คำสัญญา... ความรัก... ความตาย... เธอได้แต่ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นแน่เมื่อหนึ่งพันปีก่อน
คำสัญญา... ความรัก... ความตาย... เธอได้แต่ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นแน่เมื่อหนึ่งพันปีก่อน
กลิ่นของหิมะและสายลมหนาวที่ถูกสูดเข้ามาในปอด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับมาในวันวานอีกครั้ง ภาพของป่าสนสูงใหญ่หนาทึบตรงหน้ามันแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหนึ่งพันปีก่อนเลยสักนิด อาจเป็นเพราะบรรยากาศรอบๆ ที่ดูอึมครึมน่ากลัว นั่นเลยทำให้ไม่มีมนุษย์หน้าไหนกล้าย่างกรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ เขตพื้นที่ของปีศาจในตำนาน พวกมนุษย์เรียกเราว่า... แวมไพร์
กลับมาแล้ว...
ผมคิดในขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในป่ามืดมิดตรงหน้าเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางของผมคือปราสาทของตระกูลบาโธนี่ซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึก
วันนี้ผมมาที่นี่เพราะตั้งใจมาพบใครคนหนึ่ง แต่แล้ว...
“เห้ย! แกน่ะ... ไสหัวออกไปซะ นี่มันพื้นที่ส่วนบุคคล” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบตอนที่ผมกำลังเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
หมอนั่นมันยืนเก็กท่าอยู่บนต้นไม้... คงคิดว่าตัวเองหล่อตายห่า
“นี่บ้านฉัน” ผมเอ่ยพร้อมกับเลิ่กคิ้วน้อยๆ อย่างแปลกใจ จะเข้าบ้านตัวเองนี่ต้องขออนุญาตมันด้วย?
“ฮ่าฮ่าฮ่า! อย่ามาพูดให้ขำดีกว่าน่า นี่มันพื้นที่ของตระกูลบาโธนี่” ชายคนเดิมเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันมีอะไรน่าขำตรงไหน
“ก็เออสิ” ผมตอบแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ดูจากทรงแล้วหมอนี่น่าจะเป็นแวมไพร์หน้าใหม่ที่ถูกเปลี่ยนเพื่อให้มาเฝ้าบ้าน ก็แค่ลูกกระจ้อก...
“แกคงวิ่งหางจุกตูดแน่ถ้ารู้ว่าพวกเขาเป็นอะไร” มันยังพูดต่อ ในขณะที่ผมตัดสินใจเลิกฟังมันพล่ามแล้วหันหลังเดินต่อไป ทว่า...
“เห้ย! บอกว่าเข้าไปไม่ได้ไงวะ” หมอนั่นเอ่ยพร้อมกับพุ่งมาหาผมจากข้างบนอย่างเอาเรื่อง แต่มีหรือที่สปีดของพวกเกิดใหม่จะทันคนอย่างผม... ผมอาวุโสกว่ามันเป็นพันปี
“อึก...” วินาทีต่อมา... ร่างของผู้ชายตรงหน้าก็ถูกผมดันจนกระแทกกับต้นสนสูงใหญ่ ฝ่ามือที่กำอยู่รอบลำคอของมันแทบจะไม่ต้องออกแรงบีบเลยด้วยซ้ำ... แค่นี้มันก็ดิ้นทุรนทุรายจนลิ้นจุกปากแล้ว
“หุบปากซะ... ถ้ายังอยากมีชีวิตเป็นอมตะอยู่” ผมเอ่ยเสียงกดต่ำพร้อมกับขู่คำรามในลำคอ ก่อนจะโยนมันออกไปจนลอยละลิ่ว
พอกลับมาโฟกัสกับตัวเองอีกครั้ง บรรยากาศที่เงียบสงัดลงอย่างกะทันหันก็ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองคงไม่ได้อยู่คนเดียวแน่ ที่นี่เป็นป่าลึกก็จริง... แต่ว่านี่มันเงียบเกินไป ไม่มีแม้กระทั่งเสียงนกร้องหรือแม้แต่เสียงฝีเท้าของสัตว์ ราวกับว่าพวกสัตว์มันกำลังกลัวอะไรจนไม่กล้าออกมา
อะไรบางอย่างที่แข็งแกร่งและทรงพลัง... เป็นเผ่าพันธุ์ของผู้ล่า
น่ารำคาญ...
ผมคิดอย่างหงุดหงิดก่อนจะเลิกสนใจสายตาเย็นเยียบนับสิบคู่ที่กำลังจดจ้องมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ พวกมันไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หัวออกมาด้วยซ้ำ คิดดังนั้นผมจึงสาวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ จนกระทั่งเห็นปราสาทของตระกูลบาโธนี่ที่อยู่ไกลลิบๆ
มันไม่เปลี่ยนไปเลย... ที่นี่เหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนจริงๆ
ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินมาถึงตัวปราสาท แม้ภายนอกจะดูเก่าแก่ทรุดโทรม... หากแต่เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปด้านใน ปราสาทแห่งนี้กลับไม่ต่างจากคฤหาสน์หรูหราของพวกมนุษย์เลยสักนิด
“โผล่หัวมาสักทีนะ... น้องข้า” เสียงทุ้มน่าเกรงขามดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไป และเพราะผมจำได้ว่ามันเป็นเสียงของใครร่างกายมันถึงได้หยุดชะงักไปอย่างอัตโนมัติ
“เคาท์เตส!” ผมเอ่ยชื่อของบุรุษตรงหน้าด้วยความดีใจ ก่อนจะกระโดดพุ่งตัวเข้าหาเจ้าของชื่ออย่างลืมตัว
ตึง!
แรงปะทะของผมทำให้เคาท์เตสถึงกับเซไปชนกำแพงจนเกิดรอยร้าว แม้กระนั้นเขาก็ยังหัวเราะขบขันด้วยความดีใจอยู่ดี
“ฮ่ะฮ่ะ... เจ้าทำกำแพงบ้านข้าพัง” เขาเอ่ยตอนที่ตบไหล่ผมป้าบๆ ในขณะที่ผมเองก็แทบไม่อยากคลายอ้อมกอดของตัวเองออกเลย... ผมคิดถึงพี่ชายคนนี้เหลือเกิน
“เดี๋ยวซ่อมให้” ผมเอ่ยหลังจากที่ผละออก สายตาเสมองกำแพงด้านหลังคนตรงหน้าที่เป็นรอยร้าวยาวหลายเมตรด้วยความขบขัน
“ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว” เคาท์เตสเอ่ย และผมเองก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ... ก็ผมเล่นไม่กลับมาบ้านมาตั้งเป็นพันปี อีกอย่างมันมีสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ทันได้บอกลาใครๆ ด้วย
“มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย... ข้าไม่อาจกลับมาหาท่านในสภาพน่าสมเพชได้” ผมพูดคร่าวๆ และเคาท์เตสก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเราโตแล้ว... โตยิ่งกว่าโตเสียอีก เคาท์เตสน่าจะเข้าใจดีว่าผมมีเหตุผลส่วนตัว
“ได้ข่าวของเซนบ้างมั้ย” ผมถามขึ้นและคนตรงหน้าก็ส่ายศีรษะตอบกลับมาอย่างสิ้นหวัง เซนเป็นพี่น้องของเราอีกหนึ่งคนที่เกิดไล่เลี่ยกัน
เคาท์เตสเป็นพี่ใหญ่... เซนเป็นพี่คนรอง... และผมเป็นน้องเล็กสุด
“ครั้งสุดท้ายเมื่อห้าร้อยปีก่อน” คำตอบของเคาท์เตสทำให้ผมถอนหายใจออกมา เพราะนั่นก็เป็นความคืบหน้าเดียวที่ผมมีเหมือนกัน
“ข้าก็เช่นกัน...”
“คาร์เตอร์อาจรู้อะไรมากกว่าข้า” คนตรงหน้าเอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด
“เด็กนั่นน่ะหรอ” และนั่นทำให้ผมนึกไปถึงเด็กตัวเล็กๆ ที่เคยชวนผมวิ่งเล่นรอบๆ ปราสาท คาร์เตอร์เป็นลูกชายคนโตของพี่ชายผม
“ไม่เด็กอีกต่อไปแล้ว นั่นมันผ่านมานานมากแล้ว” คนเป็นพ่อว่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างขบขัน นั่นสินะ... บางทีผมก็ลืมไปว่าวันเวลามันผ่านมานานมากแล้ว เพราะในความรู้สึกของผม... เรื่องทุกอย่างมันยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
เพราะว่า...การช่วยตัวเอง...ในที่ทำงานมันผิด!! “โดนของจริงดีกว่าไหมครับ...แค่นิ้ว...มันคงไม่อาจจะสนองความต้องการของคุณได้” นี่จึงเป็นบทลงโทษที่เธอต้องรับมันไป...โทษฐานที่ทำให้ท่านประธานอย่างเขาจับได้...!!
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด