คนอื่นเขาข้ามมิติมาเป็นนางร้ายแล้วได้กับพระเอก ทว่าหวางเสี่ยวเหยาเข้าร่างนางร้ายแล้ววิ่งตามตัวประกอบชายแสนจืดจาง เพื่อตามเขามาปลูกผักซะงั้น…
คนอื่นเขาข้ามมิติมาเป็นนางร้ายแล้วได้กับพระเอก ทว่าหวางเสี่ยวเหยาเข้าร่างนางร้ายแล้ววิ่งตามตัวประกอบชายแสนจืดจาง เพื่อตามเขามาปลูกผักซะงั้น…
ตอนที่ 1 เข้าร่างดีๆ โลกไม่จำ
กุบกับ กุบกับ กุบกับ
เสียงฝีเท้าม้าที่ดังใกล้เข้ามาท่ามกลางเสียงเม็ดฝนตกกระทบพื้นทำให้สตรีที่นอนสะลึมสะลืออยู่กลางทางผู้หนึ่งปรือตาขึ้นมอง
ภาพตรงหน้าที่ปรากฏขึ้นแม้นจะยังเลือนลาง แต่เมื่อเพ่งมองก็มั่นใจได้ว่าสิ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาคือรถม้าคันหนึ่ง พาหนะนั้นกำลังแล่นมาตามทางอย่างเร็วรี่ และหากนางยังอยู่ตรงนี้จะต้องเกิดเหตุสลดขึ้นแน่นอน หญิงสาวจึงพยายามขยับกายหมายจะออกไปให้พ้นทาง แต่แล้วก็กลับพบว่าตนเองไร้เรี่ยวแรงสิ้นดี แค่เพียงจะหยัดกายลุกขึ้นนั่งยังไม่อาจทำได้ สุดท้ายจึงได้แต่นอนมองเหตุการณ์ด้วยความหวาดเสียวใจ พลันนั้นเสียงตะโกนของสารถีก็ดังขึ้น
“ไอ้หยา!”
ทันทีที่ผู้ควบคุมรถม้ามองมาเห็นร่างสั่นเทิ้มของสตรีที่นอนขดตัวอยู่กลางถนน รถม้าก็ถูกบังคับให้ช้าลงอย่างเฉียบพลัน ผู้โดยสารที่นั่งมาในรถต่างร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจที่อยู่ๆ รถม้าของตนก็ส่ายสะบัดคล้ายเสียการควบคุม
“ว๊าย!!”
เสียงร้องอุทานนั้นพาให้สตรีกลางถนนปิดเปลือกตาลงทันควัน แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งกลับไม่พบความเจ็บปวด มีเพียงอาการหนาวสั่นเท่านั้นที่ยังจู่โจมนางตลอดเวลา สตรีผู้เดียวดายกลางถนนจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นางเห็นสารถีผู้นั้นทิ้งบังเหียนแล้ววิ่งตรงเข้ามาหานาง ร่างท้วมย่อตัวลงแล้วพยายามจะช้อนตัวนางขึ้นจากพื้นในขณะที่เอ่ยถาม
“แม่นาง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงไม่หลบไปให้พ้นทาง!”
“หนาว… ข้าหนาวเหลือเกิน… ช่วยข้าด้วย”
ใบหน้าเปื้อนโคลนที่แหงนมองสารถีหนุ่มช่างดูน่าสงสาร นัยน์ตาของนางหม่นแสงฉายแววทุกทรมาน น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็สั่นสะท้านสิ้นดี
สารถีหนุ่มรู้สึกหวั่นไหวกับสีหน้าเช่นนี้ แต่เหตุใดเล่าเขาจึงรู้สึกคุ้นตากับดวงหน้าสะคราญนี้นัก เมื่อคิดใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจึงพบว่าสตรีนางนี้คือ เหอรั่วเหวิน คุณหนูจากสำนักเย่วเหมิน ผู้โด่งดัง พลันนั้นคำถามมากมายก็ผุดขึ้นในใจชายหนุ่ม ‘เหตุใดนางจึงถูกทอดทิ้งอย่างเดียวดายกลางป่าเช่นนี้ หนำซ้ำสตรีผู้มีวรยุทธ์กลับนอนขดตัวอย่างหมดเรี่ยวแรง หรือว่านางจะถูกทำร้าย!’
แต่เมื่อเลื่อนสายตาลงมองสำรวจเรือนร่างอรชรที่สั่นเทิ้มภายใต้อาภรณ์สีแดงฉานก็กลับไม่พบบาดแผล ผิวขาวราวไข่มุกบัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคลาบโคลน กายนางเย็นเยียบดูแล้วรู้สึกเวทนายิ่งนัก นึกอยากจะช่วยให้ความอบอุ่นแก่นางเสียเหลือเกิน แต่แล้วเสียงของสตรีที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้ความคิดนั้นต้องลบเลือนไป
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่ไปต่อ!”
สตรีผู้มีวงหน้าจิ้มลิ้มน่ารักแง้มหน้าต่างรถม้าเยี่ยมหน้าออกมามอง สารถีหนุ่มจึงเหลียวกลับไปตอบนางด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“แย่แล้ว แม่นางเหอรั่วเหวินกำลังต้องการความช่วยเหลือขอรับ คุณหนูจะให้บ่าวทำอย่างไรดีขอรับ”
“ปล่อยนางเอาไว้ตรงนั้นแหละ!”
ผู้ตอบคือสตรีสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับสตรีที่เอ่ยถาม นางไม่ได้เยี่ยมหน้าออกมามองแม้เพียงนิดแต่กลับตะโกนตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว คนฟังทั้งสองคนที่ตากฝนอยู่ด้านนอกฟังแล้วสะท้านใจยิ่งนัก
หยาดฝนที่เยียบเย็นยังไม่ส่งให้เหน็บหนาวได้เท่ากับคำพูดแล้งน้ำใจ
“ขอรับ”
สารถีหนุ่มเอ่ยตอบอย่างจำใจ ในเมื่อเจ้านายของเขาไม่อนุญาตผู้เป็นบ่าวรับใช้ก็ไม่อาจขัดขืนคำสั่งได้ ชายหนุ่มจึงค่อยๆ อุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงและเปียกปอนขึ้นจากพื้น เขาพานางไปหลบไว้ที่ข้างทางแล้วรีบรุดกลับไปที่รถม้า เมื่อปีนขึ้นมานั่งประจำตำแหน่งได้แล้วรถม้าคันงามก็เล่นผ่านหน้าสตรีผู้เปียกโชกไป
ทว่าก่อนจะจากไปสตรีผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มก็ชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่าง นางตะโกนบอกผู้ที่นอนขดตัวอยู่ข้างทางด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหยียดหยัน
“เหอรั่วเหวิน สตรีเพศยาอย่างเจ้าควรจะรีบตายๆ ไปได้แล้ว สมน้ำหน้านัก!”
แววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แล้วสตรีผู้นั้นก็สะบัดหน้าหนีไปก่อนที่บานหน้าต่างจะถูกปิด ไม่มีโอกาสให้ผู้ที่ถูกต่อว่าตอบโต้แม้เพียงนิด รถม้าคันใหญ่ได้เคลื่อนตัวจากไปเสียแล้ว
หญิงสาวนอนมองถนนดินเฉอะแฉะที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกงงงัน พอเริ่มประติดประต่อเหตุการณ์ได้นางก็ร้องตะโกน
“เหอรั่วเหวินที่ไหนกันเล่า ข้าคือหวางเสี่ยวเหยาต่างหาก!”
ทั้งสามที่มาพร้อมรถม้ามิได้จดจำผิดพลาดแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นนางต่างหากที่มีความเป็นมาที่ยากยิ่งจะอธิบาย เรื่องนี้คงต้องเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เหอรั่วเหวินคือตัวละครนางร้ายในนิยายที่ถูกเขียนขึ้นโดยนักเขียนสาวผู้มีนามว่า หวางเสี่ยวเหยา นิยายเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดนิยายอีโรติกและเต็มไปด้วยฉากเลิฟซีนอันร้อนแรง หวางเสี่ยวเหยาได้บรรยายเอาไว้ว่านางร้ายผู้นี้มีหน้าตางดงามอีกทั้งยังมีวรยุทธ์เก่งกาจ นางเป็นถึงเจ้าสำนักน้อยแห่งหมู่ตึกเย่วเหมินซึ่งเป็นสำนักฝึกยุทธ์อันเลื่องชื่อ ทว่าเหอรั่วเหวินกลับมีจุดจบแบบที่ไม่น่าเป็นไปได้
ตัวละครเหอรั่วเหวินแม้จะร้ายกาจและมีความสามารถรอบด้าน แต่นางกลับเป็นโรคประหลาดที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ โรคนี้จะกำเริบขึ้นทุกครั้งเมื่อกายนางต้องสายฝน หรือหากฝนตกเมื่อใดนางจะหนาวสะท้านและพาลหมดเรี่ยวหมดแรง นางประคองชีวิตตนเองมาได้ด้วยการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและพึ่งยาจากสำนักปรุงยาของเทพโอสถ แต่แล้วในวันหนึ่งความลับก็รั่วไหลออกไปถึงหูศัตรูของนางเข้า
หวางเสี่ยวเหยาได้เขียนจุดจบของเหอรั่วเหวินรอเอาไว้ในขณะที่เนื้อเรื่องยังดำเนินไปได้เพียงครึ่งเท่านั้น เหอรั่วเหวินจะถูกใครบางคนสลับยาพิษแทนยาบำรุงและแก้อาการหนาวสั่นที่นางต้องกินเป็นประจำ เมื่อพลาดพลั้งดื่มยาพิษเข้าไปนางร้ายตัวนี้จึงถูกกำจัดไปจากเส้นทางรักของพระเอกและนางเอกในเรื่อง
เหตุที่ต้องเป็นเช่นนั้นเพราะนิยายของหวางเสี่ยวเหยาเต็มไปด้วยฉากเลิฟซีน นางไม่มีพื้นที่ให้กับการดำเนินเรื่องในด้านอื่นๆ มากนัก ตัวละครที่คิดขึ้นจึงเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล บางตัวละครก็ใช้ตรรกะประหลาด พล็อตเรื่องบิดเบี้ยวเสียจนคนอ่านถอนหายใจแรง
ทว่านิยายของหวางเสี่ยงเหยากลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แม้บางคนจะอ่านไปด่าไปก็ตามที นักเขียนสาวจึงรีบเร่งปั่นต้นฉบับเพื่อจะวางขายจนกระทั่งลืมเลือนเรื่องการพักผ่อนของตนเอง เมื่อสภาพร่างกายทรุดโทรมหนักเข้าจึงไร้ภูมิคุ้มกัน เมื่อออกไปนอกห้องพักเพื่อไปซื้ออาหารจึงติดโรคระบาดร้ายแรงโควิดไนน์ทีนอย่างไม่รู้ตัว หวางเสี่ยวเหยาจึงต้องจากโลกมนุษย์ไปตลอดกาล
หากแต่หลังจากนั้นนางมิได้ไปเยือนสวรรค์อย่างที่คิด และนางก็ไม่ได้เหยียบย่างไปยังปรโลกอีกด้วย
ดวงจิตของนางกลับมาอยู่ในร่างของนางร้ายนามเหอรั่วเหวิน ตัวละครตัวหนึ่งที่นางไม่เคยใส่ใจ
พอคิดขึ้นได้นักเขียนในร่างนางร้ายก็ตะโกนก้อง
“ไม่… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไม่นะ ไม่จริง!… ฮือ ฮือ ฮือ”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังแข่งกับเสียงเม็ดฝนที่หล่นลงมากระหน่ำพื้น ใครบางคนที่เบื้องบนคงเทน้ำลงมากลั่นแกล้งนักเขียนสายหื่นกระมัง
ฮือ ฮือ ฮือ…
“ข้ามมิติทั้งทีแทนที่จะเป็นนางเอก นี่ก็นิยายของตัวเองแท้ๆ ไยสวรรค์ไม่เมตตา ไยส่งข้ามาเข้าร่างนางร้าย ฮือ ฮือ”
เมื่อหันซ้ายก็ไม่พบเจอผู้ใด หันขวาก็เห็นเพียงถนนดินและป่าเปลี่ยวกว้างใหญ่ นักเขียนสาวจึงเริ่มพูดคุยโต้ตอบกับตัวเองจนดูคล้ายคนบ้า!
“แต่ที่จริงแล้วนางร้ายก็อาจไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คิดนะ ก็แค่ไม่ได้กับพระเอกเท่านั้น อย่างน้อยๆ นางก็ยังหน้าตาดีล่ะ!”
“ไม่หรอก ถึงจะสวยพริ้งแต่นางก็ต้องตายในเร็วๆ นี้นะ อยากตายอีกเป็นครั้งที่สองงั้นหรือ…”
“ไม่!… ไม่สิ ข้ายังไม่อยากตาย จะบอกความจริงให้นะ ฉากเลิฟซีนที่เขียนขึ้นมาน่ะ มโนทั้งนั้น ข้ายังไม่เคยร่วมรักกับชายใดทั้งสิ้น ใช้ชีวิตยังไม่คุ้มเลยจะตายได้อย่างไรกัน!”
“ถ้างั้นก็ใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าเสียสิ ลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตา ครั้งหนึ่งเจ้าเคยกำหนดมันขึ้นมาด้วยมือของเจ้าเองมิใช่รึ!”
“นั่นสิ ทำไมข้าเพิ่งคิดได้ จริงด้วย!”
แล้วหวางเสี่ยวเหยาก็พยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง หลังจากที่ออกมาจากภวังค์แล้วกลับมาสู่ความเป็นจริง ทว่าอาการหนาวสั่นและไร้เรี่ยวแรงก็ยังคงตามติดตลอดเวลา
“หนาว หนาวเหลือเกิน…”
ร่างอรชรสั่นเทิ้มไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นได้ พลันนั้นนางจึงหวนคิดทบทวนความจำ ‘เหตุใดเหอรั่วเหวินจึงมานอนอยู่กลางถนนเช่นนี้…’
คำตอบก็คือตัวละครตัวนี้กำลังออกเดินทางไปดักรอเพื่อขัดขวางฉากเลิฟซีนของพระเอกและนางเอก แต่แล้วกลางทางก็เกิดมีฝนฟ้าคะนองราวกับมีพายุ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าฟ้ากว้างยังสดใสและเป็นสีคราม ฝนตกอย่างหนักทั้งๆ ที่ไม่น่าเป็นไปได้ และนี่คือตัวอย่างของเหตุการณ์บิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง
ที่จริงแล้วสิ่งต่างๆ ก็บิดเบี้ยวจากความเป็นจริงเหมือนกับตัวละครนางร้ายผู้นี้ นักเขียนสาวในร่างนางร้ายคลี่ยิ้มขึ้นทันควันเมื่อรู้สึกตัว
ใช่แล้ว นางมาเข้าร่างของตัวละครที่ดีเลิศยิ่งกว่านางเอกในเรื่องเสียอีก!
“ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งข้ามาเข้าร่างตัวละครแมรี่ซู! ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
พอคิดขึ้นได้ก็กลับคำ ไม่ทราบเคยทำความดีไว้อย่างไรจึงได้โอกาสมีชีวิตใหม่อีกครั้ง เวลานี้รู้เพียงแต่ดีใจมากๆ รู้สึกราวกับบรรยากาศหมองมัวรอบตัวเปลี่ยนเป็นสดใสในทันที แม้นว่าฝนจะยังคงตกอย่างหนัก หวางเสี่ยวเหยาตะโกนขึ้นบอกท้องฟ้า ยิ้มให้กับนกกาที่บินผ่านมาแม้ว่าจะมีสายฟ้าฟาดลงมาอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
“ข้าอยู่ในร่างโฉมสะคราญผู้เทพทรู ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เปรี้ยง!
แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายเมื่อสกุณาตัวนั้นถูกสายฟ้าฟาดร่วงหล่นลงมาตายต่อหน้า ขนดำมะเมี่ยมของมันมีควันลอยคลุ้ง ร่างกายไหม้เกรียมกรุ่นกลิ่นเหม็นไหม้ ความสมจริงกลับมาเยี่ยมเยือนจนนักเขียนสาวเริ่มตื่นกลัวในสถานการณ์
นางไม่รู้เลยว่าจุดจบของตัวละครนางร้ายนี้จะมาถึงเมื่อใด นางเว้นว่างเอาไว้เพราะมุ่งมั่นตั้งใจเขียนแต่ฉากเลิฟซีน
“แย่แล้ว!…”
เมื่อคิดเช่นนั้นหวางเสี่ยวเหยาก็ลนลานหายาแก้อาการทันที นางร้ายนี้จะต้องพกยาติดกาย ทว่าลูบคลำไปตามอาภรณ์สักเท่าใดก็ไม่พบขวดยา
‘เป็นไปไม่ได้! นางจะต้องมียาสิ!’
พลันนั้นนัยน์ตาสีดำขลับก็กวาดมองไปยังถนนดินเฉอะแฉะ และแล้วนางก็ได้พบกับขวดยา เจ้าขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ นั้นตกอยู่ที่กลางทาง และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวละครนี้นอนแอ้งแม้งอยู่ก่อนที่นางจะมาเข้าร่าง
คาดว่าเหอรั่วเหวินที่กำลังควบม้ามากำลังจะหยิบยาขึ้นมาดื่มเมื่อได้กลิ่นไอฝน ทว่าตัวละครนี้มักจะโชคร้ายเสมอๆ จึงทำให้พลาดพลั้งทำขวดยาหล่นจากมือ และเมื่อนางลงจากหลังอาชาเพื่อมาหยิบขวดยาฝนก็เทกระหน่ำลงมาเสียแล้ว เหอรั่วเหวินจึงไม่อาจไปขัดขวางฉากการร่วมรักท่ามกลางสายฝนของพระเอกและนางเอกที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปได้
“บ้าจริง! นี่ข้าต้องกระเสือกกระสนคลานไปกับพื้นเพื่อเอื้อมหยิบขวดยาหรือนี่ รันทดยิ่งนัก!”
นักเขียนสาวสายหื่นบ่นกระปอดกระแปดกับฝนฟ้า ช่างเป็นจังหวะการเข้าร่างที่สั่นสะเทือนวงการเสียจริง
“ปัง ปุ ริ…เย่ มาก แม่…”
เสียงบ่นยังสั่นเครือสิ้นดี พูดจบนางก็ค่อยๆ เอื้อมมือออกไป ในใจคิดว่าจะคลานไปกับพื้น ระยะห่างระหว่างตัวนางกับขวดยาไม่น่าเกินสองจั้ง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปสองเค่อนางก็ยังคงนอนแหมบอยู่ที่เดิม สองจั้งกลายเป็นสองลี้ขึ้นมาทันควันเมื่อการขยับกายของนางเปรียบดั่งสล็อตตัวหนึ่ง
“เฮ้อ!…”
เขาให้เธอเลือกระหว่าง ‘แฟนตัวจริงหรือเมียสมอ้าง’ บอกว่าชอบใจคำไหนก็ให้เลือกใช้เอาเอง ทั้งที่เธอมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กเท่านั้น อย่างนี้ก็ได้ด้วย!
เธอเฉิ่ม เธอเชย และเธอเป็นเลขาของเขา หน้าที่ของเธอคือเลขาหน้าห้อง แต่หลังจากความผิดพลาดในค่ำคืนนั้นเกิดขึ้น สถานะของเธอก็เปลี่ยนไปจากเดิม จากเลขาหน้าห้อง กลับกลายเป็นเลขาบนเตียงแทน... “เวลาทำงาน คุณก็เป็นเลขาหน้าห้องของผม แต่ถ้าผมเหงา คุณก็ต้องทำหน้าที่เลขาบนเตียง...” “บอส...?!” “ผมรู้ว่าคุณตกใจ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันกับสถานะของพวกเรา แต่มันเกิดขึ้นแล้ว จะทำยังไงได้ล่ะ” “บอสคะ...” หล่อนขยับตัวพยายามจะออกจากอ้อมแขนของเขา แต่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย “ว่าไงครับ” “แก้ว... แก้วว่าให้แก้วทำเหมือนเดิมดีกว่าค่ะ หรือไม่ก็ให้แก้วลาออกไป...” “ผมให้คุณลาออกไม่ได้หรอก คุณเป็นเลขาที่รู้ใจผมที่สุด อย่าลืมสิแก้ว” “แต่แก้ว...” หล่อนอยู่ในฐานะนางบำเรอของเขาไม่ได้ หล่อนทะเยอทะยานต้องการมากกว่านั้น แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีวันจะได้สิ่งที่หวังมาครอบครอง “ทำตามที่ผมบอก ไม่มีอะไรยากเย็นเลย”
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เพราะว่า...การช่วยตัวเอง...ในที่ทำงานมันผิด!! “โดนของจริงดีกว่าไหมครับ...แค่นิ้ว...มันคงไม่อาจจะสนองความต้องการของคุณได้” นี่จึงเป็นบทลงโทษที่เธอต้องรับมันไป...โทษฐานที่ทำให้ท่านประธานอย่างเขาจับได้...!!
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY