้
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY