เขายื่นคำขาดให้ส่งหญิงสาวคนหนึ่งในตระกูลคอทลินไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ใครบ้างจะไม่รู้ว่านี่เป็นกับดัก ไม่มีทางที่ตระกูลคอทลินจะส่งลูกสาวสุดที่รักไปเด็ดขาด ดังนั้นใครจะเหมาะสมไปมากกว่าลูกนอกกฏหมายกัน
เขายื่นคำขาดให้ส่งหญิงสาวคนหนึ่งในตระกูลคอทลินไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ใครบ้างจะไม่รู้ว่านี่เป็นกับดัก ไม่มีทางที่ตระกูลคอทลินจะส่งลูกสาวสุดที่รักไปเด็ดขาด ดังนั้นใครจะเหมาะสมไปมากกว่าลูกนอกกฏหมายกัน
แสงไฟสว่างจ้าสาดส่องไปทั่วงาน หยดน้ำที่เกาะบนดอกกุหลาบสีขาวเมื่อกระทบแสงไฟส่องแสงระยิบระยับเป็นประกาย
ภาพที่แสนสวยงาม บรรยากาศที่อบอุ่น บวกกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่หลั่งไหลกันเข้ามาร่วมแสดงความยินดี ช่างเป็นความทรงจำที่น่ายินดีสำหรับคู่บ่าวสาว
ฉับพลันประตูบานใหญ่ก็เปิดขึ้น เรียวขายาวระหงเดินก้าวออกมา บนกายประดับด้วยชุดเดรสยาวสีขาวสะอาด ผมดำขลับถูกม้วนขึ้นไปกลางศีรษะ แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าเนื่องจากบนศีรษะถูกคลุมด้วยผ้าบางๆสีขาวไว้ แต่ก็สามารถบอกได้ว่าเจ้าสาวน่าจะเป็นหญิงสาวที่งดงามมากคนหนึ่ง
" เจ้าสาวเดินเข้ามาในงานแล้ว ไหนเจ้าบ่าวล่ะ " เสียงซุบซิบดังมาจากบรรดาแขกเรื่อ
" นั่นสิ.ได้ข่าวว่างานนี้ฝั่งตระกูลลูอิซเอ่ยปากขอแต่งงานกับตระกูลคอทลินเองไม่ใช่หรอ "
" เธอไม่รู้อะไรน่ะสิ ที่ตระกูลลูอิซขอแต่งงานก็เพราะแค้นน่ะสิ "
" ตายแล้ว!! แค้นเรื่องอะไรกัน "
" ก็เรื่องลูกสาวคนเล็กของตระกูลลูอิซที่แต่งเข้าไปในตระกูลคอทลินน่ะสิ ได้ข่าวว่าตายอย่างปริศนา ตระกูลลูอิซโกรธมาก "
" ถ้าอย่างนั้น การแต่งงานวันนี้ก็เพื่อแก้แค้นน่ะสิ "
" ฉันว่าน่าจะใช่ ไม่อย่างนั้นจะแต่งงานทำไม ลำพังแค่ตระกูลลูอิซที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถจัดการตะกูลคอทลินได้แล้วเพียงแค่พลิกผ่ามือ "
" น่าสงสารเจ้าสาว รู้ทั้งรู้ว่าแต่งเข้าไปยังไงก็อาจจะมีชีวิตรอดกลับมายาก แต่ก็ยังต้องแต่งเข้าไป "
" นั่นน่ะสิ "
เสียงกระซิบดังระงมไปทั่วงาน คำพูดทุกคนได้ยินเข้าโสตประสาททั้ง 2 ข้าง แต่เจ้าสาวก็ยังยืนนิ่งเฉยอยู่กลางเวทีอย่างสงบเสงี่ยม
พลั๊ก!!!
ฉับพลันประตูก็เปิดออกอย่างแรง ตามมาด้วยฝีเท้าหนักแน่นทรงพลัง ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย ไม่แสดงอาการใดๆ ด้านหลังของชายหนุ่มยังตามมาด้วยกลุ่มคนจำนวนมาก ที่คาดว่าน่าจะเป็นบอดีการ์ดประจำตัว
เจ้าบ่าวเดินเข้ามากลางงาน พลางกวาดตามองไปรอบๆ
โอลิเวอร์ คอทลิน ประมุขตระกูลคอทลิน กลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ก่อนจะค่อยๆยืนขึ้นเพื่อทักทายว่าที่ลูกเขย
" คุณมาคอส... "
มาคอส ลูอิซ มองประมุขคอทลินด้วยหางตา ก่อนจะเดินผ่านไปโดยไม่สนใจ ทิ้งให้โอลิเวอร์ขบฟันอย่างโมโหที่ถูกทำให้เสียหน้า
ร่างหนาเดินขึ้นเวทีไปอย่างช้าๆ สายตาจับจ้องมองไปที่ร่างบางที่กำลังจะเป็นผู้หญิงของเขาในไม่กี่นาทีข้างหน้า
เท้ายาวก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว มือหนากำลังจะเชยคางมนขึ้นมาเพื่อให้มองหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจ้าสาวดึงป้าคลุมหน้าออกด้วยตนเองก่อนจะเงยหน้าสบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว
ใบหน้าสวยหวานปรากฏอยู่ในสายตาของมาคอส ลูอิซ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองตาสีเม็ดอัลมอนด์อย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่ชายหนุ่มจะกระตุกรอยยิ้มร้ายเรียกให้คนที่มองเห็นถึงกับขนลุกเกรียว
" ยินดีต้อนรับเข้าสู่ตระกูลลูอิซ เจ้าสาวของฉัน "
เสียงดังกังวานประกาศก้องก่อนที่มือหนาจะคว้าเอวบางยกร่างเล็กขึ้นพาดบ่าอย่างง่ายดาย
" คุณจะทำอะไร! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ " เจ้าสาวหวีดร้องเล็กน้อยก่อนจะแย้ง
" พาเธอเข้าสู่ตระกูลลูอิซไง "
" แต่งานแต่งยังไม่เริ่ม คุณจะพาฉันออกไปแบบนี้ไม่ได้ " เคท คอทลิน เริ่มดิ้น
" ทำไมจะไม่ได้ มีงานแต่งหรือไม่มีงานแต่งเธอก็ต้องไปกับฉันอยู่ดี พ่อเธอยกเธอให้ฉันแล้วสาวน้อย "
เสียงหัวเราะในลำคอทำให้เคทขนลุกเกรียว มารร้ายในคราบซาตานอย่างเขาไม่สนใจกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น ทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ถึงแม้งานแต่งครั้งนี้เธอจะเต็มใจมาเอง แต่ซาตานร้ายที่อยู่ตรงหน้าก็เกินกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้ เธอทราบดีว่าแต่งงานไปก็คงได้รับการดูแลที่ไม่ดีนัก หรืออาจจะถูกทรมานต่างๆนาๆ เพื่อระบายความเเค้นของตระกูลลูอิซ แต่อย่างน้อยเธอก็สามารถใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรองกับตระกูลคอทลินได้ บุญคุณครั้งนี้ตระกูลคอทลินต้องชดใช้ให้เธอเท่านั้น
หญิงสาวเม้มปากแน่นรู้ดีว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์จึงได้หยุดดิ้นรน
มาคอสมองหญิงสาวอย่างแปลกใจ ก่อนจะกระดกยิ้มมุมปาก ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจทีเดียว
" เธอคิดว่ากำลังจะได้เป็นนายหญิงของตระกูลลูอิซสินะ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก "
" นายหญิงของตระกูลลูอิซหรอ หึ..น่าขำ คิดว่าคุณมีดีขนาดที่ชั้นต้องไขว่คว้ามาครอบครองรึไงกัน " คำพูดสบประมาททำให้มาคอสฉุนกึก เขาวางร่างบางลง มือหนาคว้าเข้าที่ปลายคางมนก่อนจะออกแรงบีบ
" กล้าสบประมาทฉันคงไม่รู้สินะว่าจะเกิดอะไรขึ้น "
" หึ..มาคอส ลูอิซ คุณมันก็แค่นี้แหละ เผื่อคุณจะไม่รู้ว่าไม่ได้มีผู้หญิงทุกคนหรอกนะที่อยากเข้าหาคุณ ผู้หญิงที่รังเกียจคุณก็มีเหมือนกัน "
ร่างบางกระซิบเสียงเบา แม้ว่าเธอจะเต็มใจแต่งงานแทนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอพิสวาทซาตานอย่างเขาเสียเมื่อไหร่ ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเองก็มีประโยชน์ต่อเธอไม่มีทางที่เธอจะเฉียดเข้าใกล้เด็ดขาด
" เธอสินะ ผู้หญิงที่ว่า " ร่างสูงปรายยิ้มอย่างมารร้าย พลางเดาะลิ้นในปาก ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจกว่าที่คิด ก็ดี...จะได้สนุกหน่อย
" ใช่ "
" แคร์ คอทลิน เธอพยายามจะยั่วโมโหฉันใช่ไหม "
เขาเรียกชื่อผู้หญิงอีกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องสาวเธอ ใช่ เธอสวมรอยเป็นแคร์เพื่อแต่งงานเข้ามาในตระกูลลูอิซ
" ใช่ " เธอตอบอย่างไม่ลังเล
มาคอสยิ้มมุมปาก มือหนาดึงร่างบางเข้ามาใกล้ก่อนจะบดขยี้เรียวปากของเธออย่างรุนแรง
" อื้อ.. "
เคทดิ้นยกมือขึ้นทุบกลางหลังของมาคอสดังปักแต่ก็ไม่สะเทือนร่างสูงเท่าไหร่ มือหนาบีบปลายคางให้เธออ้าปากก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปอย่างตระกละตระกราม มืออีกข้างก็ล็อกหลังศรีษะเธอไม่ให้ดิ้นไปไหนได้
จูบที่แสนยาวนานทำให้เคทหายใจไม่ทั่วท้อง ก่อนที่เธอกำลังจะหมดแรงมาคอสก็พลักร่างบางออก ขาที่อ่อนแรงทำให้เคทถึงกับเข่าอ่อนกลางเวที
เธอปลายตาขึ้นมองซาตานร้ายอย่างแค้นเคือง แต่กลับเรียกรอยยิ้มขบขันจากชายหนุ่มแทน
เขาสนใจในตัวเธอซะเเล้ว แคร์ คอทลิน
" พาเจ้าสาวของฉันกลับคฤหาสน์ วันนี้มีอะไรสนุกรออยู่อีกเยอะ "
สิ้นคำสั่งบอดีการ์ดจำนวนหนึ่งก็กรูกันเข้ามากึ่งลากกึ่งพยุงร่างบางให้เดินออกไปพร้อมกัน
ใครบอกว่านี่เป็นการรับเจ้าสาวกลับบ้านกัน นี่มันนักโทษชัดๆ
แขกเรื่อพากันมองอย่างตกตะลึงที่เห็นเจ้าบ่าวพาเจ้าสาวเดินออกจากงานไปโดยที่งานยังไม่ทันเริ่ม
" อ้อ...ไม่ต้องเสนอหน้าไปหาฉันที่ตระกูลลูอิซ ถ้าฉันไม่ได้เรียก ส่วนลูกสาวของนาย ฉันขอก็แล้วกัน หึ.."
มาคอสพูดต่อหน้าโอลิเวอร์และภรรยาก่อนจะเดินออกจากงานไป ทิ้งให้คนจัดงานถึงกับหน้าเสีย กัดฟันอย่างโมโห
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY