เพราะข้าอ้วนท่านอ๋องเลยไม่อยากแต่งกับข้าใช่ไหม
เพราะข้าอ้วนท่านอ๋องเลยไม่อยากแต่งกับข้าใช่ไหม
"อ๋องฟู่ฉวีช่าย ก็มาร่วมงานวันเกิดหรือ"
ฉินจิงเชียวยกมือขึ้นบิดไปมาตรงหน้าท่าทีเคลิ้มฝัน อาการบิดตัวไปมาทำเอาไขมันที่หน้าท้องแขนขากระเพื่อมเป็นลูกคลื่น ใบหน้าอ้วนที่คางหย่อนลงมาถึงสามชั้นไม่ได้สองขั้นอย่างคนอ้วนทั่วไปอมยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีที่มีมากพอๆ กับไขมัน
"เจ้าค่ะคุณหนู ฮูหยินใหญ่ให้ท่านสวมอาภรณ์ให้รัดรูปหน่อย ทนอึดอัดเอานิดเผื่อว่าจะดูดีขึ้นมาบ้าง"
จิงเชียวยิ้มแก้มพอง
อี้เหลียวพูดแบบไม่ถนอมน้ำใจก็จิงเชียวไม่เคยโกรธอยู่แล้วนี่
นางยอมรับสภาพอ้วนราวกับแม่หมูของนางได้ แล้วยังกินเพิ่มไปอีกในทุกวัน ตอนเป็นเด็กก็น่ารักน่าเอ็นดู แต่พอโตมาน้ำหนักตัวของนางยิ่งเพิ่มขึ้นจนฉุดไปอยู่ท่านราชครูฉินเกอกับฮูหยินใหญ่จิงหรานก็ตามใจ ไม่เคยดุด่ามีแต่สรรหาของดีๆ มาให้นางกิน เพราะเป็นลูกคนเดียวของท่านฉินที่อายุปาเข้าไป45ปีในปีที่จิงเชียวถือกำเนิดและฮูหยินจึงตามใจ จิงเชียวเลยกลายเป็นคนอ้วนที่อารมณ์ดีที่สุดในแคว้น มองโลกในด้านดี ยิ้มหัวพูดคุยไม่มีทางที่จะแค้นเคืองใคร
แต่เรื่องมาสะดุดหยุดลงตรงที่ ฝ่าบาทดันประทานงานแต่งงานให้อ๋องฟู่ฉวีช่ายกับบุตรีบ้านฉิน นายท่านกับฮูหยินเลยให้คุณหนูใหญ่จิงเชียวกินน้อยลง แต่ก็แค่ไม่กี่วัน งานดูตัวก็เริ่มขึ้นในวันคล้ายวันเกิดของท่านราชครู แต่จะว่าไปใครเขาจะเอาหญิงอ้วนกินจุมองหาความงดงามไม่มี มาทำซากอะไรเล่า
อ๋องฟู่ฉวีช่าย อ๋องผู้หล่อเหลาเกินใครในเจ็ดคาบสมุทรหญิงใดบ้างไม่หมายปองรวมทั้ง…..จิงเชียวที่แอบฝันใฝ่ถึงพี่อ๋องฟู่ตั้งแต่ยังไม่ผ่านวัยเด็กด้วยซ้ำไป รักแรก รักเดียวของจิงเชียวหญิงอ้วนแห่ง แคว้นหนี่ลัว…
"พี่อ๋องฟู่จะใจดีเหมือนเมื่อก่อนไหมนะ ดีใจจังจะได้พบท่านพี่อ๋องฟู่ กี่ปีแล้วนะตั้งแต่พี่อ๋องฟู่จากหนี่ลัวไปศึกษาเล่าเรียนพี่อ๋องฟู่จะจำข้าได้ไหมหนอ คิคิ"
หมุนตัวไปมาหน้ากระจก พุงใหญ่กระเพื่อมช่างน่าชังสิ้นดีแต่นางก็ยังยิ้ม
"อี้เหลียวได้ยินมาว่าท่านอ๋องเป็นบุรุษหนุ่มองอาจยากจะคาดเดา"
มืออ้วนๆประสานบิดม้วนตรงหน้าอีกครั้ง
"ท่านอ๋องเฉยชาใช่ไหม อือ ข้าละอยากจะพบพี่อ๋องฟู่เร็วๆเสียจริง ว่าแต่ว่าจิงชิน นางสวมอาภรณ์สีอะไร"
อี้เหลียวถอนหายใจ
โธ่ยังกล้าเอาตัวเองไปเปรียบกับเขา สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมมีจิงเชียวก็ดันมีฉินจิงชินที่บังเอิญเกิดหากกันเพียงปีเดียวจากนางในหอนางโลม จิงชินนางงดงามราวกับธิดาสวรรค์อรชรอ้อนแอ้น อีกทั้งกิริยาอ่อนหวานราวกับผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ทั้งที่เป็นลูกที่ท่านฉินไม่อยากจะรับ รับเพียงแต่ลูกมารดานางที่เป้นนางโลมไม่เคยให้เฉียดเข้าใกล้บ้านฉิน จิงชินถูกนำมาเลี้ยงในบ้านฉินตั้งแต่ห้าขวบ
นางไร้การอบรมจากมารดา แต่ด้วยนางเจียมเนื้อเจียมตัวจึงทีท่าที่เรียบร้อยอ่อนหวาน ทำให้ผู้ที่พบเห็นล้วนอดเอ็นดูเสียไม่ได้ ฮูหยินฉินแม้ไม่รักแต่ไม่รังแก จัดหาเสื้อผ้าอาภรณ์ ห้องหับและุหญิงรับใช้ให้ทัดเทียมฉินจิงเชียว จะน้อยกว่าคุณหนูใหญ่ก็ตรงเรื่องอาหารการกินที่ จิงเชียวมักจะได้กินแต่ของดีๆ และในปริมาณที่เท่ากับสามคนกิน
"อาภรณ์สีขาวเจ้าค่ะ คุณหนูรองนางยังบรรเลงเพลงกู่เจิ้งอวยพรวันเกิดให้นายท่านด้วย"
"แล้วข้าเล่าอี้เหลียว เจ้าว่าข้าควรอวยพรวันเกิดท่านพ่อด้วยสิ่งใดจึงดี"
อี้เหลียวยิ้มเจื่อนๆ แค่จะเดินยังไม่ไหว ต้องแบกร่างมหึมาไปบรรเลงเพลงกู่เจิ้งหรือร่ายรำคงไม่ได้แน่
"ข้าจะร่ายรำ"อี้เหลียวอ้าปากค้าง
"ตะตะแต่คุณหนูพรุ่งนี้งานก็เริ่มแล้ว ท่านยังไม่ทันได้ฝึกฝนการร่ายรำ"
จิงเชียวยิ้ม เข้าใจดีว่าอี้เหลียวห่วงใย
"ท่านพ่อมักจะปลีกตัวไปดูการร่ายรำที่หอนางโลม ให้ท่านแม่ขุ่นเคือง เอาแบบนี้ข้าแค่ร่ายรำจำท่ารำสักสองสามท่า ท่านพ่อคงพอได้ยิ้มได้ เจ้าไปเรียกนางรำในหอนางโลมเข้ามาฝึกข้า"อี้เหลียวยิ้มเจื่อนๆ
"เจ้าค่ะคุณหนู"
รับคำอดเวทนาเสียไม่ได้ จะว่าไปจิงเชียวน่าสงสารไม่น้อยจะเดินจะนอนก็ยังลำบากแต่นี่นางถึงขั้นจะร่ายรำ นับว่ามีความตั้งใจจริง
จวนอ๋อง
"จะต้องวุ่นวายไปทำไมกันข้าสวมอาภรณ์แบบไหนก็ได้ไม่สำคัญ”
ใบหน้าหล่อเหลาสีหน้าเรียบเฉยแต่น้ำเสียงบ่งบอกว่าอย่างนั้นจริงๆ
“แต่ท่านอ๋องการไปร่วมแสดงความยินดีในงานแซยิดของท่านราชครูฉินในครั้งนี้เท่ากับเปิดตัวท่านอ๋องไปด้วยเสียพร้อมกัน อีกอย่างท่านอ๋องขึ้นชื่อว่าหล่อเหลาหญิงใดก็หมายปองแต่งองค์อีกนิดก็ดูดีเกินใครแล้ว”
เสี่ยวฝานยืนเลือกอาภรณ์หลากหลายบนราวแขวน
“ข้าก็เคยไปที่บ้านท่านลุงฉินบ่อยไป เมื่อก่อนก็ไม่เห็นต้องมากเรื่อง”
เสี่ยวฝานก้มหน้าไม่กล้าต่อปากต่อคำเพราะรู้ดีฟู่อ๋องเป็นคนที่ ค่อนข้างเฉยชาพูดน้อยและไม่ชอบการโต้เถียง
วันต่อมาจวนราชครูที่พลั้งพร้อมไปด้วยโคมหลากสีสำหรับงานมงคลยังไม่ทันจะยามเซินด้วยซ้ำผู้คนต่างทยอยลงจากเกี้ยวหน้าจวน พร้อมของฝากและของขวัญสำหรับงานแซยิดของราชครูฉินผู้ซึ่งฮ่องเต้ให้การนับถือ
สุราอาหารถูกยกมาวางตรงหน้าแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน อย่างเนืองแน่น
จิงเชียวนั่งหน้ากระจกบานใหญ่อี้เหลียวและสาวใช้ช่วยกันจัด เครื่องประดับและผมเผ้าให้ดูดี ใบหน้าอวบในกระจกยิ้มบางๆ คางสามชั้นยังอยู่ตรงนั้น แต่สิ่งที่สะดุดตาคือดวงตากลมโตสดใสไร้ความทุกข์ ผิวขาวอมชมพูราวกับลูกท้อสุก
“เร็วๆ เข้าอี้เหลียว ข้าหิวแล้วไม่สิข้าอยากออกไปข้างนอกแล้ว”
“ใกล้เสร็จแล้วค่ะคุณหนู แค่ใช้ปิ่นเกล้าผมเสียนิดหน่อยก็ได้แล้ว”
“เร็วเข้า ข้าอึดอัดกับอาภรณ์ชุดนี้”
“ชุดนี้ คุณหนูรองตัดเย็บให้เองกับมือเพื่อคุณหนูนะเจ้าค่ะ”
ก็รู้อยู่แล้วอาภรณ์ทั่วไปไม่อาจสวมใส่จำต้องตัดเย็บแบบพิเศษ
ลุกขึ้นยืนอาภรณ์สีชมพูที่ไม่อาจดึงสายรัดเอวได้เหมือนคนอื่นด้วยสายรัดเอวกลายเป็นสั้นไปในทันทีเมื่อจิงเชียวสวมมัน ต้องปล่อยสายรัดเอวให้ห้อยร่องแร่งลงข้างลำตัว ส่วนพุงที่ยื่นออกมาส่งผลให้หน้าอกอวบอูมเล็กกว่าพุงที่ยื่นนำหน้า ชายกระโปรงที่เป็นผ้าบางเบาทำให้มองไม่เห็นขาอวบใหญ่ ราวกับท่อนซุง
“คุณหนูเจ้าขา เบาหน่อยเจ้าค่ะ พื้นห้องจะทะลุลงไปด้วยแรงของคุณหนูที่เอาแต่ย้ำโครมๆ”
จิงเชียวนั่งลงกับเก้าอี้ ที่ทำเป็นพิเศษมองตัวเองในกระจก
“ข้าอ้วนมากใช่ไหมอี้เหลียว”
อี้เหลียวยิ้มเจื่อนๆ โกหกสีขาวเพื่อให้อีกคนสบายใจก็จะโกหกได้อย่างไรในเมื่อความจริงก็เห็นๆ กันอยู่ว่าจิงเชียวอ้วนไม่ต้องให้ใครบอกนางตัวนางเองก็เห็นอยู่
“อยู่ๆ ทำไมถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาเจ้าคะ”
“ข้ากลัวว่าพี่อ๋องฟู่จะ จะไม่อยากมองข้ารังเกียจข้าที่อ้วนแบบนี้”
อี้เหลียวเสียบปิ่นปักผมบนเรือนผมนุ่ม
“คุณหนูเจ้าขาท่านอ๋องไม่กล้าปฏิเสธบัญชาฝ่าบาทได้หรอกไม่ต้องกังวลแล้วที่สำคัญคุณหนูก็อ้วนมานานแล้ว จะมาแก้ไขอะไรตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วควรจะยืดอกออกไปร่วมงานให้แล้วเสร็จเสีย”
จริงเชียวยิ้ม จะว่าไปอี้เหลียวก็พูดถูกนางมักจะพูดตรงๆ แบบนี้เสมอ“แต่ตามบัญชาบอกแค่ว่าบุตรีบ้านฉินไม่ได้บอกว่าข้าหรือว่า จิงชิน”
“ก็หากว่าท่านอ๋องฟู่เลือกคุณหนูรองนั่นก็เป็นเรื่องปกติ แต่หากเลือกคุณหนูนี่สิเท่ากับแปลกใครบ้างไม่ชอบหญิงงามที่อรชรอ้อนแอ้นและอ่อนหวานเช่นคุณหนูรอง”
ร่างอ้วนหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่วายพุงกระเพื่อม
“จริงด้วย เช่นนั้นก็แค่ได้พบพี่อ๋องฟูก็ดีแล้วใช่ไหม อี้เหลียวแค่ได้พบแค่ได้พูดคุยทักทายสมกับที่ไม่ได้พบเจอกันมานานก็พอแล้วจริงไหม”
อี้เหลียวพยักหน้าขึ้นลงรัวเร็ว
“คุณหนูของอี้เหลียวเก่งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
จิงเชียวยิ้มหวาน
“ไปกันเถอะของกินรออยู่”อี้เหลียวถอนหายใจส่ายหน้า
“ข้าแค่พูดผิดไป ท่านพี่อ๋องฟู่รอยู่”
พระเอกสายแอพ เฉยชาทว่าโบ๊ะบ๊ะภายใน โคตรรั่ว อัตราการแขวะ0.01วินาที ภายใต้หน้ากากสูงส่งบริสุทธิ์ ในนามปรมาจารย์ ที่ค้ำคอไว้ พบกับ พระเอกสายกาว ที่ไม่เอื้อนเอ่ย ใครกันจะรู้ภายในใจท่านคิดเช่นไร พบกับนิยายแนว ขุนเขาจอมยุทธ์ บุญคุณความแค้น แต่พระเอกสายฮา สะกดกลั้นความอาไว้ภายใต้หน้ากากหล่อเหลาอย่าเผลอนินทาอย่าเผลอหลงรัก เพราะปรมาจารย์ท่านนี้อ่านใจคนออก
เรื่องเล่าของท่าน อาจทำข้าสำราญ หรืออาจทำให้ทุกข์ตรมไปกับท่าน ถือว่าท่านจ่ายค่าตอบแทนแก่ข้าแล้ว เสพสุขจากความทุกข์ตรมกระทำได้เช่นนั้นหรือความทุกข์ตรมของผู้อื่น ทำให้เราหลุดพ้นความทุกข์ตรมของเราได้
บุตรีของขุนนางกบฏ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้บิดาแทนที่จะหนีไปไกลแสนไกลกลับพาตัวเองมาผูกพัน กับคนที่เป็นศัตรู แค้นฆ่าพ่อจือหรานจะสามารถทวงความเป็นธรรมให้บิดาได้หรือไม่ ..พบกับความรักความแค้นที่ฝั่งแน่น
ตำรวจหญิงมือดีดับอนาถแต่สวรรค์กลับให้โอกาสได้กลับไปแก้แค้น แทนหญิงโง่งมคนหนึ่งที่ถูกหักหลังเช่นกัน งานนี้จะต้องไม่ใครก็ใครสักคนจะต้องเสียน้ำตา
.....อามูเนส... .. ราชินีที่รักแห่งข้าขอเทพธิดาไอซิส มอบชีวิต อมตะให้ข้าและนาง ...รอ เจ้าอยู่ที่นี่ ตราบ ดวงอาทิตย์อับแสง ..รอเจ้าอยู่ร่วมเดินทางสู่ฟากฟ้า พร้อมกัน” คำขอครั้งสุดท้ายของ..โฮรัส.. ผู้เลื่องชื่อเทพแห่งสงคราม กับเจ้าหญิงผู้ซึ่งตกเป็นเชลย ด้วยจุดเปลี่ยนที่บิดาของอามูเนส ผู้เลอโฉมเลื่องลือไปไกล พ่ายแพ้ให้แก้ฟาโรห์โฮรัสเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ เป็นจุดเริ่มต้นของ คำขอต่อเทพแห่งความเป็นอมตะไอซิส คำขอครั้งสุดท้ายจะเป็นจริงไหมและเอวาสาวสวยนักโบราณคดีที่ขุดค้นพบ คำขอนั้นของฟาโรห์โฮรัสจะ สามารถค้นพบความจริงต่างๆได้อย่างไร ล่องลอยไปกับดินแดน ไอยคุปต์ด้วยกันใน...มนตราฟาโรห์...
ขายตัวเข้ามาเป็นอี้จีฝึกหัด แต่ยังไม่ผ่านงานแรกด้วยซ้ำ สวรรค์ชังหรือนรกแกล้งให้เฟิ่งหลิว ต้องมาพบเจอคนใจร้ายเช่นนี้แล้วยังมาหาว่าเฟิ่งหลิวเป็นนางคณิกา กร้านโลกอีก ทั้งๆที่น้องแสนจะเดียงสา
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
"พี่เจี๋ยข้าอยากได้อีกจุมพิตเพิ่มพลังของท่าน" ฉีเย่ว์กล่าวงึมงำบนริมฝีปากของเขา นางเป็นฝ่ายดูดกลีบปากของหยางเจี๋ยเบา ๆ ซุกไซร้ซอกซอนแหย่ลิ้นเข้าไปในปากของเขา สัมผัสอ่อนนุ่มในคราแรกเริ่มโหมกระหน่ำร้อนแรงมากขึ้น ฉีเย่ว์ปลดสายรัดเอวของเขาออกสอดมือล้วงเข้าไปในกางเกงของหยางเจี๋ยพบเนื้อร้อนของเขาแข็งแกร่งขึ้นเต็มลำ นางขยำแรง ๆ พร้อมกับรูดมือเบา ๆ "อ๊า คนดีของพี่" หยางเจี๋ยมือหนึ่งประคองศีรษะของนางให้แนบชิดกับปากของเขาอีกมือล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของนาง ฉีเย่ว์ไร้อาภรณ์กางกั้นด้านในนางใส่เพียงเสื้อคลุมนอนสีขาวเท่านั้น เขาลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางไล้นิ้วลงไปจนถึงแก้มก้มแล้วขยำเบา หนัก สลับกัน "พี่เจี๋ยให้ข้ารักท่านเถิด" ฉีเย่ว์กัดปากข่มเสียงครางเอาไว้ นางดึงกางเกงของเขาออกโดยมีหยางเจี๋ยคอยช่วยเหลือ นางขึ้นคร่อมเขาอย่างกระหายไม่บัดนี้ตื่นอย่างเต็มตาในขณะที่ควงเอวควบขี่เขาเป็นจังหวะ หยางเจี๋ยขยับรับจังหวะที่องค์ราชินีของตนเองควบขี่ เขาเด้งสะโพกขึ้นรับนางมือดึงผ้ารัดเอวของนางออกแล้วทิ้งไว้ด้านข้าง แหวกสาบเสื้อของนางแล้วผวาศีรษะขึ้นมาอ้าปากดูดรับเนื้ออวบของนางที่กระเด้งเป็นจังหวะ ฉีเย่ว์ดันร่างของตนเองเข้าหาปากเขามือช่วยประคองศีรษะของหยางเจี๋ยให้แนบชิด หยางเจี๋ยดูดปทุมถันคู่งามอย่างกระหาย เสียงหอบหายใจของฉีเย่ว์สั่นสะท้านหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาคือหัวหน้าหน่วยจู่โจมที่ตายในสงคราม และได้ย้อนเวลากลับมาหลายร้อยปีกระทั่งฟื้นขึ้นมาในร่างเด็กน้อยนาม หยางเจี๋ย เด็กผู้อาภัยจากตระกูลใหญ่ ที่บิดาและมารดาถูกใส่ความว่าทุจริตจนต้องจบชีวิตลง หยางเจี๋ยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตในจวนราชครู สหายของบิดา และที่นี่เขาได้พบกับเด็กน้อยผู้หนึ่งนาม ฉีเย่ว์ ธิดาของท่านราชครูฉีผู้สูงส่ง พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ความใกล้ชิดทำให้เขาหวั่นไหว หยางเจี๋ยจะทำเช่นไรเมื่อได้พบว่า ตัวเอง ตกหลุมรักคุณหนูผู้สูงส่งจนหมดหัวใจไปเสียแล้ว เขารักนาง ต้องการทำให้นางตกเป็นของเขา และทำลายขวากหนามทุกอย่างที่ขัดขวางให้หมดสิ้นไป เพื่อนางเพียงคนเดียว
ลูกสาวเพื่อนพ่อตามจีบเขาตั้งแต่เด็กยันโต เล็กๆ ก็ดูน่ารักดี แต่ทำไมยิ่งโตยิ่งน่ารำคาญ พฤติกรรมก้าวร้าวขนาดนี้ใครได้เป็นเมียมีแต่ซวย กับซวย!
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
“สวิงของต้นกับอ้อ” ถูกเขียนขึ้นในวันที่ 10 เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2555 โดยลงในเว็บไซต์ Sudswing ที่ปัจจุบันปิดตัวถาวรไปนานแล้ว แต่เชื่อว่ายังอยู่ในความทรงจำของใครหลาย ๆ คน ซึ่งหากนับเวลาแล้วก็ครบรอบ 13 ปี พอดี ณ วันที่กำลังเริ่มต้นลงฉบับพิเศษของนิยายเรื่องนี้ โดยมีการปรับปรุงเนื้อหาในแต่ละตอนให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงการรวมตอนพิเศษและตอนที่หายไปเอามาไว้ในเรื่องนี้ สำหรับไรต์แล้ว “สวิงของต้นกับอ้อ” คือลูกคนโตและลูกรักที่นำพาให้ไรต์ก้าวมาเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัวในนิยายสายอีโรติกแนวสวิงกิ้ง NTR, Cuckold, 3P, นิยายแนวเมียสาวเหงารัก รวมถึงแนวที่สามีอยากเห็นภรรยาของตัวเองไปมีอะไรกับชายอื่น ยังไงขอฝากนิยาย “สวิงของต้นกับอ้อ” ฉบับครบรอบ 13 ปีนี้ เอาไว้ให้นักอ่านได้ติดตามกันด้วย ขอบคุณสำหรับทุกการสนับสนุนที่ทำให้ไรต์ยังคงเดินต่อไปได้บนถนนสายตัวอักษรนี้ครับ
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY